ลู่เจินไม่ได้รับรู้ว่าตนเองกำลังถูกศิษย์พี่วางแผนล่อลวง เวลานี้นางกำลังหาทางออกจากเขาวงกตเนื่องจากเร่ร่อนอยู่ที่นี้เป็นเวลาสองวันแล้ว
หญิงสาวไม่พบกับโชคใดๆ อีกทั้งยังหาทางออกไม่เจอด้วย อาหารแห้งที่พกติดตัวมาก็ใกล้จะหมดแล้ว หญ้าวิญญาณที่พกมาให้เจ้าแมวตัวน้อยก็ร่อยหรอลงทุกทีแล้วเช่นกัน โชคดีที่เจ้าแมวตัวนี้ขดตัวนอนอยู่เงียบๆ อยู่ด้านข้างและไม่ได้วิ่งเล่นไปทั่วสร้างความลำบากให้กับนาง
ลู่เจินรู้สึกท้อแท้ใจอยู่บ้าง นางนั่งพิงต้นไม้ที่ยืนต้นตายด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ก่อนจะหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมาและหักมันออกเป็นสองท่อน!
ทันใดนั้นเองทิวทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันไม่ใช่ป่าที่แห้งแล้งอีกต่อไป หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและพบว่าตนเองยืนอยู่กลางเขาที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยหมอก เบื้องหน้ามีถนนทอดยาวไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนยอดเขาแห่งนี้
ลู่เจินเดินถอยหลังกลับไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเดินมุ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้น หญิงสาวพบว่าบ้านหลังนี้ค่อนข้างทรุดโทรม ประตูรั้วก็พังจนแทบจะป้องกันอะไรไม่ได้
แอ๊ด~~~
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่ถามด้วยความสงสัย "เจ้าเข้ามาได้อย่างไร!"
ลู่เจินเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาสงสัยระคนแปลกใจ
หญิงสาวเองก็ตกใจที่บ้านอันทรุดโทรมหลังนี้มีคนอาศัยอยู่ "เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่หรือ… แล้วตรงนี้คือส่วนไหนของเขาวงกต"
อีกฝ่ายก็ถามนางกลับเช่นกัน "เจ้าไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เหตุใดจึงกล้าเดินเข้ามา ไม่กลัวว่าจะมีค่ายกลจนทำให้เจ้าบาดเจ็บหรอกหรือ"
ลู่เจินส่ายหน้าเพราะนางไม่รู้จริงๆ ว่าในเขาวงกตจะมีสถานที่เช่นนี้อยู่
เด็กน้อยถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาดนัก "นี่คือหุบเขาแห่งความเงียบ"
หุบเขาแห่งความเงียบหรือ…หญิงสาวคิดว่าชื่อเรียกก็สมกับสถานที่จริงๆ "แล้วข้าจะออกไปได้อย่างไร?"
เด็กน้อยยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย "ข้าไม่บอกเจ้าหรอก"
ลู่เจินไม่ค่อยชอบเด็ก ยิ่งเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์เช่นนี้นางก็ไม่ค่อยชอบ แต่หญิงสาวพยายามอดทนและขอร้องให้เขาบอกทางกลับ
เด็กน้อยอยู่ที่นี่มานานเขาเพิ่งได้หาคนพูดคุยด้วยเป็นครั้งแรก แต่อีกฝ่ายกลับไม่อยากอยู่ด้วย เขาจึงไม่ค่อยพอใจเท่าใด "เจ้าเข้ามาแล้วเหตุใดจะออกไปอีก"
"ก็เพราะข้าไม่อยากอยู่ที่นี่น่ะสิ"
"ใครๆ ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ทั้งนั้น"เด็กน้อยเบ้ปากลงแล้วพูดต่ออีกว่า "เจ้าเข้ามาแบบไหนก็ออกไปแบบนั้นแหละ"
ลู่เจินจำได้ว่านางหักกิ่งไม้จากนั้นก็ถูกส่งมาที่นี่ดังนั้นถ้าจะกลับนางก็คงต้องหักกิ่งไม้เช่นกัน "แล้วเจ้าไม่ออกไปด้วยกันหรือ"
เด็กน้อยส่ายหน้า "ยังไม่ถึงเวลาของข้า"
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นนางจึงไม่ได้ถามเขาอีก หญิงสาวหักกิ่งไม้ออกเป็นสองท่อนเช่นเดียวกับขามา หลังจากนั้นภาพของเด็กน้อยตรงหน้าก็ค่อยๆ พร่าเลือนหายไป
เมื่อกลับมายังป่าแห้งแล้ง ลู่เจินก็พบกับหญิงสาวที่เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ "เจ้าพาข้าออกไปได้หรือไม่ แล้วข้าจะให้หินวิญญาณกับเจ้า!"
เมื่อลู่เจินได้ยินว่าจะได้รับค่าตอบแทน ดวงตาของนางก็สว่างวาบขึ้นทันที หลังจากสอบถามก็รู้ความว่าอีกฝ่ายในตอนแรกไม่อยากเสียเงินซื้อยันต์เคลื่อนที่ แต่พอออกไปไม่ได้ก็รู้สึกเสียใจภายหลังได้แต่รอคอยให้มีใครสักคนเดินผ่านมาและพานางออกไป
"เจ้าจะจ่ายให้ข้าเท่าไหร่" ลู่เจินถาม
"สามสิบหินวิญญาณ" สตรีฝ่ายตรงข้ามตอบ ดูเหมือนว่าเวลานี้นางจะไม่เสียดายเงินแล้ว
ลู่เจินคิดคำนวณดูแล้วก็ไม่แย่จึงตอบตกลงรับปาก หลังจากรับค่าตอบแทนมา หญิงสาวก็ฉีกยันต์และพาสตรีผู้นี้ออกมาจากเขาวงกตด้วยกัน
หลังจากครั้งนั้นนางก็คิดวิธีหาเงินแบบใหม่ขึ้นมาได้คือการเขียนยันต์เคลื่อนที่ไปขายให้กับผู้ฝึกตนที่หลงทางอยู่ด้านใน เมื่อลองศึกษาแผ่นยันต์อยู่ราวครึ่งวัน ลู่เจินก็เขียนยันต์ออกมาได้หลายแผ่นและเข้าไปทดลองที่เขาวงกต หญิงสาวพบว่ามันใช้ได้ผลดีทีเดียว
หลังจากนั้นนางก็เริ่มขายแผ่นยันต์เคลื่อนที่นี้อย่างลับๆ โดยเลือกขายให้เฉพาะคนที่ไม่ยอมซื้อยันต์ตั้งแต่ตอนแรก จนหลงทางในเขาวงกต ซึ่งนางก็ไม่ได้เอาเปรียบคิดราคาเท่ากับคนขายยันต์ที่ด้านนอก รายได้ตลอดสามวันที่ผ่านมานั้นจึงค่อนข้างดีพอสมควร
แต่ว่าการขายยันต์เช่นนี้ทำบ่อยๆ อาจทำให้คนเฝ้าประตูทั้งสองสงสัยเอาได้ ในทุกวันพวกเขาก็มองนางด้วยความประหลาดใจอยู่แล้ว ยิ่งนางเดินเข้าออกเขาวงกตต่อเนื่องกันทุกวัน พวกเขาก็ยิ่งจะน่าสงสัยมากกว่าเดิม
ลู่เจินคิดว่าตอนนี้ควรจะเว้นช่วงเสียบ้าง วันนี้นางจึงขายยันต์ให้ลูกค้าไปเพียงแค่สามแผ่น แต่ลูกค้าคนหนึ่งบอกว่าหินวิญญาณไม่พอ เขาจึงขอจ่ายหินวิญญาณให้นางเพียงแค่ห้าก้อนและบอกว่าหลังจากออกไปจะนำมาให้เพิ่มอีก เมื่อเห็นอีกฝ่ายขอร้องอ้อนวอนด้วยท่าทางที่น่าสงสาร ลู่เจินก็ใจอ่อนและมอบแผ่นยันต์ให้เขาไป
แต่หลังจากออกมาจากเขาวงกต อีกฝ่ายก็รีบวิ่งหนีไปทันที ลู่เจินไม่กล้าโวยวายต่อหน้าคนเฝ้าประตูทั้งสอง หญิงสาวรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพ้นสายตาของคนที่เฝ้าประตู นางก็ทั้งวิ่งทั้งตะโกนเรียกเขา "หยุดนะ!"
ขณะที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายวิ่งห่างออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็รู้ดีว่าคงหมดหวังที่จะได้เงินเพิ่มแล้ว
ลู่เจินรู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่มีไหวพริบพอจะทันเล่ห์เหลี่ยมของคนอื่น จนถูกหลอกได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้
ขณะที่นางกำลังเดินกลับไปยังกระท่อมของตนอย่างเศร้าสร้อย ชายที่ฉ้อโกงเงินของนางเมื่อสักครู่ก็ถูกโยนมาตรงหน้าอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นมา "ศิษย์น้อง…เหตุใดเจ้าจึงไล่ตามชายผู้นี้"
เมื่อเห็นศิษย์พี่ของตน หญิงสาวก็ชี้ไปที่ชายผู้นั้นและเอ่ยฟ้องด้วยความโมโห "คนผู้นี้สัญญาว่าหลังออกจากเขาวงกตก็จะจ่ายเงินเพิ่มให้ข้า แต่พอออกมาเขากลับวิ่งหนีไป"
ม่อเฉิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ "เจ้าขายอะไรให้เขา"
ชายผู้นั้นเห็นใบหน้าของม่อเฉิงที่เคร่งขึมขึ้น เขาก็ยิ่งหวาดกลัวรีบหยิบหินวิญญาณออกมาสิบห้าก้อนและส่งไปให้นาง "ข้ามอบเงินให้เจ้าแล้ว เจ้ารีบบอกเขาให้ปล่อยข้าสิ!"
ม่อเฉิงมองลู่เจินรับหินวิญญาณใส่กระเป๋าจัดเก็บด้วยแววตาเรียบนิ่ง กระบี่ที่พาดอยู่บนคอของชายฉ้อโกงก็ยังไม่ขยับออกไป
ลู่เจินรีบเดินไปหาศิษย์พี่ของตน และอธิบายเรื่องขายยันต์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ให้เขาได้ฟัง "เขาจ่ายเงินให้ข้าแล้ว…ศิษย์พี่ก็ปล่อยเขาไปเถิด"
ม่อเฉิงเก็บกระบี่กลับมา และปล่อยชายผู้นั้นให้วิ่งหนีไป เขาไม่คาดคิดว่านางจะไร้เดียงสามากถึงเพียงนี้ เพียงแค่ต้องการหินวิญญาณก็กล้าเสี่ยงอันตรายแย่งชิงพื้นที่การค้ากับชายทั้งสองที่เฝ้าอยู่หน้าเขาวงกต "เงินที่ได้ไม่คุ้มกับความเสี่ยง...ต่อไปไม่ต้องทำเช่นนี้อีก"
ลู่เจินก็มีความคิดที่จะหยุดขายแล้วเช่นกัน นางจึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างเชื่อฟัง
ม่อเฉิงลูบศีรษะของสตรีตรงหน้าเบาๆ และพูดกับนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม "หากเจ้าอยากได้หินวิญญาณ ข้าจะพาเจ้าไปเก็บสมุนไพรระดับสูงบนเขา รายได้ย่อมดีกว่านี้มาก"
ลู่เจินมัวแต่มองใบหน้าของศิษย์พี่ จนไม่ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมที่ใกล้ชิดมากเกินไปของอีกฝ่ายเลย