คืนก่อนวันแต่งงาน
ข่าวการแต่งงานของนนท์นธีและหวานเย็นแพร่สะพัดไปทั่วทุกตำบลอย่างรวดเร็ว มีทั้งคำยินดีและคำครหาเกี่ยวกับการแต่งงานสายฟ้าแล่บในครั้งนี้ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจ คุณย่าเอื้องฟ้าจัดเตรียมงานแต่งได้อย่างรวดเร็ว ในวันพรุ่งนี้...ทุกอย่างจะพร้อมสำหรับพิธีแต่งงานของพวกเขา และเพราะงานแต่งจะถูกจัดขึ้นที่ไร่นี้ หวานเย็นจึงต้องมาค้างที่นี่เพื่อเตรียมตัวแต่เช้า
หญิงสาวนอนไม่หลับ แม้ว่าเธอจะมีห้องส่วนตัวของตัวเองอยู่ที่บ้านหลังนี้เพราะมาค้างบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาค้างในฐานะว่าที่เจ้าสาวในวันรุ่งขึ้น ความตื่นเต้นที่จะได้แต่งงานทำให้เธอนอนไม่หลับ ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่น ขืนพยายามหลับต่อไปคงได้คิดฟุ้งซ่านกว่าเดิม
หวานเย็นเดินลงมาที่ชั้นล่าง แต่ยังไม่ทันจะเดินออกจากประตูไปที่สวน สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนอนฟุบอยู่บนโต๊ะตรงระเบียง เธอค่อยๆ เดินย่องเข้าไปใกล้ จนเอนใจแล้วว่าคนที่ฟุบอยู่ไม่ใช่โจรที่ไหนแต่เป็นนนท์นธี หญิงสาวก็รีบปรี่เข้าไปหา
“พี่นนท์!”
ทันทีที่เข้าไปใกล้ กลิ่นเหล้าก็ตีฟุ้งขึ้นมาจนเธอต้องเอามือขึ้นอุดจมูกไว้
“พี่กินไปเท่าไหร่เนี่ย ทำไมถึงกินเหล้าแบบนี้ล่ะ” ถามไปก็พยายามดึงตัวเขาขึ้นไป แต่ชายหนุ่มก็หนักและตัวใหญ่กว่าเธอหลายเท่าจนแบกไม่ไหว
ตุ้บ!
“กรี๊ดดด”
หวานเย็นกรีดร้องออกมาเพราะเธอหมดแรงล้มลง ทำให้นนท์นธีที่เมาไม่ได้สติล้มทับเธออีกต่อ ชายหนุ่มคร่อมร่างของหญิงสาวเอาไว้ เขาเริ่มรู้สึกตัว แต่ก็เมาเกินกว่าจะมีสติพอให้พูดรู้เรื่อง
“แขเหรอครับ”
แข? หมายถึงพี่แขน่ะหรือ หวานเย็นคิดในใจ แขหรือ ‘แขไข’ แฟนสาวของเขาที่คบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อห้าปีก่อนเธอได้งานทำที่กรุงเทพฯ ทำให้ความรักของทั้งคู่ต้องกลายเป็นรักทางไกล แต่ที่ผ่านมาพวกเขาก็รักกันดี นนท์นธีไปกลับระหว่างไร่กับกรุงเทพฯ อยู่บ่อยครั้ง
“พี่นนท์ นี่หวานเองค่ะ ไม่ใช่พี่แขนะ” หวานเย็นพยายามเรียกสติเขา
นนท์นธีปรือตาขึ้นมา ภาพที่เห็นตรงหน้าเบลอจนเขามองไม่ชัด ในความคิดฉายวนแต่เรื่องเดิมๆ คือในวันที่เขาถูกแขไขบอกเลิก
“ทำไม...”
เขาเอ่ยตัดพ้อเสียงสั่น ขณะที่หวานเย็นที่โดนทับแบบทิ้งน้ำหนักมาทั้งตัวนั้นแทบจะหักเป็นสองท่อนอยู่รอมร่อ “ทำไมคุณถึงทิ้งผม”
“เอ๊ะ?! อะไรนะ พี่แขทิ้งพี่นนท์เหรอ”
หวานเย็นถามเสียงดังด้วยความตกใจ เธอพยายามใช้สองมือดันตัวเขาออกแต่ไม่เป็นผลเลย เขาไม่ขยับเลยสักนิด
“ทำไมๆๆๆๆ”
นนท์นธีฟุบหน้าลงกับพื้น ลมหายใจของเขาเป่ารดต้นคอของเธออยู่ หวานเย็นใจเต้นไม่เป็นส่ำ เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าออกแล้วสะกดจิตตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้
“พี่นนท์...เป็นอะไรไหมพี่”
“ทั้งที่ผมรักคุณมากแท้ๆ ทำไม...”
คำถามที่เจือไปด้วยความเจ็บปวดของคนพูดทำให้คนฟังน้ำตาไหลออกมา หวานเย็นสงสารเขา หากแต่เธอก็เจ็บปวดด้วยเช่นกันที่ชายที่เธอแอบรักกำลังพร่ำบอกรักผู้หญิงคนอื่นโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้ จะปลอบใจก็ไม่ได้...
เพราะแบบนี้สินะ เขาถึงตัดสินใจแต่งงานกับเธอ ทั้งที่ต้อนแรกยังค้านหัวชนฝา
หวานเย็นแค่นยิ้มกับตัวเอง ที่แท้ก็เป็นเพียงการแต่งงานเพื่อประชดหญิงคนรัก เธอก็เป็นแค่ตัวคั่นเวลาที่เขาหยิบเอามาใช้ในช่วงเวลาที่เจ็บปวดเท่านั้น
แต่ทำไมกันนะ...ทั้งที่เป็นได้เพียงเท่านี้ แต่เธอกลับ...ยอม
หมับ...
หวานเย็นยกแขนขึ้นโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่น มันแน่นพอที่จะทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา นนท์นธียันตัวขึ้นเล็กน้อย สายตาที่พร่าเลือนเริ่มมองเห็นสิ่งตรงหน้าชัดขึ้น ใบหน้าของหวานเย็นฉายชัดในดวงตาทั้งสองข้าง เขาตกใจไม่น้อยที่ร่างเล็กกำลังนอนน้ำตาซึมอยู่ใต้ร่างของเขา
“หวานเย็น นี่เธอ...ร้องไห้ทำไม”
“ฉันสงสารพี่”
เธอตอบตามความจริง ฝ่ามือเล็กๆ ค่อยๆ แผ่ออกแล้วลูบไล้ที่แผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลม คนถูกปลอบสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่อีกคนมอบให้ หัวใจที่เคยร้อนรุ่มเริ่มอ่อนลง
“ไม่เป็นไรนะพี่นนท์ ไม่เป็นไรนะ”
หวานเย็นพยายามยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา เธอไม่เคยเห็นเขาเมามายไม่เป็นผู้เป็นคนแบบนี้มาก่อน นั่นแปลว่าเขาต้องเสียใจมาก และกำลังเจ็บปวดอยู่มากแน่ๆ
แค่คิดว่าคนที่รักกำลังเผชิญความเจ็บปวดแค่ไหน หัวใจก็เธอก็แทบแตกเป็นเสี่ยงๆ นนท์นธีนิ่งค้าง มืออีกข้างค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาที่ไหลปริ่มของหวานเย็นออก เขาจ้องมองเธอนิ่งขณะที่หัวใจกำลังเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ความทรงจำในทุกๆ ครั้งที่เขาทะเลาะกับแขไขแล้วหนีไปคิดอะไรอยู่คนเดียว มักจะมียัยตัวเล็กจอมยุ่งอย่างหวานเย็นตามติดมาคอยป่วนอยู่ข้างๆ เสมอ เขาคิดมาตลอดว่าเธอก็แค่ต้องการจะกวนเขาเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่...
ที่ผ่าน...เธอคนนี้...ก็แค่ต้องการปลอบใจอยู่ข้างๆ เขาเท่านั้น
เธอแค่ไม่อยากทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียวถึงได้ตามมาป่วนตลอดเวลา
“น่าอายชะมัด ที่ต้องให้เธอมาปลอบแบบนี้”
“พูดอะไรแบบนั้น เวลาฉันโดนพ่อตีทีไร พี่ก็คอยปลอบฉันเหมือนกันนี่”
ถึงแม้การปลอบของเขาจะไม่ใช่วิธีที่อ่อนโยนอย่างการกอดให้กำลังใจหรือการพูดเพราะๆ แต่เป็นการพูดจาเหน็บแนมให้เธอโมโหจนควันออกหูอยู่ตลอดเวลาก็ตามที แต่ว่าเพราะแบบนั้น...เธอถึงหลุดออกจากความเสียใจมาได้ทุกครั้งไป
“มาทำพูดจาเป็นผู้ใหญ่เชียวนะ”
“ก็ฉันโตแล้วนี่นา ฉันอายุยี่สิบห้าแล้วนะ แล้วก็กำลังจะได้เป็นเจ้าสาวแล้วด้วย”
คำว่า ‘เจ้าสาว’ ที่เธอพูดแบบแก้มแดงๆ ออกมานั้นทำให้นนท์นธีอดยิ้มไม่ได้ เขารีบพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง เมื่อเป็นอิสระจากใต้อาณัติของเขา หญิงสาวก็รู้สึกหายใจหายคอได้สะดวกมากขึ้น
“เธอน่ะ...ไม่ต้องรีบโตก็ดีแล้ว”
“พี่หมายความว่ายังไง จะบอกว่าฉันควรจะเป็นเด็กตลอดไปเหรอ”
หวานเย็นที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ เธอเองก็อยากจะโตเป็นสาว และอยากให้เขามองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เด็กข้างบ้านเหมือนกันนะ
“ค่อยๆ เติบโตก็ดีแล้ว โลกของผู้ใหญ่น่ะ...ฉันจะค่อยๆ สอนเธอเอง”
นนท์นธียิ้มเจ้าเล่ห์ หวานเย็นรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งกายกับคำว่า ‘โลกของผู้ใหญ่’ ที่เขาพูดถึง เธอแสร้งเสมองไปทางอื่นเพราะทุกอย่างมันดูเกะกะสายตาไปหมด
“ว่าแต่...พี่เลิกกับพี่แขแล้วเหรอ”
หญิงสาวต้องการเปลี่ยนเรื่องเพื่อลืมคำว่าโลกของผู้ใหญ่ออกไปจากหัว ก่อนที่จินตนาการเธอจะเตลิดไปไกลมากกว่านี้
“อืม โดนทิ้งน่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับนิ่งๆ
“เจ็บสุดๆ ไปเลยแฮะ”
พูดจบก็หันไปหยิบขวดเหล้ามากระดกเข้าปาก หวานเย็นได้แต่มองเขาด้วยความสงสารอยู่ห่างๆ
“พี่แขต้องตาบอดแน่ๆ เลย ที่ทิ้งพี่ ในตำบลเรา พี่นนท์เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ที่สุดเลยนะ”
หวานเย็นเอ่ยชมเขาพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้สองนิ้ว นนท์นธีเหยียดยิ้ม เขาจับนิ้วโป้งทั้งสองนิ้วของเธอเอาไว้
“รู้จักปลอบใจแบบไม่ป่วนเป็นแล้วเหรอ”
“ใครป่วนกัน ฉันเป็นเด็กดีจะตายไป มีแต่พี่กับพ่อนั่นแหละที่คิดว่าฉันเป็นตัวป่วน”
“ยังไงก็...ขอบใจนะ ฉันดีขึ้นเพราะเธอแท้ๆ เลย”
จากที่จับไว้แค่นิ้วโป้งทั้งสองนิ้วกลายเป็นกุมมือของเธอเอาไว้ทั้งสองข้างตั้งแต่เมื่อไปไหร่ก็ไม่รู้ หวานเย็นพยักหน้ารับคำขอบคุณจากเขา ทั้งที่เป็นเพียงคำขอบคุณสั้นๆ ไม่ใช่คำบอกรักอย่างที่อยากได้ยิน แต่กลับทำให้หัวใจของเธอพองโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คงมีแค่สิ่งเดียวที่หวานเย็นต้องเชื่อและยอมรับมัน...
...นั่นคือเธอ...ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ
รุ่งเช้า
“ตานนท์! หนูหวานเย็น! มานอนทำอะไรกันตรงนี้เนี่ย”
เสียงคุณย่าเอื้องฟ้าดังสนั่นไปทั้งไร่ นนท์นธีและหวานเย็นที่นอนคุดคู้ซบกันอยู่บนพื้นตรงระเบียงต่างก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย
“คุณย่าเหรอครับ มีอะไรแต่เช้าครับเนี่ย”
“ยังจะถามมาอีก วันนี้วันแต่งงานแล้วนะ ทำไมถึงได้มานอนก๊งเหล้ากันตรงนี้เล่า แล้วยังชวนหนูหวานเย็นมาร่วมวงด้วยอีก!”
คำพูดของคุณย่าทำเอาทั้งคู่ตื่นเต็มตา หวานเย็นที่นอนอยู่บนแขนของ นนท์นธีรีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อคืนสุดท้ายเธอก็ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาแล้วก็เผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะหนูหวาน เดี๋ยวจะไม่ทันฤกษ์เอานะลูก พระท่านใกล้จะมาแล้ว”
“ได้ค่ะคุณย่า”
เธอรับคำแล้วรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง ทีมช่างแต่งหน้าทำผมรีบตามเธอไปติดๆ นนท์นธีที่ยังตื่นไม่เต็มตาเพราะยังแฮงก์อยู่ยันตัวลุกขึ้นบ้าง
“ผมไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ”
“รีบไปเลย ถ้าทำเสียฤกษ์ล่ะก็...ย่าจะหวดก้นด้วยก้านมะยมให้ดู”
คุณย่าบ่นไล่หลัง สถานการณ์ในช่วงเช้าก่อนเริ่มงานแต่งงานจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย