เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักที่ได้พบกับคนรู้จักในต่างถิ่น ในหุบเขาไป๋หูมีผู้ฝึกตนหลากหลายประเภทและแต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกัน
ลู่เจินเคยกังวลอยู่บ้างว่าตนเองนั้นเป็นผู้อ่อนแอ ในอนาคตไม่แน่ว่าจะถูกรังแกจนไม่สามารถจะอยู่ที่นี่ได้ แต่วันนี้เมื่อนางได้พบกับศิษย์พี่ม่อ และเขาก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แข็งแกร่ง หญิงสาวก็รู้สึกว่าตนเองมีคนที่สามารถพึ่งพาได้แล้ว
เช้าวันต่อมาลู่เจินไม่ได้ไปเก็บหญ้าสมุนไพร แต่นางไปที่เขาวงกตเพื่อเสี่ยงโชค ว่ากันว่าในเขาวงกตนั้นมีเคล็ดวิชาและเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์ที่บางคนเข้าไปแล้วจากผู้ฝึกตนระดับต่ำก็อาจจะมีพลังตะบะเพิ่มมากขึ้น แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละคน
เขาวงกตอยู่ลึกเข้าไปข้างในของหุบเขา ระหว่างทางนางเดินผ่านกลุ่มคนหลายคนที่กำลังขุดสมุนไพรอยู่บริเวณตีนเขา ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็พบสัตว์ตัวเล็กๆ ที่นางไม่รู้จักกระโดดไปมา เจ้าแมวน้อยส่งเสียง "ม่าว" และแยกเขี้ยวให้กับพวกมันด้วยท่าทางตื่นเต้น
ตอนแรกลู่เจินไม่ได้ตั้งใจที่จะพาเจ้าแมวน้อยเข้าไปในเขาวงกตด้วย แต่ตอนที่นางจะเปิดประตูเจ้าตัวเล็กก็เดินเข้ามาถูไถที่ขาและยกขาหน้าของมันขึ้น พร้อมกับใช้ดวงตากลมโตจ้องมองนางด้วยท่าทางน่าสงสาร สุดท้ายหญิงสาวจึงทนไม่ไหวและตัดสินใจพามันมาด้วยกัน
ทางเข้าของเขาวงกตนั้นหาได้ไม่ยาก บริเวณนี้มีกลุ่มเมฆหมอกบดบังอยู่อยู่ตลอดทั้งปี บริเวณปากทางมีชายหนุ่มเพียงสองคนคอยเฝ้าเอาไว้ และทุกคนที่เข้าไปด้านในเขาวงกตนั้นจะต้องจ่ายค่าผ่านทางให้กับพวกเขา "พี่ชายทั้งสอง หากจะเข้าไปด้านในเขาวงกต ข้าต้องจ่ายหินวิญญาณเท่าใดหรือ"
ชายทั้งสองมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าและพบว่าสตรีตรงหน้ามีระดับการฝึกตนค่อนข้างต่ำ ชายที่ตัวเล็กกว่าเป็นคนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "จ่ายหินวิญญาณมาสามก้อน"
โชคดีที่ลู่เจินมีเงินจากการขายหญ้าวิญญาณ ดังนั้นนางจึงหยิบหินวิญญาณออกมาสามก้อนแล้วมอบให้กับพวกเขา หนึ่งในนั้นเห็นว่านางมีระดับการบำเพ็ญต่ำจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน "ในเขาวงกตไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาทางออกมา เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกครั้งเถิด"
ลู่เจินได้ยินอีกฝ่ายเตือนเช่นนี้ นางก็ถามพวกเขาด้วยน้ำเสียงลังเล "ถ้าข้าออกมาไม่ได้จะต้องตายหรือไม่"
ชายทั้งสองหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะหยิบยันต์เคลื่อนที่ออกมา "เจ้าสามารถซื้อยันต์ของเราได้ ถ้าเจ้าออกมาไม่ได้ เพียงแค่ฉีกยันต์นี้ มันก็สามารถส่งเจ้าออกมาได้โดยง่าย"
ลู่เจินพยักหน้าตอบทันที "ราคาเท่าไหร่หรือ"
"ยันต์เคลื่อนนั้นมีราคายี่สิบหินวิญญาณ"
ลู่เจินคิดว่าราคาแพงไปบ้าง แต่นางก็ตัดสินใจกัดฟันซื้อมันมา และคิดในใจว่าจะศึกษาวิธีวาดยันต์แผ่นนี้โดยละเอียด ครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องเสียหินวิญญาณไปเยอะเช่นนี้อีก
หลังจากเดินผ่านทางเข้ามา ภาพด้านหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศโดยรอบของนางไม่ใช่หุบเขาไป๋หูที่เต็มไปด้วยป่าอันเขียวขจีอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นป่าฤดูร้อนอันแห้งแล้งที่ตนไม้แห้งยืนต้นตาย
ลู่เจินมองไปรอบๆ ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากนางกลับเจ้าแมวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รู้จักกับเขาวงกตแห่งมายา หญิงสาวจึงอาศัยสัญชาตญาณของตนเองและเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
………………..
อีกด้านหนึ่งภายในถ้ำของม่อเฉิง หลังจากที่ส่งศิษย์น้องกลับไป เมื่อคืนชายหนุ่มก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยกของตนเองทั้งคืน ตอนนี้แม้ว่าเขาจะหลับตา แต่เลือดบนหน้าผากกลับปูดนูนขึ้นมา ใบหน้าและคอของเขาแดงไปหมด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทรมานกับพิษของไฟที่อยู่ในร่าง
นี่คือผลตอบแทนที่ต้องจ่ายของผู้ฝึกตนด้วยวิชากระบี่ ใครที่เลือกบำเพ็ญตนเองด้วยการใช้กระบี่เป็นแกนหลักของการฝึกฝน ก็เหมือนกับตนเองนั้นคือกระบี่ที่จะต้องถูกเผาไหม้นับครั้งไม่ถ้วน
ยิ่งระดับการบำเพ็ญสูงมากเท่าไร ความเจ็บปวดที่เกิดจากไฟที่เผาผลาญร่างกายก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
แต่ก่อนที่ระดับการบำเพ็ญของเขายังต่ำเพียงแค่ใช้เตียงหยกเย็นในการบรรเทาความร้อนก็ยังฝืนพออดทนผ่านไปได้ แต่ตอนนี้ระดับการบำเพ็ญของเขาเพิ่มมากขึ้นเตียงหยกเย็นไม่สามารถช่วยบรรเทาความร้อนในกายเขาได้
ในตำราที่ม่อเฉิงอ่านมีวิธีหนึ่งที่ช่วยในการดับไฟร้อนในร่างกายได้ซึ่งก็คือการร่วมบำเพ็ญคู่กับบุคคลที่มีร่างกายเป็นหยิน ซึ่งหากคนทั้งสองฝึกฝนด้วยกันระดับการบำเพ็ญจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แม้ว่าม่อเฉิงจะรู้วิธีที่ช่วยบรรเทาความร้อนเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เลือกวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ตั้งแต่แรก เพราะหนึ่งคือเขาเป็นพวกรักสันโดษและไม่ชอบการผูกมัด ว่ากันว่าหากสตรีได้หลับนอนกับบุรุษคนแรกก็จะมีจิตผูกพัน ซึ่งชายหนุ่มเช่นเขายังไม่ต้องการผูกมัดกับสตรีนางใด
ม่อเฉิงเลือกบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะบรรลุขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียน ดังนั้นเขาจะมีคนมาผูกพันทางโลกมนุษย์ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ระดับบำเพ็ญสูงมากขึ้นเท่าไหร่ความทรมานก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ศิษย์พี่คนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนถ้ำในหน้าผา เขาเองก็ไม่หาสตรีมาร่วมบำเพ็ญ จนสุดท้ายทนความร้อนจากไฟเผาไหม้ไม่ไหว ผ่านไปไม่นานร่างกายของเขาก็แตกสลาย เหลือเพียงกระบี่ประจำกายทิ้งไว้เป็นสุสานอยู่ข้างใต้หน้าผานั่นเอง
ยิ่งเห็นตัวอย่างของศิษย์พี่คนนั้น ม่อเฉิงก็เริ่มลังเล เขากลัวว่าความพากเพียรที่อุตส่าห์ฝึกฝนมาจะสูญสิ้นและเขาต้องตายไปเปล่าๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงมีความคิดที่จะหาสตรีมาร่วมบำเพ็ญคู่ด้วย
และเมื่อวานตอนที่อยู่บนกระบี่ ยามฝ่ามือเย็นเฉียบของนางสัมผัสกับฝ่ามือของตน มันก็ทำให้ร่างกายที่ร้อนรุ่มของเขาเย็นลง ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเหลือทางรอดไว้ให้กับเขา ส่วนเรื่องที่จะล่อปลาตัวน้อยเช่นนางเข้ามาติดเบ็ดได้อย่างไร…ม่อเฉิงย่อมมีวิธีของตนเอง….