เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน [4.3]

1350 Words
“อย่าไปสนใจนาง! หากใครล้มนางลงได้...ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม!” ชายฉกรรจ์ไร้หัวคิดสะบัดหน้าก่อนจะกรูเข้ามาหาอีกครั้ง เสาอวี่กระโดดฉีกขาเตะยอดอกคนที่อยู่ใกล้สุดก่อนจะทิ้งร่างลงบนพื้นพร้อมกับถลึงตาใส่พวกเขา “พวกเจ้าอยากโดนข้าควักลูกตาใช่หรือไม่!” คำขู่ของนกยูงสาวดูจะมีอิทธิพลเกินคาด ร่างระหงที่บาดเจ็บยังคงความสง่างามอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจ คู่ต่อสู้ทั้งหลายจึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่งตามสัญชาตญาณ เสาอวี่ฉวยโอกาสนี้ดีดกายทะยานขึ้นไปยังคานไม้ เตรียมจะหาช่องทางหนีออกไปแต่สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่วิ่งหอบกลับมาเข้าอย่างจัง! ฟางฟาง! หญิงสาวคร่ำเครียดเสียจนคบกรามขึ้นเป็นสันนูน “เจ้ากลับมาทำไม!” คนถามแทบกัดลิ้นตัวเองเมื่อสิ่งที่วางไว้ไม่ได้เป็นไปตามแผน สตรีผู้นี้สู้ไม่เป็นแล้วยังจะกล้าหวนกลับมาอีก นี่นางไม่รักชีวิตแล้วใช่หรือไม่! ฟางฟางมีสภาพเหงื่อท่วมตัวใบหน้าไร้สีเลือด สองมือขยำชายเสื้อขณะที่ตัวยังสั่นเทา ตะโกนบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปอย่างโง่งม “ข้า...ข้าทิ้งเจ้าไปไม่ได้!” เสาอวี่ได้ฟังแล้วพาลหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม คำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ช่วยให้นางเกิดความซาบซึ้งแม้แต่เสี้ยวความคิด “จับตัวสตรีนางนั้น! ใช้เป็นเครื่องต่อรองกับเฮยขงเชว่! ” เสียงของจั๋วโฉ่วฉุดรั้งสติของทุกฝ่ายให้เพ่งไปอย่างผู้มาใหม่เป็นตาเดียว! “ฆ่านางไปเสียก็ดี ข้าเองก็เริ่มรำคาญนางแล้วเหมือนกัน” ทุกฝ่ายชะงักงันเมื่อร่างระหงกลับทิ้งตัวนั่งไขว่ห้างพร้อมกับกระดิกเท้ามองลงมาจากคานไม้ สีหน้าดูเฉยเมยประหนึ่งยั่วยุให้ฆ่ามดตัวหนึ่ง ฟางฟางเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางหวังดีอยากวกกลับมาช่วย...ไฉนอีกฝ่ายจึงได้พูดจาทำร้ายจิตใจ จะปล่อยให้ชายฉกรรจ์เหล่านี้สังหารนาง! แม่นกยูงสาวปั่นหัวให้กองโจรไร้ตาสับสนครั้งแล้วครั้งเล่า นางเปรียบเสมือนสายลมที่ผันผวนไม่หยุดนิ่ง จะมีก็เพียงจั๋วโฉ่วที่เริ่มอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อเหล่าลูกน้องที่ตามมาด้วยเริ่มไม่ได้ดั่งใจ “เจ้าพวกไร้สมอง!” หัตถ์ซ้ายแห่งกองโจรไร้ตาตวัดดาบในมือพร้อมกับตั้งกระบวนท่า เสาอวี่เห็นดังนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทว่าความเร็วของนางกลับช้าไปจังหวะหนึ่ง ใบหน้าคมสวยเคร่งเครียดทันควันเมื่อเห็นจั๋วโฉ่วเล็งดาบหวังแทงสาวใช้ผู้นั้นอย่างไม่ออมมือ! ‘ไม่ทันแล้ว! ’ หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ทิ้งตัวลงมาจากคานสูงคล้ายพญาวิหคก่อนที่เสียงกรีดร้องโหยหวนจะดังตามมา ฉึก! ดาบยาวเสียบเข้าที่ช่องท้องส่งผลให้ภาพทุกอย่างพร่าเรือนไปชั่วขณะ ร่างของเฮยขงเชว่ยังคงความสง่าและโอหังถึงแม้ว่าโลหิตจะซึมผ่านออกมาจากบาดแผล...อาบย้อมชุดสีทึมจนกลายเป็นสีแดง ฟางฟางนิ่งค้างจนแทบสิ้นสติ ทว่าจังหวะต่อมาจอมโจรสาวกลับทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย! ร่างที่ยังถูกดาบเสียบคาท้องกลับตวัดขาซ้ายไปข้างหลัง เตะเสยคางของจั๋วโฉ่วจนดวงตาเหลือกขาว นางฉวยโอกาสนั้นเหยียดแขนทั้งสองแอ่นไปด้านหลังเพื่อคว้าคอเสื้อของชายหนุ่ม สิ้นเสียงร้องคำรามเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย บุรุษร่างหนาก็ถูกทุ่มลงบนพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี! ตึง! เงียบกริบ... ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่เอ่ยปากพูด “ยังมีผู้ใดกล้าลองดีอีกไหม! ” ร่างของผู้ถามโงนเงนไปมาคล้ายกิ่งไผ่ลู่ลม นางเค้นหัวเราะเมื่อนึกถึงการกระทำอันโง่เขลาของตน เฮยขงเชว่เป็นจอมโจร...เป็นจอมโจรแต่กลับทำตัวประหนึ่งวีรสตรี! ดูท่านางคงกบดานอยู่ที่นี่มานานจนเพี้ยนไปแล้ว! บุรุษจากกองโจรไร้ตาต่างมองหญิงสาวที่ยืนหัวเราะก็ขนหัวลุก ดวงตาสีน้ำตาลแดงเรียวหงส์สบมองดุดันราวกับใบมีดที่พร้อมจะกรีดแทงตัดเส้นชีพจรทั้งมวล ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ปะทะกับเฮยขงเชว่ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว... “พวกเรากลับ!” หนึ่งในกลุ่มคนตะโกนขึ้นมา คนที่เหลือรีบหามร่างคนที่บาดเจ็บกับเจ้านายออกไปจากหอบุปผาแดงอย่างเร่งรีบ สาวใช้มองดูภาพที่เกิดขึ้นก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ ก็ถูกหญิงสาวพาดแขนคล้องเข้าที่คอ กลิ่นคาวเลือดเหม็นฉุนจนฟางฟางแทบอาเจียน หากมันยังเทียบไม่ได้เลยกับสภาพซากศพของสตรีแห่งหอบุปผาแดงเมื่อก่อนหน้านี้ “รีบพาข้าออกไปจากที่นี่...” เสาอวี่กัดฟันกระซิบบอกขณะที่ใช้มืออีกข้างกดแผลฉกรรจ์ตรงช่วงท้อง เหงื่อไคลซึมออกมาจากดวงหน้าคมที่เริ่มถอดสีมากขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามอย่างยิ่งที่จะประคองสติเอาไว้ บาดแผลขนาดใหญ่นั้นไม่สามารถใช้มือห้ามเลือดเอาไว้ได้ หากไม่รีบรักษา...เกรงว่านางคงจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ ระหว่างทางออกจากบริเวณหอบุปผา เสาอวี่ก็เอื้อมฉวยไหสุราที่วางกองเอาไว้ใกล้ๆ โรงครัวก่อนจะสาดเข้าที่ร่างตนเองจนเปียกชุ่ม ความแสบร้อนของมันช่วยให้นางคืนสติได้ในระดับหนึ่ง “อาเชว่...อาเชว่ เจ้าไหวหรือไม่” ผู้ถูกถามไม่ตอบขณะที่โถมน้ำหนักตัวใส่อีกฝ่ายมากขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ฟางฟางที่ตัวเล็กกว่ารับน้ำหนักไว้ไม่ไหว สุดท้ายก็ล้มตึงลงไปบนพื้นหญ้าด้วยกันทั้งคู่ เสาอวี่กัดริมฝีปาก นางย่อมรู้ตัวเองดีกว่าขีดจำกัดของตนเองอยู่ตรงไหน ไม่ไหว... ขาสองข้างของนางไร้เรี่ยวแรง เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว “ปล่อยข้า...” ร่างระหงสะบัดแขนผู้ที่พยายามเข้ามาช่วยพยุงออกอย่างไร้เยื่อใย พวกนางหนีมาห่างไกลพอสมควรแล้ว ชีวิตจองนางจะรอดหรือไม่รอดก็ยังไม่รู้ ด้วยเหตุนี้จึงยัดมีดสั้นแกะสลักประจำตัวใส่มือเล็กนางของฟางฟางไว้ให้อีกฝ่ายใช้ป้องกันตัว “หากเจ้าไม่อยากมีจุดจบเยี่ยงข้าก็รีบหนีไปซะ” “ข้าไม่ทิ้งท่าน” ฟางฟางส่ายหน้ารัวพลางสะอื้นไห้ “ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงข้า! ข้าไม่ต้องการ! เจ้าจะไปที่ไหน...จะไปตายที่ไหนก็เชิญแต่ต้องไม่ใช่ที่นี่! ” “อาเชว่! เหตุใดเจ้าถึงต้องพูดจาเลวร้ายกับข้าด้วย...” หญิงสาวน้ำตาไหลอาบแก้ม นางเห็นอยู่กับตาว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีและตั้งใจจะปกป้องนาง แล้วเหตุใดยังปากแข็ง ยังขับไล่ไส่ส่งนางไปอีกเล่า! เสาอวี่พยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างอีกครั้ง ทว่าหนนี้เรี่ยวแรงช่างเบาหวิวสิ้นดี “เพราะความเห็นแก่ตัวของข้าจึงทำให้ห้าสิบชีวิตในหอบุปผาแดงต้องตาย” สติของนางเลือนรางลงทุกทีจนเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไปคล้ายกับคนละเมอ “ชั่วชีวิตนี้ข้าทำบาปมามาก แต่ก่อนที่ข้าจะตาย...อย่างน้อยก็ข้าก็ยังมีความดีอย่างหนึ่งเอาไว้ต่อรองกับยมบาลในปรโลก” แม่โจรสาวกล่าวเสียงแผ่วก่อนจะหลับตาลง ลมหายใจเริ่มสะดุดขณะที่ชีพจรเต้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ... ทว่าในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เสียงหนึ่งในจิตใต้สำนึกก็ร้องบอกขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้ จะตายไม่ได้! ยังตายไม่ได้! นางยังไม่ได้สืบหาชาติกำเนิดของนาง ดังนั้นนางยังจะตายตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD