ทุ่มเท 1 ขึ้นรถพี่แล้ว..ต้องตามใจพี่นะครับ (Pt.1)

3916 Words
ขึ้นรถพี่แล้ว..ต้องตามใจพี่นะครับ (Pt.1) @ SSS Bar แสงไฟที่สาดส่องสว่างวูบวาบพลางสลับมืดมิดไปตามจังหวะเสียงเพลง EDM ที่ DJ คนเท่ได้ยืนตระหง่านโดดเด่นอยู่กลางฟลอกำลังขยับมือสแครชแผ่นอย่างขะมักเขม้นจนเป็นสุดยอดมือโปรฯ ของบาร์แห่งนี้เลยก็ว่าได้ ดีเจคนดังมีรอยสักรูปดาบเล่มยาวล้อมรอบไปด้วยดอกกุหลาบหนามแหลมคมได้ปรากฏเด่นชัดบนหลังมือจนเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักด้วยความสามารถในการเล่นเพลงได้ถึงใจบรรดานักท่องราตรีให้ได้พากันออกสเต็ปโยกย้ายส่ายสะโพกกันได้อย่างครื้นเครงสนุกสนาน ราวกับหลุดโลกเลยทีเดียว ทริปเปิลเอสบาร์แห่งนี้ ใครต่างก็ย่อมรู้ดีว่าที่นี่เป็นสถานที่เริงรมย์ของพี่ชายคนโตแห่งตระกูล วรวงค์ดิสษากร คนดังที่ยอมเปิดกิจการทำธุรกิจแนวนี้ขึ้นมาก็เพื่อสนองนี้ดให้กับน้องชายสุดที่รักของตัวเอง ซึ่งลูกชายคนรองของตระกูลดังคนนี้นั้นเป็นคนรักสนุกชอบท่องเที่ยวยามราตรีเป็นชีวิตจิตใจ ตามสไตล์วิถีของลูกคนรวยที่ถูกตามใจ หัวอกคนเป็นพี่ที่เป็นห่วงน้องชายขนาดหนัก จึงเลือกที่จะสร้างสถานบันเทิงเริงรมย์แห่งนี้ขึ้นมาเองซะเลย และที่สำคัญ บาร์แห่งนี้ก็มักจะมีคนตัวเล็กผิวขาวนวล ซึ่งมีเรือนผมสีอ่อนทำให้ดูลับเหมาะกับใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มเป็นอย่างมาก ยิ่งเสริมให้ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่น่าจดจำได้อย่างไม่ยาก จึงคาดว่าพนักงานบาร์แห่งนี่ย่อมต้องรู้จักคนน่ารักคนนี้เป็นอย่างดีแน่นอน ซึ่งจะสามารถพบเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ในช่วงเวลาเดิมเป็นประจำ เนื่องจาก ฟาร์รัง มักจะมานั่ง ณ บาร์แห่งนี้ เพื่อที่จะมานั่งเฝ้าคอยมองหา คนคนนั้น ของตัวเองอยู่เสมอ โดยที่เขาคนนั้นกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด “ฟาร์มึงมองไปโต๊ะนั้นอีกแล้วนะ ถ้ามึงสนใจขนาดนี้ กูดีลให้ม่ะ แค่มองมันไม่ได้ไม่โดนหรอกนะเว้ย” น้ำเสียงก่อกวนของเพื่อนสนิทชื่อว่า หมอก มักจะเอ่ยเย้าใส่กันแบบนี้อยู่เป็นประจำ ทำให้ใบหน้าหวานต้องเบนใบหน้าหันกลับมามองตามเสียงเรียกติดกวนโอ๊ยของเพื่อนซี้ตัวแสบอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ถึงต้องได้ปะทะเข้ากับสายตากวนทีนที่ส่งมาให้ พร้อมกับการยักคิ้วโชว์เหนืออย่างปรามาสใส่กันเช่นทุกครั้ง “แค่ได้มอง ก็มีความสุขแล้ว” คิ้วเรียวได้รูปจึงขยับยักคิ้วตอบกลับคืนไปบ้าง พร้อมกับยกเครื่องดื่มในมือจิบต่อโดยไม่สนใจใบหน้าล้อเลียนของคนด้านข้างอีกต่อไป “จ้า พ่อพระเอก แค่มองก็สุขใจอย่างล้นเหลือแล้วอ่ะเนอะ.." แววตาซุกซนของคนที่นั่งข้างกับคนตัวเล็กยังคงมองตรงมา พร้อมกับยังเอ่ยคำพูดกวนๆ แต่แอบส่งแรงกดดันมาให้กันอย่างต่อเนื่อง แต่ยิ่งฟาร์รังไม่เล่นไปตามน้ำด้วย หมอกยิ่งกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนด้วยคำพูดอย่างไม่ยอมจบ "แต่เดี๋ยวคอยดูเถอะ พี่สุดหล่อคนดีของมึงน่ะ เดี๋ยวก็คงสอยใครสักคนติดมือกลับไปด้วยเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ เหอะ” หมอกยังคงพูดให้เพื่อนรักเริ่มคิดที่จะกระเตื้องออกตัวบ้าง หรือไม่ก็ควรจะลงมือทำอะไรมากกว่านี้หน่อย นอกซะจากไอ้การมานั่งเฝ้ามองเขาอย่างนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ แล้วก็ยอมปล่อยให้ไอ้คนที่ตนมุมานะมานั่งเฝ้าอยู่เป็นประจำผ่านไปแบบเสียเวลาทิ้งไปทุกครั้ง จนหมอกยังรู้สึกเหนื่อยแทนเลย แต่ฟาร์รังกลับเอาแต่นึกคิดและคอยภาวนาว่า ขอให้มีสักวันที่เขาอาจจะจำผมได้สักที ผมก็หวังว่ามันก็คงจะมีในสักวันแหละเนอะ (มั้งนะ) “เห้ย! ไอ้ฟาร์ ฟาร์! ฟาร์! เชร้ดด..พี่เขาเดินมาทางนี้วะ เมิ้งงง” หมอกผู้ที่ตื่นเต้นขนาดหนักรีบรัวกระแทกไหล่ใส่เพื่อนตัวเล็กด้านข้างยิกๆ ทันที ที่ได้สบเห็นคนคนนั้นของเพื่อนซี้เดินมุ่งตรงมาทางโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งอยู่แบบไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่ผมเมาโซดาจนเบลอ ๆ หรือเปล่าว่ะครับเนี่ย ?! “ดีครับ พี่ขอนั่งด้วยได้ไหมเอ่ย” ใบหน้าคมคายหล่อเหลาที่คนตัวเล็กชอบแอบมองนักหนา เริ่มเปิดริมฝีปากอิ่มหยักกล่าวทักออกมาพร้อมเผยรอยยิ้มพิฆาตส่งมาให้ก่อนเป็น first impression ให้กันอีกด้วย อ๊า..ช่างเป็นรอยยิ้มที่ขี้โกงเสียจริง เจอรอยยิ้มของเขาแบบนี้ทีไร ผมก็ไปไม่เป็นเลยสิครับแบบนี้ ตอนนี้ภายในใจดวงน้อยมันได้เต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะแล้ว แถมมันแทบจะกระดอนคลอนหลุดออกมาข้างนอกเสียให้ได้เลย แต่ทว่าปฏิกิริยาตอบรับภายนอกนี่สิ ใบหน้าหวานกลับทำได้เพียงคลี่ยิ้มบางส่งกลับคืนไปให้เล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเชื่องช้าตอบกลับไป ทั้งที่ในใจนั้นทั้งตื่นเต้นจนมันเกิดความอ้ำอึ้งไปหมดแล้ว “เชิญเลยครับพี่” กลายเป็นหมอกซะเองที่เอ่ยตอบเป็นน้ำเสียงเชื้อเชิญ พร้อมกับผายมือเชิญให้นั่งลงอย่างสุภาพ เพื่อให้คนที่มาใหม่ได้นั่งลงโซฟาตรงข้ามกับเพื่อนตัวเล็กตามสบายได้เลย “ยินดีที่ได้รู้จักนะ พี่ชื่อ เฮฟ ครับ น้องคงชื่อ ฟาร์รัง สินะครับ แล้วเอ่อ..น้องสุดหล่อละครับชื่ออะไรเอ่ย” คนมาใหม่มองใบหน้าหวานพร้อมเอ่ยเรียกชื่อของคนตัวเล็กออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ก่อนจะหันหน้าไปมองทางฝั่งชายผู้นั่งตัวติดกับคนตัวเล็กด้วยพร้อมกับผายมือเอ่ยถามชื่อออกมาอย่างเป็นปกติสำหรับผู้ที่เพิ่งจะได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก พอได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกชื่อของตัวเองออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้าแบบนี้ มันจึงทำให้ใจดวงน้อย ๆ ของคนตัวเล็กกระตุกอุ่นวาบขึ้นมาทันทีเลยล่ะ ทำไมพี่เฮฟรู้จักชื่อผมด้วยละ..หรือนี่..พี่เขาจะจำผมได้แล้ว? “ผมชื่อหมอกครับพี่ แหมพี่นี่รู้จักชื่อเพื่อนผมดีเชียวนะครับ แบบนี้ผมแอบน้อยใจเลยนะเนี่ย” หมอกเอ่ยสัพยอกใส่รุ่นพี่ที่เพิงเข้ามาเยือนกันกลับคืนไปด้วยน้ำเสียงติดขำ พลางหันไปมองเพื่อนของตนพร้อมกับทำเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ด้วย อีกทั้งยังขยับชิดเข้ามากระซิบอยู่ที่ข้างใบหูของฟาร์รังทันที “เหยื่อมาหาถึงที่เลยนะเว้ย อย่าทำให้พ่อผิดหวังนะต้าวนู๋ลู้ก” หลังริมฝีปากหยักพ่นประโยคสุดกวนจบแล้ว ฝ่ามือเรียวรีบปัดมือหนาทิ้งทันที เนื่องจากหมอกจะชอบยีหัวเพื่อนคนตัวเล็กเล่นเสมอ จนทำเอากลุ่มผมนุ่มของฟาร์รังในตอนนี้มันได้เสียทรงไปหมดแล้ว แต่หมอกกลับไม่ได้กลัวสายตาอาฆาตของเพื่อนซี้ตัวเล็กที่ส่งมาให้กันเลยสักนิดเดียว เจ้าตัวจึงชอบก่อกวนอวัยวะเบื้องล่างสุดของฟาร์รัง ให้ขยับยกขึ้นมาเตะลงบนหน้าแข้งกันอยู่เป็นประจำ ราวกับเป็นคนโรคจิตกันไปได้ เออว่าแต่..นี่ผมไปเป็นลูกมันตอนไหนวะ ? มันน่ะชอบเห็นผมเป็นน้องน้อยเสมอแหละ และมันก็คอยแต่จะแกล้งแหย่ผมอยู่แบบนี้เป็นประจำเลย “เอ่อ พี่เฮฟ ตามสบายเลยนะครับพี่ พอดีเพื่อนผมอีกกลุ่มนั่งอยู่ตรงนู้นแหนะ เดี๋ยวแวะไปหาพวกมันหน่อย" คนผิวน้ำผึ้งยกยิ้มก่อนจะบอกกล่าวกับแขกผู้มาเยือนคนใหม่ พร้อมชี้มือชี้ไม้ไปทางโต๊ะอีกฝั่งที่มีคนชอบแอบลอบมองหมอกมาอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน "งั้นผมฝากเพื่อนผมด้วยนะพี่” หมอกกล่าวจบก็บีบไหล่เพื่อนซี้เบา ๆ ราวกับให้กำลังใจบวกกับความกล้าหาญแล้วจึงลุกขึ้นเดินห่างออกไป เพื่อที่จะทำเป็นตีเนียนไปนั่งรวมกับโต๊ะกลุ่มนู้นที่หมอกชี้ให้ดูราวกับมาด้วยกันจริงๆ ทันที ซึ่งผมไม่รู้ว่ากลุ่มคนโต๊ะนั้นมันมีเพื่อนของหมอกจริง ๆ หรือจะเป็นเพียงแค่ โต๊ะนั้นมีคนที่หมอกต้องการอยากที่จะเข้าไปดีลกับเขากันแน่?.. แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็คือหมอกมันทำเหมือนกับจะเปิดทางให้ฟาร์รังได้อยู่เพียงลำพังกับพี่เฮฟแบบเต็มที่เลยอยู่ดี แต่ทว่าคนตัวเล็กกลับรู้สึกเหมือนโดนเพื่อนซี้เทกัน แล้วถูกปล่อยให้ผจญภัยอยู่เพียงลำพัง จนเหมือนกับกำลังได้พบเจอกับความตื่นเต้นระความหวาดหวั่นภายในใจอยู่คนเดียวเลยด้วยซ้ำไป เหอะ งอน ผมจะงอนหมอกมันไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ เลยคอยดูเถอะ!! คนตัวเล็กในสายตาของเฮฟคงจะรู้สึกวิตกกังวลอยู่ภายในใจมากแน่ๆ ถึงได้แสดงมันออกมาผ่านทางสีหน้าจนหมดสิ้นแล้ว ซึ่งมันยิ่งชัดเจนมากขึ้นก็เป็นตอนที่ดวงตากลมโตถ่อแววสั่นไหวออกมา ยามที่ได้มองตามแผ่นหลังเพื่อนสนิทที่เดินออกจากโต๊ะไปแล้วด้วยแววตาละห้อยให้กันขนาดนี้ ซึ่งทำให้เฮฟถึงกลับต้องเผลอหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ หึหึ ออกมาจนได้ จึงทำให้คนตัวเล็กพลอยได้ยินเสียงขบขันนั้นไปด้วย เมื่อคนน้องเริ่มรู้สึกตัวแล้วได้หันกลับมาโฟกัสที่ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยกยิ้มใส่ ราวกับกำลังล้อเลียนใส่กันฟาร์รังจึงหันไปยู่ปากใส่กลับคืนไปบ้าง นี่พี่เขาต้องหัวเราะเยาะใส่ผมแน่ ๆ เลย น่าขายหน้าชะมัด “ฟาร์รังไม่อยากนั่งคุยกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ดูทำหน้าเข้าสิ” ริมฝีปากเป็นกระจับสวยได้รูป จึงรีบเอ่ยถามออกมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศตรงหน้าให้ดีขึ้น พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากอย่างมีเสน่ห์โชว์ปลอบใจให้กับเด็กหน้ามุ่ยตรงหน้าแทน ขืนยังยิ้มให้กันแบบนี้ ผมจะตายเอาจริง ๆ นะครับเนี่ย เพราะว่าผมนั้น แพ้รอยยิ้มของพี่เขาที่เป็นแบบนี้ที่สุดเลย!! “ม่ะ..ไม่ใช่ครับ ผมแค่คุยไม่เก่ง กลัวพี่จะเบื่อมากกว่า” ริมฝีปากบางเม้มกันจนแน่น ดูท่าทางเกิดความประหม่าไม่มั่นใจออกมา เพราะฟาร์รังคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนที่คุยสนุกด้วยแบบหมอกเลยสักนิด "ทำไมฟาร์รังถึงคิดแบบนั้นละครับ" ใบหน้าใจดีแย้มยิ้มใส่ “พี่เฮฟเรียกผมว่าฟาร์ เฉย ๆ ก็ได้ครับ” ดวงตากลมสั่นไหวด้วยความเขินอายจึงรีบเอ่ยบอกออกมาเพราะอยากได้ยินคำที่ใช้เรียกกันอย่างสนิทสนมเช่นก่อนซะเหลือเกิน “ครับ น้องฟาร์” ริมฝีปากหยักได้รูปยอมเอ่ยเรียกตามความต้องการของคนน่ารักตรงหน้า พร้อมกับคลี่ยิ้มหวานส่งให้กับคู่สนทนาด้วยการหว่านล้อมอีกครั้ง ฟาร์รังจึงเริ่มเกิดอาการขวยเขินขึ้นมาซะดื้อๆ จนรู้สึกอยากจะมุดโซฟาหนีหายไปให้รู้แล้วรู้รอดซะตอนนี้เลย พี่เฮฟยอมเรียกว่า น้อง ให้ได้ยินกันอีกครั้งดังเช่นในวันวานใส่ด้วยแบบนี้.. ผมรู้สึกอยากจะละลายหายไปเลยละครับ.. ทั้งคู่นั่งสนทนากันไปพลางฟังเพลงด้วยกันไปพลาง แถมยังยกแก้วในมือกระดกขึ้นจิบลงคอเป็นระยะ เสียงพูดคุยที่เกิดขึ้นนั้นส่วนมากจะเป็นคนพี่ที่จะเป็นฝ่ายชวนคุยเสียมากกว่า ส่วนคนตัวเล็กเอาแต่พยักหน้าตอบอือออออกมาบ้าง ซึ่งไม่ค่อยจะยอมปริปากพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่ หากใครมองอย่างผิวเผินจะต้องคิดว่าฟาร์รังน่ะเป็นคนที่ดูหยิ่งยโส แต่แท้ที่จริงแล้วคือเปล่าเลยหากได้ทำความรู้จักด้วยแล้ว เพราะเนื่องจากฟาร์รังนั้นเป็นคนเงียบๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งจะมีนิสัยที่ไม่ค่อยกล้าปริปากคุยอะไรกับใครมากเป็นนิจอยู่ก่อนแล้ว ก็ผมคุยไม่เก่งนี่นา จริงๆ นะ ยิ่งในตอนนี้ เอ่อ..คือ ไม่สิ ในจังหวะนี้ ผมว่าน่าจะเป็นเพราะผมเขินคนตรงหน้ามาก ๆ แล้วต่างหากล่ะ ฟาร์รังก็เลยได้แค่ตอบคำถามที่คนพี่ต้องการรู้เรื่องราวของคนตัวเล็กตรงหน้าก็เท่านั้น คนขี้อายจึงเหมือนกับมีหน้าที่เพียงแค่ยิ้มตอบรับและยกแก้วเครื่องดื่มจิบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้เจ้าตัวเริ่มที่จะรู้สึกมึน ๆ หัวขึ้นมาแล้ว แถมใบหน้าหวานยังรู้สึกเห่อร้อนขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั่วทั้งตัวแล้วด้วย ก็ใครจะไปคิดว่าวันนี้ จะได้เจอได้คุยกับพี่เฮฟแบบใกล้ชิดกันขนาดนี้อีกครั้งกันละ ก็ในเมื่อทุกครั้ง ได้แต่เป็นฝ่ายแอบมองพี่เขาอยู่ไกลๆ ที่บาร์นี้เองนี่นา ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง... ฟาร์รังเริ่มรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองเริ่มที่จะไม่ไหวจริงๆ แล้วล่ะ ถ้าขืนยังไม่ยอมขยับเปลี่ยนอิริยาบทบ้างมีหวังต้องได้หัวทิ่มฝุบหลับคาโต๊ะแทนแน่ ๆ ใบหน้าเล็กติดริ้วแดงที่พวงแก้มจึงตัดสินใจที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินออกไปยังห้องน้ำในตอนนี้ซะเลย คนเริ่มกึ่มมึนหัวจึงได้หันไปบอกกับคนตัวโตไว้ก่อนว่าเดี๋ยวจะขอลุกออกไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ แต่เมื่อพอได้หยัดกายลุกขึ้นยืนยังไม่ทันเต็มความสูงดีนัก ร่างบางก็เกิดอาการโงนเงนขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนเกือบจะหน้าคะมำคว่ำลงโต๊ะ ทว่าโชคดีที่มีแขนแกร่งสอดเข้ามาคว้าเอวบางเอาไว้ได้ทันท่วงทีซะก่อน “ขะ..ขอบคุณครับ พี่เฮฟ” ในตอนนี้ฟาร์รังไม่รู้ว่าใบหน้ามันเห่อร้อนขึ้นมาแบบฉับพลันเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป หรืออาจเป็นเพราะว่ามีวงแขนแข็งแรงของพี่เฮฟเข้ามาโอบอุ้มช่วยรองรับเอาไว้กันแน่ “ฟาร์ไหวไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนเราด้วยดีกว่า” ฝ่ามือใหญ่ขยับเปลี่ยนเป็นจับจูงที่ข้อมือเล็กแทน เฮฟออกแรงพยุงตัวคนเมาที่ตุปัดตุเป๋เดินเซให้ก้าวขาออกเดินได้อย่างมันคงไปยังห้องน้ำด้วยกันแทน โดยที่ไม่ได้รอฟังคำคัดค้านหรือการท้วงติงจากริมฝีปากบางเลยสักนิด “พี่ยืนรอข้างนอกนะครับ หรือว่าน้องฟาร์อยากให้พี่เข้าไปด้วยกันไหมครับ..หื้ม” ร่างสูงถามคำถามออกมาด้วยสายตากรุ้มกริ่มดูมีเลศนัยแอบแฝง แบบนี้คืออะไรละครับเนี่ย ? “เอ่อ..มะ..ไม่เป็นไรครับ ฟาร์เข้าคนเดียวได้ ยังไม่ได้เมาขนาดนั้นครับ” มือเรียวยกขึ้นมาหยุดยั้งดันอกแกร่งเอาไว้ พร้อมกับทำท่าสต๊อปแล้วรีบอ้าปากรัวตอบคำถามกลับเป็นพัลวัน ก่อนที่จะรีบพาสองขาเดินเซให้มุ่งตรงเข้าไปในห้องน้ำให้ได้ด้วยตัวเองทันที หลังจากเสร็จธุระแล้วฟาร์รังรู้สึกอยากทำตัวเองให้สดชื่นขึ้นมาบ้าง จึงต้องการที่จะวักน้ำชำระล้างใบหน้าซะหน่อย มือเรียวแบมือรองน้ำจากก๊อกน้ำที่เป็นระบบออโตเมติก แต่ไฉนกลายเป็นหยดน้ำที่ควรจะไหลออกมาจากก๊อกตามปกติ มันดันกระฉอกแล้วย้อนพุ่งขึ้นมาใส่คนล้างมือแทนกันแบบนี้ละ จนทำให้คนที่ยังแบมือรองรับน้ำไหลผ่านก็อกอยู่เกิดอาการตกใจ แล้วได้เผลอร้องเสียงหลงออกมา รองเท้าผ้าใบที่กว่าจะขยับยกขาให้ออกห่างจากอ่างล้างหน้าได้แต่ละข้าง มันเลยกลายเป็นความเชื่องช้ากว่าสติที่ปกติไปถึง 40 วินาทีเลย คงเป็นเพราะความมึนเมาจากแอลกอฮอล์ถึงทำให้สตั๊นไปนานหลายวินาทีเลย ทีนี้กว่าเจ้าตัวจะรู้สึกตัวว่าต้องขยับถอยตัวออกให้ห่างโดยการเบี่ยงตัวหลบสายน้ำได้ ก็ดูว้าวุ่นเป็นพัลวันอยู่ตรงหน้าอ่างล้างมืออยู่คนเดียวไปซะแล้ว แต่ทว่า ก๊อกน้ำที่คาดว่าเซ็นเซอร์เสียแล้วมันก็ยังคงมีน้ำไหลพุ่งออกมาอย่างไม่ยอมหยุดสักที จนทำให้แรงกระเซ็นของสายน้ำมันได้ย้อนขึ้นมาจากแรงปะทะจากขอบอ่างอยู่ดี จึงทำเอาเสื้อเชิ้ตสีขาวของฟาร์รังต้องเปียกไปถึงครึ่งซีกแล้วเลย กระทั่งรุ่นพี่ที่ยืนรออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจ้าละหวั่นภายในห้องน้ำอยู่นานสองนาน จึงได้ลองผลักบานประตูแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาพร้อมกับหน้าตาตื่นตกใจตามไปด้วยเช่นกัน “น้องฟาร์เป็นอะไรรึเปล่าครับ” สายตาคมดุของคนพี่ถ่อแววเป็นห่วงเป็นใยส่งมาให้กับคนที่ยังคงยืนมึนงง สมองตื้อเบลอไปหมดว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตนถึงได้ตัวเปียกไปถึงครึ่งซีกแบบนี้แล้ว “ไม่เป็นอะไรครับ ฟาร์แค่ตกใจที่น้ำมันพุ่งแรงจนกระเด็นขึ้นมาใส่เสื้อเปียกน่ะครับ” ใบหน้าเหลอหลาเพิ่งจะนึกถึงได้แล้วจึงควานหาเสียงของตนตอบกลับไป คนพี่มองใบหน้านวลที่ยังตื่นตระหนกแล้วได้ลองเลื่อนสายตามองตาม กับในสิ่งที่คนตรงหน้าบอกมาว่าเสื้อเชิ้ตมันเปียกไปครึ่งซีกแล้ว จนได้เห็นแบบเต็ม ๆ สายตา ร่างแกร่งถึงกับต้องหน้าแดงขึ้นมาทันควัน หลังจากที่ได้เผลอมองตรงสิ่งที่ชวนเย้ายวนสายตา จนต้องสะดุดแล้วหยุดโฟกัสตรงนั้นไปด้วย เออ..นี่แอลกอฮอล์ที่กระดกรัวๆ เข้าไป น่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้วละมั้งครับเนี่ย พี่เฮฟถึงหน้าแดงขึ้นมาได้ขนาดนี้.. คนตัวโตเบือนสายตาหนีออกห่างจากสิ่งที่เผลอไปโฟกัสอย่างเสียมารยาท จนต้องรีบจับจูงข้อมือคนตัวเปียกครึ่งซีกให้เดินตามหลังติดๆ กันออกมาจากห้องน้ำโดยด่วน แล้วพากันเดินกลับมานั่งยังโต๊ะที่เดิมพร้อมกับหันมาเอ่ยปากถามกับฟาร์รังว่าอยากจะกลับกันเลยไหม ไหนๆ เสื้อของคนตัวเล็กตรงหน้าก็เปียกโชกซะขนาดนี้แล้ว ท่าทางคนน้องก็น่าจะหนาวด้วย ซึ่งฟาร์รังก็เริ่มรู้สึกเช่นกันว่ามันเริ่มหนาวขึ้นมาแล้วจึงยอมพยักหน้าหงึกหงักส่งกลับคืนไปให้คนพี่ แต่เมื่อฟาร์รังนึกขึ้นได้ว่าควรจะต้องบอกหมอกก่อนว่าจะกลับไปก่อนแล้วนะ แม้ก่อนหน้านี้จะโดนหมอกเทก็ตาม เออไม่ใช่สิ หมอกทิ้งผมปล่อยให้อยู่กับพี่เฮฟตามลำพังนั่นแหละ แต่มันก็ไม่ได้ทิ้งผมแล้วแอบหนีกลับไปเลยนี่นา หมอกก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แค่ไปนั่งหัวเราะร่าสนุกสนานอยู่กับโต๊ะทางนู้น แล้วแค่ปล่อยลืมผมเอง ฟาร์รังเริ่มละล้าละหลังกับการตัดสินใจในความคิดที่เริ่มจะตีรวนกันอยู่ในหัวสมองอันเชื่องช้า กำลังช่างน้ำหนักคิดว่าการจะชิ้งหนีเพื่อนสนิทตัวแสบไปเลย หรือควรลุกไปบอกกล่าวกับหมอกก่อนว่าขอกลับก่อน แบบไหนดีกว่ากันละ เมื่อคนนั่งคิดจนคิวมุ่นไปหลายนาทีตัดสินใจแล้ว จึงได้หันไปบอกคำตอบกับคนด้านข้างที่นั่งรอฟังคำตอบทันที “เอ่อ..พี่ครับ เดี๋ยวผมขอเดินไปบอกหมอกก่อนนะครับ ว่าจะขอกลับก่อน” น้ำเสียงอึกอักไม่มั่นใจจากคนตัวเล็ก ที่เริ่มนั่งกอดอกเอาไว้ให้คลายความหนาวสั่นจากแอร์ที่ทำงานหนักอยู่ด้านบน ซึ่งมันขยันส่งตรงสาดไอเย็นลงมาใส่บนโต๊ะนี้แบบเต็มๆ เลย สายตาคมของคนพี่จับจ้องมองวงหน้าหวานของคนตัวเล็ก ก่อนจะเลื่อนสายตาคมลงไปมองยังเสื้อเชิ้ตที่เปียกของคนตัวขาว “พี่ว่า เดี๋ยวพี่เดินไปบอกเพื่อนเราให้เองดีกว่าครับ ฟาร์นั่งรออยู่นี่แหละ” ร่างแกร่งบอกกล่าวจบก็ผุดลุกยืนเต็มความสูง แล้วออกเดินมุ่งไปยังโต๊ะเป้าหมายที่ได้เห็นว่าหมอกนั่งหัวเราะยิ้มร่าอยู่ ดูท่าทางสนุกสนานครื้นเครงจนอาจจะลืมฟาร์รังไปแล้วด้วยซ้ำ ในระหว่างที่เฮฟกำลังเดินไปที่โต๊ะของหมอก ดวงตากลมโตมองตามแผ่นหลังของคนพี่ไปตลอดทาง จึงได้สบเห็นคนพี่ได้แวะพูดคุยอะไรสักอย่างกับพนักงานของทริปเปิลเอสบาร์ พร้อมกับชี้นิ้วกลับมาทางโต๊ะที่ฟาร์รังได้นั่งอยู่ด้วย แล้วจึงค่อยผละตัวออกเดินต่อมุ่งไปทางโต๊ะที่หมอกไปนั่งแจมอยู่ ฟาร์รังมองไปทางโต๊ะฝั่งนู้นได้เพียงครู่เดียว ก็ได้มีพนักงานเดินนำผ้าเช็ดตัวมาบริการมอบให้ถึงที่โต๊ะเลย มือบางยืนมื่อไปรับมาคลุมตัวเองเอาไว้ทันทีพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณออกไป พี่เฮฟแม่งโคตรใส่ใจเลย แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมชอบเขามาก ๆ ได้ยังไงกัน! ใบหน้านวลที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มได้ลองลอบสังเกตอาการของคนรอบข้าง ถึงได้รู้ว่ามีสายตานับสิบจากโต๊ะรอบข้างที่คอยจับจ้องมองไปที่พี่เฮฟกันเป็นจุดเดียว ในระหว่างทางที่ต้องเดินกลับมาหาฟาร์รังที่โต๊ะนี้ด้วย แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนสนใจเยอะมากราวกับเป็นคนดังขนาดนี้ ก็พี่เฮฟหล่อตั้งขนาดนี้นี่นา.. เมื่อเฮฟเดินกลับมาจนถึงโต๊ะที่คนตัวเล็กนั่งคลุมผ้าห่มอยู่พร้อมกับยกยิ้มหวานให้กัน นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองลึกลงไปถึงนัยน์ตาสีอ่อนสั่นไหวของคนที่ยังคงสบมองกันอยู่เช่นเดียวกัน “ฟาร์จะกลับเลยไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” สายตาคมวาววับเปล่งออกมาแบบนี้ นี่มันสายตาล่าเหยื่อชัดๆ ยิ่งเคยได้ยินว่า ถ้าเดินออกไปกับผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยมีใครรอดเสือร้ายคนนี้ไปได้แน่นอน “หรือถ้ายังไม่อยากกลับ เราไปต่อกันสักที่มั้ยครับ” คนพี่ยังคงหาประโยคถามเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับคนน้อง แต่ทว่าฟาร์รังกลับคิดว่าไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน ผลลัพธ์มันก็ออกมาไม่ต่างกันรึเปล่า? เพราะยังไงคืนนี้ฟาร์รังคงเป็นผู้ถูกเลือกและโดนหมายหัวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ ถึงได้เดินมาเยียมเยือนกันถึงโต๊ะแบบนี้ได้สักที เอาว่ะ! เอาไงเอากัน!! TBC..Pt.2
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD