ทุ่มเท 4 เพื่อนซี้ต่างไซซ์

4078 Words
เพื่อนซี้ต่างไซซ์ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น วันเวลาก็ผ่านมาได้ประมาณ 4 สัปดาห์แล้ว ฟาร์รังยังไม่ได้กลับไปเจอคนคนนั้นอีกสักครั้งเลย คนน่ารักขาประจำที่ไม่ได้ย่างกรายกลับไปที่บาร์นั้นอีกอาจจะเป็นเพราะว่าเสียความรู้สึก หรือ อาจจะเป็นเพราะผิดหวังในตัวคนพี่ที่เปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับแล้ว อันนี้ก็ไม่มีใครรู้ความคิดภายในใจของฟาร์รังได้เลย แม้นแต่กระทั่งหมอกที่เป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ยังต้องรู้สึกแปลกใจไปด้วยเลย จนถึงกับต้องเอ่ยปากถามฟาร์รังออกมาอย่างคับข้องใจและสงสัยว่าเพื่อนคนตัวเล็กได้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาโดยที่หมอกยังไม่รู้รึเปล่า เพราะถ้าหากเป็นช่วงปรกตินั้น ฟาร์รังมักจะเป็นฝ่ายชักชวนให้หมอกเพื่อตัวดีสุดแสบได้พาออกไปเตร่ ๆ ที่บาร์นั้นอยู่เสมอ แต่ทว่าคนตัวเล็กไม่ได้เอ่ยอธิบายบอกความในใจอะไรออกมากับหมอก นอกจากเพียงแค่บอกปัดไปอย่างไม่อยากจะคิดเก็บมาใส่ใจและต้องทำให้หมอกต้องมาวิตกกังวลและคิดมากตามไปด้วย แต่หมอกกลับรบเร้าถามเอาความจริงกับคนตัวเล็กอย่างไม่ย่อท้ออย่างเป็นห่วงเป็นใยจริงๆ ฟาร์รังจึงยอมตอบออกมาว่า “ก็เพราะช่วงนี้โดนลดเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแถมยังโดนป๊าอายัดบัตรเครดิตไปหมดแล้วด้วย” แถมฟาร์รังยังโดนป๊าต่อว่ามาในเรื่องที่คนตัวเล็กชอบทำตัวเถลไถล ไม่ยอมกลับไปบ้านนานแล้ว ใช้ชีวิตอิสระที่ดีแต่ผลาญเงินของตระกูลเล่นไปวัน ๆ ให้ฟาร์รังรู้สึกเจ็บแสบและเสียใจทั้งที่ไม่ได้รบกวนชีวิตของป๊ามันขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำไป แต่ก็อย่างว่าแหละ ฟาร์จะชอบมาบ่นน้อยใจให้กับหมอกฟังเสมอว่า “ใครจะไปสู้ลูกรักของป๊าแบบคนที่ชื่อ ณภัทร ได้กันละ เพียงแค่ผู้ชายคนนี้พูดอะไรออกมานิดหน่อย ป๊าก็ย่อมเชื่อสองแม่ลูกนั้นก่อนลูกในไส้แบบผมเสมอมาเลยล่ะ” “ส่วนผมนั้นน่ะเหรอ เหอะ ก็เป็นลูกที่ป๊าไม่เคยสนใจไงครับ เพราะนอกจากตอนผมเกิดมาจึงทำให้แม่เสียชีวิตแล้ว” “พอโตขึ้นมานะ แล้วพอป๊าได้รับรู้ว่าผมเป็นเกย์ แกยิ่งไม่เคยพูดกับผมดี ๆ อีกเลย จะมีก็แต่เพียง พี่เลออน พี่ชายที่แสนดีของผมเท่านั้นเอง” “แต่ทว่าตอนนี้พี่ชายผมต้องยุ่งมาก เพราะต้องไปดูแลงานที่สาขาต่างประเทศอยู่น่ะสิ ผมเลยเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบที่ถูกเฉดหัวทิ้งเป็นหมาหัวเน่าเลยล่ะ เหอๆ” แค่หมอกได้ฟังความน้อยเนื้อต่ำใจจากฟาร์รังแล้วก็ย่อมรู้สึกต้องปวดใจตามเพื่อนซี้คนนี้เลยล่ะ เพราะฟาร์รังมันมักจะเป็นคนขี้น้อยใจแล้วเอาแต่ด้อยค่าตัวเองตลอดแบบที่ไม่ยอมตอบโต้กลับคืนไปบ้างอีกด้วย ทำเอาบางครั้งหมอกยังรู้สึกโกรธแค้นแทน จนอดที่จะเผลอใจไม่ให้สาปส่งสองแม่ลูกนั่นตามไปด้วยไม่ได้เลย ช่วงนี้ฟาร์รังใช้ชีวิตที่น่าเบื่อได้เป็นปกติอย่างเคยชินไปโดยอัตโนมัติ จนเข้าสัปดาห์ที่สี่แล้ว คนตัวเล็กจึงชวนหมอกไปบาร์แห่งนั้นด้วยอีกครั้ง แต่ทว่าหลังจากที่ได้ไปแบบ 3 วันติดก็ไม่เห็นจะได้เจอคนที่ต้องการเจออีกเลย คนที่ผมต้องการเจอนั้นหายตัวไปไหนของเขากันนะ? ช่วงสามสัปดาห์แรกที่ฟาร์รังไม่กล้ามาที่บาร์แห่งนี้ เพราะความเสียใจยังกวนขุ่นให้เสียความรู้สึกกับเรื่องในคืนนั้นอยู่ แต่ทว่าคนตัวเล็กก็ทนต่อความคิดถึง เขาคนนั้นไม่ไหวจึงต้องยอมกลับมา ณ บาร์แห่งนี้ เพื่อแค่จะหวังว่าได้เห็นหน้าพี่เฮฟ เห็นว่าเขายังสบายดีก็เพียงพอแล้ว จนกระทั่งเพื่อนซี้ถือนิตยสารเล่มหนึ่งมาให้เพื่อนคนตัวเล็กดู ซึ่งหน้าปกนิตยสารเล่มนี้คือพี่เฮฟนั่นเอง อ่อ..ที่แท้พี่เฮฟที่หายไป อาจจะเพราะคงจะตัดสินใจเข้าวงการแบบจริงจังแล้วสินะ ดีใจด้วยนะครับพี่เฮฟ ยิ่งช่วงนี้ฟาร์รังกับหมอกขึ้นปีที่ 2 แล้วงานก็เยอะขึ้นตามชั้นปีด้วย ทั้งคู่จึงไม่ค่อยมีเวลานอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่วงนี้ฟาร์รังมีใบหน้าซีดเซียวมากจนสังเกตเห็นได้ชัด เมื่อยิ่งต้องออกไปพรีเซนต์งานหน้าชั้นถึงกับถูกอาจารย์เอ่ยทักออกปากถามด้วยความเป็นห่วงกันเลยทีเดียว “ฟาร์รังไหวไหมลูก? ป่วยหรือเปล่าคะเนี่ย? สีหน้าเธอดูแย่มากเลยค่ะ” แต่คนที่ดูเหมือนคนป่วยกลับตอบออกไปเพียงแค่ว่ายังไหวอยู่ ผมสบายดีครับ พร้อมรอยยิ้มกล่าวขอบคุณอาจารย์ออกไปเท่านั้น เนื่องจากฟาร์รังต้องการที่จะพรีเซนต์งานนี้ให้มันจบลงไปด้วยดีสักที และแล้วการพรีเซนต์งานของฟาร์รังที่แสนจะเข้มงวดได้ถูกเคี่ยวกรำมาหลายครั้งก็ได้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนได้ หลังจากที่อาจารย์ได้ปล่อยคราสเรียนแล้ว หมอกก็รีบเอ่ยชวนคนตัวเล็กลงมากินข้าวด้วยกันเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ทว่าวันนี้หมอกสังเกตเห็นหน้าคนตัวเล็กว่ามันยิ่งซีดเซียวย่ำแย่มากกว่าเดิมไปอีก จึงอดที่จะเอ่ยบอกให้ฟาร์รังไปโรงพยาบาลไม่ได้เลย แต่ทว่าคนตัวเล็กกลับอิดออด สุดแสนจะหัวรั้นใส่เอาแต่แย้งว่า “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า คงแค่นอนไม่พอก็เท่านั้น” ผมคิดแบบนี้จริง ๆ นี่นา ก็งานพรีเซนต์ทำเอาเครียดจะตาย เป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน คนป่วยสุดดื้อรั้นจึงเสนอขอให้เพื่อนตัวโตให้ซื้อข้าวกลางวันกลับไปกินที่คอนโดแทน เพราะตอนนี้มันดันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาด้วยแล้วนะสิ ยิ่งเวลาเจอคนเยอะ ๆ แบบที่โรงอาหารน่ะ แทบจะลมจับเลย เพื่อนสนิทสุดซี้แบบหมอกก็ย่อมต้องตามใจเพื่อนรักตรงหน้าอยู่แล้ว หลังจากที่หมอกได้พาคนรั้นกลับมายังคอนโดตนเองเรียบร้อยแล้ว เจ้าของห้องก็รีบเป็นฝ่ายจัดการนำอาหารที่ซื้อติดมือกลับมาเดินปรี่เข้าไปยังโซนครัว นำอาหารที่ซื้อมาไปเทจัดใส่จานให้อย่างเรียบร้อย พร้อมเรียกคนป่วยให้ลุกขึ้นมากินได้แล้ว แต่ทันทีที่คนหน้าซีดเซียวได้กลิ่นข้าวผัดกะเพรารวมมิตรที่เคยชอบนักหนานั้น กลิ่นที่มันเคยหอมรัญจวนใจกลับกลายเป็นการทำให้ถูกเล่นงานเข้าให้แล้วจนรู้สึกคลื่นเ**ยนตีรวนขึ้นจมูกมาโดนฉับพลัน คนเกิดอาการไม่สู้ดีต้องรีบยกมือขึ้นมาอุดปากเอาไว้แล้วรีบวิ่งตึกตักพุ่งตัวออกไปยังห้องน้ำทันที หมอกเกิดอาการตกใจตะลีตะลานเช่นกัน จึงวิ่งตามหลังคนตัวเล็กเข้าไปในห้องน้ำติดๆ แล้วยืนมือไปช่วยลูบแผ่นหลังบางให้กับคนที่กำลังโก่งคออาเจียนออกมาอย่างหนักจนหน้าแดงไปหมด เมื่อได้เห็นคนป่วยจอมรั้นอาเจียนจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว ถึงขั้นต้องปล่อยตัวนั่งพิงอยู่กับโถชักโครก หมอกจึงเดินกลับออกไปเอาน้ำใส่แก้วแล้วถือมายื่นส่งให้กับคนหมดแรงได้บ้วนปากซะพลางกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจากใจจริง “ฟาร์กูว่าไปหาหมอเถอะ หน้ามึงซีดมาก แถมอวกแบบนี้อีก” เพื่อนสนิทตัวโตเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าและแววตาแสดงความเป็นห่วงแบบจริงจัง “กูไม่เป็นไรหรอกมึง น่าจะนอนน้อยหน่ะ แถมกินข้าวไม่ตรงเวลาด้วย มัวแต่ห่วงปั่นงาน กูเครียดจัดกลัวว่าจะพรีเซนต์งาน'จารย์ฐาไม่ผ่านด้วยแหละ” คนตัวเล็กนั่งพิงชักโครกปิดพับเปลือกตาลงไปหลังจากตอบคำถามเพื่อนขี้กังวลใจจบแล้ว เพราะฟาร์รังเริ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมาอีกรอบแล้ว “แต่กูว่าไปตรวจดูดีกว่า จะได้เอายามากิน แบบนี้มึงเป็นหนักจะแย่กว่าเดิมนะ” หลังเพื่อนสนิทยังคงเซ้าซี้ให้ร่างบางแสนอิดโรยไปหาหมอ เปลือกตาสีไข่จึงยอมเปิดขึ้นมาเพื่อคุยเจรจาต่อรองกับเพื่อนจอมตื๊ออีกครั้ง จึงได้เห็นว่าหมอกมองกลับมาด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยกันมากขนาดไหน “กูขอลองนอนดูก่อน เผื่อจะดีขึ้นนะ” “...” หมอกยืนจ้องคนใบหน้าซีดเซียวนิ่ง ๆ ไม่ไหวติงตามคำขอ “น้าา..พี่หมอกคับ” กลับกลายเป็นฟาร์รังผู้รู้จุดอ่อนของหมอกที่ได้ส่งสายตาเว้าวอนแถมใช้คำเรียกว่า พี่ ที่หมอกแพ้ตลอดออกมาอย่างง่ายดายอีกด้วย หมอกสะบัดหัวให้อย่างระอิดระอากับความดื้อดึงของเพื่อนตัวเล็กคนนี้ซะเหลือเกิน แต่ก็ยอมช่วยพยุงร่างสะโหลสะเหลให้ลุกขึ้นและพาออกเดินไปส่งยังห้องนอนแขก ซึ่งเป็นห้องที่คนตัวเล็กเข้ามาใช้อยู่เป็นประจำยามที่ฟาร์รังต้องเทียวไปเทียวมาหาสู่กัน บางทีก็ร้องห่มร้องไห้มาขอหลบภัยและปรับอารมณ์ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นใช้ฟาร์รังเป็นสนามอารมณ์ จนหลายครั้งมันได้เลยเถิดจนทำเอาฟาร์รังถูกป๊าต่อว่ารุนแรงจึงต้องหาที่พึ่งเลยได้มาพำนักพักอยู่กับหมอกเช่นนี้ จนคนตัวเล็กคนนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องคอนโดชุดสุดหรูแห่งนี้ไปแล้วโดยที่หมอกก็เต็มใจอย่างยิ่ง “แต่ถ้ามึงตื่นมาแล้วอาการไม่ดีขึ้น กูจะลากมึงไปโรงพยาบาลนะ” “กูไม่เป็นไร..จริง ๆ” คนตัวเล็กตรงหน้ายังคงดื้อแพ่งใส่เพื่อนตัวโตที่หน้านิ่วคิ้วขมวดใส่อยู่ดี เพราะเจ้าตัวมั่นใจซะเหลือเกินว่าตื่นขึ้นมาต้องดีขึ้นแน่นอน “มึงดื้ออ่ะ กูจะตีมึงไอ้ดื้อ ทำไมลูกกูถึงดื้อขนาดนี้วะ มึงแม่งโคตรดื้ออ่ะฟาร์” หมอกบ่นใส่ร่างบางอย่างระอา แต่ก็ยังดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ พอเช็กอุณหภูมิแอร์เรียบร้อยแล้ว ร่างหนาก็เดินฮึดฮัดขัดใจออกไป ฟาร์รังได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับหันไปมองบานหน้าต่างที่มีแสงไฟนีออนสอดส่องเข้ามาแทนที่ของแสงอาทิตย์แล้ว กลับกลายเป็นว่าดันเผลอหลับยาวไปเลย ได้ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นช่วงสามทุ่มกว่าๆ แล้ว คนเคยป่วยผุดลุกและเดินออกจากห้อง ดวงตากลมสบมองเพื่อนซี้ที่นั่งจ้องดูหนังอยู่ตรงห้องนั่งเล่นอย่างใจจดจ่อ “อ่าว ตื่นแล้วหรอ กูเข้าไปจะปลุกมึงให้ออกมากินข้าวตั้งแต่ตอน 6 โมงแล้ว แต่เห็นมึงหลับลึกเลยไม่อยากกวน จะได้นอนพักเต็มที่” ร่างอิดโรยเดินเลยไปหยิบน้ำในตู้เย็นออกมาดื่ม แล้วถือติดมือเดินกลับมาหย่อนกายนั่งลงข้างเพื่อนสนิท หมอกเขยื้อนฝ่ามือแปะอังเข้าที่หน้าผากของคนตัวเล็กทันทีที่ตอนนี้คนป่วยยังมีสีหน้าซีดเซียวอยู่เลย “ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า แต่หน้ามึงซีดมากเลย ปวดหัวปะเนี่ย” คนตัวเล็กส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ แต่ทว่าเพื่อนสนิทตัวโตส่งสายตา เป็นกังวลออกมามองกันอีกครั้ง “กินข้าวต้มกุ้งมั้ย กูสั่งมาตอนเย็น เดี๋ยวกูไปเวฟให้” ใบหน้าหวานติดซีดพยักหน้าหงึกหงัก “ขอบคุณนะงับพี่หมอก” เอ่ยคำอ้อนออกมาพร้อมส่งยิ้มตาหยีไปให้คนถามด้วยเลย “เนี่ย เพราะมึงขี้อ้อนแบบนี้ไง กูจะไม่ห่วงมึงยังไงให้ไหวก่อน” คนผิวน้ำผึ้งว่าเสร็จ ยื่นนิ้วแข็งแรงขึ้นมาบีบจมูกโด่งน้อย ๆ ของคนหน้าเป็นไปหนึ่งที "เจ็บน้า" มือบางยกขึ้นลูบปลายจมูกแดงป้อยๆ หลังจากที่ถูกข้อนิ้วแข็งราวกับคีมเหล็กคีบหนีบเอา จนทำให้ปลายจมูกเล็กปรากฏขึ้นริ้วแดงตามแรงบีบทันที "หึ หึ" หมอกหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมบิดขี้เกียจจนเสียงกระดูกลั่นก็อบแก็บก่อนจะออกตัวเดินไปอุ่นข้าวต้มกุ้งให้คนที่เพิ่งตื่นนอนขึ้นมาช่วงดึกเช่นนี้ ทว่าเจ้าตัวเอาแต่จ้องมองหน้าจอทีวีจอยักษ์นั่นอย่างเหม่อลอยโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิด ทั้งที่ดวงตากลมเพ่งมองไปทางหน้าจอ แต่กลับไม่ได้ประมวลถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในม่านตาเลยสักนิด ฟาร์รังได้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดสะระตะในหัวไปเรื่อยเปื่อยแล้ว อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนที่รักผม พี่ชายที่รักผม ส่วนคนคนนั้นถึงแม้จะจำผมไม่ได้ก็คงช่างมันเถอะ เฮ้อออ คนนั่งจมจ่อกับห้วงความคิด เผลอถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างแรง จนเพื่อนซี้แบบหมอกเดินกลับมาทันได้ยิน ฝ่ามือใหญ่วางชามข้าวต้มที่ส่งกลิ่นหอมฉุยลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตรงหน้าคนป่วยให้พร้อมตักกินได้ทันทีเลย “อ่ะ ถอนหายใจยาวขนาดนี้ แก่เร็วไปอีก 10 ปีเลยนะมึง” หมอกหันมาเอ่ยแซวกับคนที่เพิ่งจะถอดถอนหายใจออกมาซะยืดยาวด้วยสายตากวน ๆ อยากแกล้งเพื่อนตัวเล็กให้รู้สึกที่ขึ้นบ้าง “ขอบคุณครับ รักพี่หมอกที่สุดเลย” คนตัวเล็กที่ไม่มีแรงจะกวนเพื่อนตัวโตกลับคืนเลยทำได้เพียงแค่หันไปคว้าหมับ กอดเอวสอบเพื่อนสนิทสุดที่รักเพื่อใช้ภาษากายตอบแทนด้วยความขอบคุณจริงๆ “รีบกินเลย หรือจะให้กูป้อนด้วยไหมไอ้น้องน้อยของพี่ หือออ” หมอกดึงแขนที่กอดเอวหนึบจนเป็นปลิงออก แต่คนที่โดนแกะแขนนั้นทันได้สบเห็นว่า เพื่อนซี้ตัวโตของตนเองนั้นน่ะมีใบหูที่ขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาแล้ว ท่าจะเขินซินะแบบนี้ เพราะนาน ๆ ผมถึงจะอ้อนหมอกสักที ฟาร์รังเริ่มลงมือตักกินข้าวต้มกุ้งใส่ปาก แต่ทว่ามันพร่องลงไปได้แค่เพียงนิดหน่อย มือเรียวก็ต้องวางช้อนลงไปเพราะรู้สึกว่าอิ่มตื้อขึ้นมาซะดื้อๆ จนคนด้านข้างที่คอยนั่งมองกันอยู่ถอนหายใจออกมา แต่ก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยบ่นอะไรตามออกมาด้วย แถมยังเอ่ยปากไล่ให้คนหน้าซีดตัวเซียวไปเช็ดตัวแล้วรีบเข้านอนแทนซะ พร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวจัดการต่อเองหลังจากเห็นคนหน้าป่วยพะว้าพะวังกับชามข้าวต้มที่เหลือเกินครึ่งถ้วยตรงหน้าเสียเหลือเกิน หลังคนกินข้าวไม่หมดได้ยินเพื่อนซี้ตัวโตที่วันนี้ยอมใจดีใส่ด้วย ฟาร์รังจึงได้ทำท่าจำแลงแปลงกายสวมบทบาทเป็นน้องน้อยของพี่หมอกสุดที่รักทิ้งท้ายแทนคำขอบคุณให้ด้วย คนหน้าเป็นรีบหันไปสวมกอดใส่เพื่อนตัวโตที่ยอมนั่งเป็นเพื่อนกันตลอดเวลาเพื่อเฝ้ามองแกมกดดันให้คนป่วยอ้าปากกินข้าว จนกระทั่งฟาร์รังลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินมุ่งไปทางห้องน้ำไปเช็ดตัวพร้อมกับแปรงฟันก่อนนอนตามคำสั่งของพี่หมอกเจ้าของห้องคอนโดหรูแห่งนี้ ⍣ 6.30 น. อุ๊บ แหวะ แค่ก ๆ โอ๊กกก คนป่วยเมื่อวานรีบผุดลุกขึ้น สับขาวิ่งออกจากห้องนอนแล้วพุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำด้านนอกแทบจะไม่ทัน หลังจากที่จู่ๆ ก็มีอาการคลื่นไส้ตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ ฟาร์รังได้สำรอกออกมาจนมั่นใจแล้วว่ามันไม่มีอะไรจะขย้อนออกมาจากลำคอได้อีก คนหน้าซีดจึงเลือกเดินไปทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาหน้าทีวีด้านนอกอย่างหมดเรี่ยวแรง 10.00 น. คนตัวเล็กรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือที่มาแตะสัมผัสเข้ากับหน้าผากตนเอง จนต้องปรือตาขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นเพื่อนซี้เจ้าของห้องที่ยืนจับจ้องมองกันอยู่ “กูว่ามึงไปหาหมอเหอะวะ เดี๋ยวกูพาไปเอง มึงลุกไปอาบน้ำเองไหวมั้ยอะ” ร่างบางทำเพียงพยักหน้าอย่างไม่ต่อต้านการไปพบแพทย์อีกต่อไป จากนั้นทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่ปรากฏว่าเกิดอาการวูบจนต้องวืดลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้นแทน หมอกจึงต้องรีบรุดตัวเข้ามาพยุงคนป่วยที่วืดลงไปนั่งพังพาบอยู่ที่พื้นให้ขยับลุกขึ้นมานั่งลงที่โซฟาครู่หนึ่ง พร้อมกับเอ่ยบอกแค่ว่าไปโรงพยาบาลทั้งอย่างนี้แหละ ส่วนตนเองนั้นรีบเดินกลับเข้าห้องนอนเพื่อไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกุญแจรถออกมา แล้วรีบเดินออกมาพยุงพาคนตัวเล็กหน้าซีดเซียวให้ไปโรงพยาบาลด้วยกันในทันที @ โรงพยาบาล DZZ ตอนแรกหมอตรวจสุขภาพคนตัวเล็กตามปกติ แต่ว่าหมออยากให้แน่ใจว่าเป็นอย่างที่คิดไว้ จึงได้ติดต่อส่งตัวคนไข้ให้ไปตรวจยังที่แผนกสูติอีกครั้ง ซึ่งหมอกก็ได้หันไปมองหน้ากับคนตัวเล็กด้วยความงวยงงและแปลกใจ แต่ทว่า สิ่งที่คุณหมอคิดนั้นมันทำให้ ผมเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อฟาร์รังพบหมอเสร็จ ร่างบางได้เดินล่องลอยออกมาหาเพื่อนสนิทอย่างมึนเบลอหลังจากที่ได้รู้ผลตรวจมาจากปากคุณหมอแล้ว วันนั้น หลังจากที่มีเซ็กส์กับพี่เฮฟ แม้นผมจะรีบกินยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว แต่มันก็อาจจะไม่ทันหรือเปล่า ? หมอกรีบรุดเดินเข้ามาถามคนตัวเล็กที่มีสีหน้าหม่นตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงทันทีว่าหมอวินิจฉัยว่าฟาร์เป็นอะไร มีอาการหนักรึเปล่า? ทว่าดวงตากลมกลับขยับหลุกหลิกไปมาพร้อมถ่อแววตาลังเลดูไม่มั่นใจกับการจะตอบคำถามออกมาให้คนยืนมองรอคำตอบกันอยู่ จนร่างสูงแอบพรูลมหายใจออกมาและไม่คิดคาดคั้นถามหาเอาคำตอบจากคนที่มีใบหน้าเศร้าหมองตรงหน้าต่อแล้ว หากเจ้าตัวอาจจะยังไม่พร้อมที่จะเอ่ยปากบอกออกมาเอง หมอกจึงไม่คิดจะเซ้าซี้ถามอะไรให้ฟาร์รังรู้สึกหนักใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฝ่ามือใหญ่จังทำแค่เพียงยื่นออกไปจับจูงมือบางที่ยั่งติดสั่นเทาเล็กน้อยให้ออกเดินไปรอรับยาด้วยกันแทน หลังจากนั้นหมอกจึงได้พาคนป่วยกลับคอนโดโดยที่ไม่ปริปากถามอะไรออกมาอีกสักคำเลย หลังจากทั้งคู่ได้กลับมาถึงคอนโดเรียบร้อยแล้ว ฟาร์รังได้พาตัวเองไปหย่อนกายนั่งลงตรงโซฟาตัวโตที่มีเจ้าของห้องนั่งอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามือเล็กแตะลงบนท่อนแขนของเพื่อนสนิทให้ได้รับรู้ว่าตอนนี้สะดวกใจที่จะบอกคำตอบที่ฟาร์รังเพิ่งจะได้รับรู้มาจากคุณหมอสูติมาอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน และในตอนนี้ฟาร์รังพอจะทำใจได้บ้างแล้วหากจำเป็นต้องให้เพื่อนรักคนนี้ได้รับรู้ไปด้วยกันอย่างไม่อยากปกปิดความลับอีกต่อไป ริมฝีปากบางเริ่มต้นเอื่อนเอ่ยบอกสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินจากปากคุณหมอมา แล้วถ่ายทอดบอกต่อให้หมอกได้ยินจนหมอกต้องเบิกตาโตขึ้นมาโดยอัตโนมัติทันที “ตอนนี้ฟาร์ตั้งท้องมาได้ 6 สัปดาห์กว่าแล้วนะ” ระหว่างที่คนตัวเล็กปลดเปลื้องความลับของร่างกายอันผิดแปลกของตนเองกับหมอกเพื่อนคนสนิทไปแล้วนั้น ดวงตากลมโตกลับมีน้ำตารินไหลออกมาเองอย่างไม่ขาดสายราวกับว่าในตอนนี้ฟาร์รังก็ยังคงมีความรู้สึกสับสน มึนเบลอ งงและเริ่มหวั่นใจกับเหตุการ์ที่เพิ่งจะได้รับรู้มาแบบไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ดี “หมอก..มึงว่ากู..กูน่ารังเกียจมั้ย ทะ..ที่กู ฮึก..เป็นผู้ชะ...ชาย ฮึก แต่ท้องได้แบบ...นี้..อึก” ฝ่ามือใหญ่คว้าดึงตัวเพื่อนรักที่หลุดสะอื้นฮักเข้าไปกอดปลอบพร้อมกับลูบหลังอย่างปลอบโยนให้อย่างเบามือ “ไม่เลย มึงก็ยังเป็นเพื่อนของกู เป็นลูกรักของกูเสมอไง” หมอกผละตัวออกจากฟาร์รัง แล้วยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสายให้อย่างเบามือที่สุด ราวกับบอกคนตรงหน้าอย่างเป็นนัยที่ไม่เคยรังเกียจกันเลยสักนิด “ไม่เอา พอแล้ว เลิกร้องเหอะ กูเห็นน้ำตามึงทีไรกูเจ็บแผลผ่าคลอดเลยวะ แม่ง” หลังคำพูดชวนขำขันเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจนทำให้ฟาร์รังยกยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา หมอกก็ยังคงเป็นหมอก ที่คอยพูดให้ผมยิ้มออกมาได้ทุกสถานการณ์เลย และผมก็รู้สึกขอบคุณหมอกที่ไม่นึกรังเกียจกันสักนิด ผมยิ่งมีเพื่อนเหลืออยู่กับเขาคนเดียวเองในชีวิตนี้ ทว่าฟาร์รังก็ยังคงมีอาการสะอึกสะอื้นหลังปล่อยโฮออกมาอย่างหนักก่อนหน้านี้ จนใบหน้าหวานแดงก่ำไปหมด เมื่อเจ้าตัวเริ่มรู้สึกว่าจะหายใจไม่ค่อยออกแล้วเพราะน้ำมูกน่าจะตันจมูกไปหมด ฟาร์รังจึงคิดว่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำ โดยที่ยังมีเพื่อนซี้ยังคงนั่งอยู่ด้วยข้าง ๆ ยังคงคอยลูบหัวลูบหลังปลอบใจให้กันอยู่ตลอดโดยไม่ทิ้งห่างหรือเกิดความรำคาญใจแต่อย่างใดเลย คนตัวเล็กเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ หมอกจ้องมองใบหน้าที่ตอนนี้ดวงตากับปลายจมูกโด่งรั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงก่ำทั้งใบหน้า “ฟาร์ กูขอถามจริง ๆ นะ แต่ถ้ามึงไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร” หมอกหันมามองใบหน้าของคนที่เพิ่งจะผ่านการร้องไห้หนัก ๆ มาด้วยแววตาจริงจังพร้อมกับเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจ “เด็กในท้องมึง เป็นพี่เฮฟใช่ไหม” ร่างบางตรงหน้าได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่องช้าที่มาพร้อมกับเสียงซู้ดน้ำมูกตามมาให้ได้ยินเป็นคำตอบ “แล้วมึงจะเอาไงต่ออ่ะ บอกพี่เขาก่อนไหม แล้วยังไงค่อยตัดสินใจอีกที” ใบหน้าเข้มขมวดคิ้วเข้าหากัน กำลังคิดช่วยเสนอทางออกให้กับเพื่อนสนิทตัวเล็กผู้ประสบปัญหาอยู่ “...” ทว่าร่างบางกลับเอาแต่นิ่งเงียบ ยังไม่สามารถหาคำตอบให้กับคนถามได้ จึงยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ “งั้นเดี๋ยวกูไปตามดูพี่เขาที่บาร์วันนี้ก่อนก็แล้วกันว่าเขาจะมาหรือเปล่า ส่วนมึงน่ะ..นอนพักซะ” “ไม่อาว...ขอไปด้วยนะ กูอยากบอกกับเขาเองอ่ะ” ปากแดงก่ำรีบเอ่ยปากขอเพื่อนตัวโตทันทีว่าจะไปที่บาร์นั้นด้วย ถ้าโชคดีแล้วได้เจอเข้ากับพี่เฮฟก็จะได้บอกเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้เลย “แต่กูว่ามันไม่ดีต่อเด็กในท้องมึงและมึงนะสิ” เพื่อนตัวโตรีบเอ่ยบอกออกมาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับยกคิ้วขึ้นสูงมีสีหน้าลังเลดูกังวลใจออกมาอย่างชัดเจน "ฟาร์ไปด้วยนะค้าบ พี่หมอกกก น้าาาาา นะคับ พี่หมอกกก" น้ำเสียงหวานใสได้เอ่ยคำอ้อนออกมาใส่กับคนตรงหน้าทันทีพร้อมกับยื่นมือไปเขย่าท่อนแขนมีมัดกล้ามอย่างออดอ้อน ทว่าฝ่ามือเรียวข้างที่ว่างได้เผลอยกขึ้นลูบหน้าท้องของตนเองโดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยสักนิด เห้ออ..ดูเอาเถอะครับ วันนี้ฟาร์มันอ้อนผมทั้งวันเลย แบบนี้ใครจะไปทนไหว ใจผมก็มีแค่เนี๊ย! มันรู้ทันผมตลอดว่าผมน่ะแพ้ลูกอ้อนของมัน ไอ้ดื้อเนี่ย แล้วมีลูกออกมาจะดื้อตามกันขนาดไหน คุณคิดเหมือนกันกับผมปะ?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD