ในโลกนี้หากอยากจะฝึกตนเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าร่วมสำนักฝึกตนขั้นสูงได้ชาติตระกูลจะต้องดีและร่ำรวยเป็นอย่างมาก
ลู่เจินเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป สำนักฝึกตนที่นางเข้าเรียนจึงเป็นสำนักขนาดเล็ก อาจารย์สอนให้เพียงเรื่องพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น
ครอบครัวของลู่เจินคิดว่านางมีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญจึงตั้งใจส่งนางเข้ามาศึกษาในสำนักแห่งนี้ ด้วยความคาดหวังที่จะเห็นผู้เป็นลูกสาวบรรลุจนเป็นเซียนขึ้นไปบนสวรรค์
อาจารย์ในสำนักมีเพียงคนเดียว และระดับฝึกฝนของเขาอยู่เพียงขั้นก่อตั้งรากฐาน เขาสอนทักษะความรู้ขั้นพื้นฐานให้แก่พวกลูกศิษย์เท่านั้น และได้กล่าวว่า 'ทักษะที่อาจารย์สอนพวกเจ้านั้นมีเพียงเท่านี้…ส่วนพวกเจ้าจะไปได้ไกลเพียงใดก็ขึ้นอยู่ที่ความสามารถของพวกเจ้าแล้ว'
เนื้อหาที่สอนในสำนักศึกษาล้วนเป็นวิชาพื้นฐานของผู้ฝึกตน เช่น การวาดยันต์ ดูฮวงจุ้ย ตีอาวุธ และคาถาง่ายๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นคาถาพื้นๆ ไม่ได้เจาะลึกถึงขั้นสูง ดังนั้นศิษย์พี่ม่อเฉิงและศิษย์พี่คนอื่นที่มาเรียนก่อนหน้านาง ต่างก็ทยอยออกจากสำนักเพื่อไปแสวงหาความก้าวหน้าที่อื่น
ลู่เจินจำได้ว่าศิษย์พี่ม่ออายุมากกว่านางสองปี เขาเป็นคนที่สุภาพและพูดน้อย แม้ว่าจะอยู่ร่วมสำนักเดียวกัน หญิงสาวก็ไม่ได้สนทนากับเขามากนัก
ม่อเฉิงยืนบนกระบี่ พิจารณาหญิงสาวที่ยืนเบิกตากว้างอยู่ด้านล่าง เขาเริ่มนึกภาพบุคคลในความทรงจำของตน โชคดีที่สำนักฝึกตนที่ชายหนุ่มได้เคยเข้าเรียนเป็นสำนักฝึกตนเล็กๆ ม่อเฉิงจึงพอจำได้ลางๆ ว่าตนมีศิษย์น้องหน้าตาเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง
เขาเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงลังเล "ศิษย์น้องลู่?"
ลู่เจินพยักหน้าอย่างดีใจ ที่อีกฝ่ายจำนางได้ตอนนี้นางลืมไปแล้วว่าเขาคือคนที่ทำให้นางล้มคว่ำลงไปกับพื้น "ศิษย์พี่ม่อ ตอนนี้ท่านใช้กระบี่ได้แล้วหรือ"
เนื่องจากพวกเขาเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ม่อเฉิงจึงไม่ได้เฉยชากับอีกฝ่าย เขากระโดดลงจากกระบี่และพยักหน้าให้นาง "ข้าพบเคล็ดวิชากระบี่ที่ดี ตอนนี้ระดับพลังจึงเพิ่มพูนขึ้นมาก เมื่อเดือนก่อนข้าเพิ่งกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานแล้ว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เจินก็รู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายมาก จากตำราที่นางเคยอ่านนางรู้ว่าผู้ที่ฝึกวิชากระบี่จะต้องตีกระบี่ด้วยตัวเอง และต้องฝึกฝนร่างกายจนสามารถควบคุมให้กระบี่เป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของตนเองด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางยังรู้สึกภูมิใจมากที่ตนกลายเป็นศิษย์น้องของคนที่เก่งกาจเช่นนี้
ม่อเฉิงมองใบหน้าของอีกฝ่าย และถามขึ้นมาว่า "เหตุใดศิษย์น้องถึงมาที่นี่"
ลู่เจินเล่าเรื่องราวหลังจากที่อาจารย์ไล่นางออกจากสำนัก และบอกให้ไปหาประสบการณ์ให้กับอีกฝ่ายฟัง "ศิษย์พี่ม่อก็ฝึกตนอยู่ที่หุบเขาไป๋หูด้วยหรือ"
ม่อเฉิงพยักหน้า "ข้ากำลังศึกษาเคล็ดวิชาอยู่ในสุสานกระบี่"
ว่ากันว่าเมื่อปรมาจารย์ขั้นกึ่งเซียนทะลวงขั้นเซียนจนขึ้นไปบนสวรรค์ เขาได้ทิ้งเคล็ดวิชาสุดยอดกระบี่เอาไว้ มีเจตจำนงและกลิ่นอายเซียนหลั่งไหลอยู่บริเวณสุสานกระบี่แห่งนี้ แน่นอนว่าผู้ฝึกฝนกระบี่ถูกดึงดูดให้มาที่นี่นับไม่ถ้วน แต่ว่ายังไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจเคล็ดวิชานี้และบำเพ็ญจนบรรลุถึงขั้นเซียนได้เลยสักคน
เมื่อลู่เจินได้ยินนางก็ตาโตขึ้นด้วยความตื่นเต้น ในสุสานกระบี่มีเพียงผู้ฝึกตนด้วยวิชากระบี่เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ นางเองก็อยากจะเห็นสุสานกระบี่นับพันเล่มที่อยู่ด้านในเช่นกัน แต่จนใจที่ตนไม่ได้ฝึกวิชากระบี่จึงไม่อาจเข้าไปด้านในได้
ม่อเฉิงเห็นสายตาของนาง เขาจึงคิดที่จะพาอีกฝ่ายลองขึ้นกระบี่ไปดูบริเวณรอบๆ สักครั้ง "ศิษย์น้อง ข้าสามารถพาเจ้าไปดูรอบๆ สุสานกระบี่ได้"
"ไปได้จริงๆ หรือ!" ตอนนี้ลู่เจินรู้สึกตื่นเต้นมากแม้ว่านางจะไม่สามารถเข้าใกล้สุสานกระบี่ได้ แต่การที่ได้มองอยู่รอบๆ ก็ไม่แย่เช่นเดียวกัน
ม่อเฉิงพยักหน้าเรียกกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง เขาก้าวเท้ายาว ๆ ขึ้นไปยื่นด้านบน และยื่นมือให้นาง "ขึ้นมา"
ลู่เจินจับมือเขาไว้ และอีกฝ่ายใช้แรงดึงนางขึ้นมาเบา ๆ เมื่อยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มอย่างมั่นคง นางก็เอื้อมมือไปจับไหล่ศิษย์พี่ไว้แน่น ความจริงนางอยากจับเอวเพราะรู้สึกว่ามันปลอดภัยมากกว่า แต่หญิงสาวกลัวว่าตนเองจะล่วงเกินศิษย์พี่มากเกินไป จึงทำได้เพียงจับไหล่ของเขาเท่านั้น
"เกาะแน่นๆ" ม่อเฉิงสั่งและเริ่มควบคุมกระบี่ให้ลอยขึ้นไป
ลู่เจินสัมผัสได้ถึงก้อนเมฆบนฟ้าเป็นครั้งแรกสายลมเย็น ๆ กระทบกับใบหน้าของนาง ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ส่วนแมวตัวน้อยที่นางแบกไว้ก็ขดตัวอยู่ในตะกร้าแน่น เพราะกลัวว่าจะร่วงลงไป
กระบี่ของม่อเฉิงควบคุมได้อย่างมั่นคง เขาพาลู่เจินไปใกล้ๆ กับสุสานกระบี่มากที่สุด แล้วชี้ให้นางดู "ถึงแล้ว"
ลู่เจินก้มหน้าลง และรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่อยู่เบื้องล่าง
ม่อเฉิงควบคุมกระบี่ไปที่หน้าผาที่อยู่ไม่ไกล และเห็นได้ว่าบริเวณหน้าผานี้เต็มไปด้วยถ้ำจำนวนมากมาย "นี่คือที่อยู่อาศัยของพวกผู้ฝึกตนวิชากระบี่"
ลู่เจินเห็นว่าสภาพถ้ำแถวนี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก นางจึงถามเขาด้วยความสงสัย
"ศิษย์พี่ม่อ อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยหรือ"
แน่นอนว่าม่อเฉิงอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่เขาเป็นเพียงผู้มาใหม่ "ใช่ แต่ว่าข้าอาศัยอยู่ในถ้ำระดับต่ำที่สุด เพราะระดับการฝึกฝนยังไม่สูงมากนัก"
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในสายตาของลู่เจินศิษย์พี่ของนางก็ยังคงเก่งกาจมากอยู่ดี "ข้าขอเข้าไปดูถ้ำได้หรือไม่"
ม่อเฉิงนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย "ถ้ำของข้าค่อนข้างเรียบง่าย ศิษย์น้องลู่…อย่าได้หัวเราะเยาะเล่า"
ลู่เจินรีบส่ายหัว "ข้าไม่มีทางหัวเราะเยาะศิษย์พี่แน่นอนเจ้าค่ะ"
เมื่อนางมาถึงบ้านของศิษย์พี่ม่อ นางก็พบว่าในถ้ำของเขาช่างเรียบง่ายอย่างที่เขาบอก เพราะทั่วทั้งถ้ำไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงหินที่ตั้งอยู่ตรงกลาง อย่างไรก็ตามหินนั้นดูไม่เหมือนหินธรรมดามันมีรัศมีสีเขียวจางๆ เปล่งออกมา
ลู่เจินถามด้วยความส่งสัย "ศิษย์พี่ม่อ ท่านไม่กินไม่ดื่มบ้างหรือ"
"ด้วยระดับบำเพ็ญของข้า กินเพียงยาวิเศษก็เพียงพอแล้ว"
ยิ่งได้ฟังเช่นนี้ลู่เจินก็ยิ่งรู้สึกอิจฉา ถ้านางมีระดับบำเพ็ญเท่ากับศิษย์พี่ ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องกินหรือดื่มอีก แต่เมื่อคิดถึงเรื่องกินขึ้นมาท้องของหญิงสาวก็ร้องดังโครกคราก
ลู่เจินลืมไปเลยว่านางตั้งใจจะไปซื้อไก่ย่าง แต่เพราะมัวแต่ดีใจที่ได้เจอคนรู้จัก นางจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ตอนนี้เมื่อความตื่นเต้นหมดไป หญิงสาวก็รู้สึกหิวขึ้นมา
ม่อเฉิงได้ยินเสียงท้องของนางร้องเช่นกัน แต่ในถ้ำของเขาไม่มีของที่สามารถกินได้เลย "ต้องขออภัยศิษย์น้องด้วย ข้าไม่มีอะไรให้เจ้ากินเลย"
ลู่เจินรีบบอกเขาว่าไม่เป็นไร "วันนี้ข้ารบกวนท่านมานานแล้ว ข้าควรกลับลงไปข้างล่างดีกว่า"
ม่อเฉิงพยักหน้าและพานางกลับไปส่งที่หุบเขาด้านล่าง