หนึ่งพบเจอ หนึ่งจากลา [1.1]

1717 Words
หนึ่ง หนึ่งพบเจอ หนึ่งจากลา บนถนนดินลูกรังซึ่งถมแบ่งกั้นเป็นเส้นทางกลางผืนป่าโปร่ง เลยจากเขตเมืองหลวงแคว้นเกามาห้าสิบลี้ในยามอิ๋น[1] อันแสนวังเวงกลับมีแสงสีส้มสดสองดวงส่องสว่างอยู่ในความมืดมิด มองดูไกลๆ คล้ายหิ่งห้อยสองตัวบินเคียงคู่ ทว่าเมื่อพิจารณาดูให้ดีจึงเห็นว่ามันหาใช่หิ่งห้อย แต่เป็นคบเพลิงต่างหาก “ลูกพี่ หากเราเร่งเดินทางไม่หยุดพักเช่นนี้ คาดว่าอีกไม่นานคงพ้นเขตแตนแคว้นเกาแล้ว” เสียงทุ้มห้าวที่เพิ่งแตกเนื้อนุ่มเอ่ยแข่งกับเสียงอื้ออึงของสายลมที่โกรกข้างหู ทว่าเพียงไม่นานเขาก็รีบกระชากบังเ**ยนให้ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นอาชาสีเข้มเบื้องหน้าเปลี่ยนจากห้อตะบึงมาเป็นการวิ่งเหยาะๆ อูกั๋วจ้องมองอานม้าซึ่งมีเงาร่างสูงโปร่งในชุดสีกรมท่าซ้อนอยู่ด้านบนอย่างเลื่อมใส เรือนผมดำขลับของอีกฝ่ายถูกปล่อยสยายแต่ก็ไม่อาจปิดกั้นไหล่กว้างที่ตั้งตรงอย่างสง่างามไปได้ “เสี่ยวฟู่คงรอนานแล้ว” เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับอย่างเรียบง่าย ขณะที่ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ในใจ พวกเขาเพิ่งเสร็จสิ้นธุระจากทางเหนือ ยามนี้ต้องมุ่งหน้าลงใต้เพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่กว่าจะข้ามทะเลกระจกไปยังเมืองจื้อโหยวได้ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักสัปดาห์ แม้การหายไปครานี้จะยาวนานเป็นพิเศษแต่ก็คงไม่มีผู้ใดสังเกตหรือสนใจเท่าไรนัก ก็ในเมื่อตัวตนของเขาต่อหน้าผู้อื่นมันช่างเบาบางประหนึ่งธาตุอากาศไร้ค่า... ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีจมอยู่ในห้วงคิดอย่างเงียบงันจนกระทั่งสายลมหวนทางทิศตะวันตกโบกพลิ้วอย่างรุนแรงจนเศษฝุ่นลอยคลุ้ง กลิ่นชื้นของดินส่งผลให้บุรุษทั้งสองแหงนหน้าขึ้นมองผืนฟ้า แลเห็นเมฆาเทาเข้มเคลื่อนคล้อยมาอย่างรวดเร็ว ความอึมครึมมืดครึ้มเหล่านี้...คาดว่าคงเป็นฝนพายุอย่างแน่นอน เจ้าของร่างสูงโปร่งไม่รอช้าหันหน้าไปยังผู้ติดตาม เรือนผมยาวเกือบถึงสะโพกสอบไล้ไปตามใบหน้าเกลี้ยงเกลาโดดเด่นเรียวยาว บนกลางหน้าผากมีไฝโดดเด่นอยู่หนึ่งเม็ด “อูกั๋ว ไปหาที่หลบฝนกันก่อน เมื่อพายุซาแล้วค่อยเร่งเดินทางต่อ” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้นอีกสามส่วน “ขอรับ” เขาเองก็อยากพักผ่อนแล้ว อากาศยามค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ผลิให้ความรู้สึกเหนียวกาย ไม่สบายตัวเอาเสียเลย สิ้นเสียงขานรับของเด็กหนุ่ม อาชาสองตัวก็ควบฝีเท้าเร่งเร็วขึ้น ฟ้าส่งเสียงร้องดังไล่หลังมาเป็นระยะๆ ตลอดสองข้างทางเวิ้งว้างไร้ผู้คน ยามนี้อย่าว่าแต่หมูบ้านเล็กๆ เลย...แม้กระทั่งกระท่อมหลังน้อยก็คงไม่มีให้พวกเขาได้ใช้พักพิง อูกั๋วเห็นดังนั้นก็เริ่มห่อเหี่ยวใจ หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากเปียกปอน ไหนยังจะมีเรื่องการล้มป่วยที่ยังต้องคำนึงแทนผู้ที่ตนนับถืออีก “ข้าจำได้ว่าไม่ไกลจากที่นี่จะมีวัดร้าง” เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มหาได้คลายความกังวลใจของอูกั๋วไม่ หากสังเกตให้ดีจะสามารถเห็นได้ว่าใบหน้าของผู้อายุน้อยกว่าเริ่มถอดสี เพียงได้ยินคำว่า ‘วัดร้าง’ ก็ทำเอาขนในกายลุกชันขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง “ลูก...ลูกพี่ ไม่เอาวัดร้างได้หรือไม่” อูกั๋วถามเสียงตะกุกตะกักอย่างน่าสงสาร ทว่าสีหน้าของบุรุษร่างสูงโปร่งยังคงไม่แปรเปลี่ยน เขาควบม้านำไปจนกระทั่งมาถึงหน้าวัดเก่าที่มีสภาพผุพังไปหลายส่วน เศษฝุ่น ใบไม้แห้งและหยากไย่เกาะอยู่ตามชายคา หน้าทางเข้ามีรอยเปื้อนสารพัดคราบ คาดว่าลึกเข้าไปด้านในคงมีสภาพไม่ต่างกัน สิ่งเดียวที่พอใช้งานได้คือโครงสร้างก็ยังแข็งแรงพอที่จะใช้เป็นที่กำบังจนกว่าพายุจะถูกพัดผ่านไปเท่านั้น ครั้นถึงที่หมาย บุรุษในชุดสีกรมท่าก็เบือนสายตาไปยังผู้ที่ยังนั่งแข็งเกร็งอยู่บนหลังม้า “เจ้ากลัวรึ” “ปะ...เปล่านะขอรับ!” เขาเถียงทันควัน “ใครบอกท่านว่าข้ากลัว” เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมเสียหน้า แต่มือที่กำสายบังเ**ยนกับชูคบเพลิงนั้นสั่นเทาไปเป็นที่เรียบร้อย “เช่นนั้นก็ดี” ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แกล้งเมินเฉยต่อท่าทีขลาดกลัวของผู้อ่อนวัยกว่า “เจ้าไปสำรวจความเรียบร้อยทางด้านในก็แล้วกัน” อูกั๋วเผยสีหน้าหวาดผวา เหตุใดลูกพี่จึงจะทอดทิ้งเขาไว้ลำพังเช่นนี้! “แล้วท่านเล่า! ” “ข้าจะนำม้าไปซ่อนไว้ในป่า พวกมันไม่ชอบอยู่ในที่แคบ จะเอาเข้าไปในวัดด้วยกันก็คงไม่ได้” ต่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดระแวงเรื่องของพวกเขา หากกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ เดิมทีเขาควรจะกลบเกลื่อนร่องรอยการเดินทางนี้ด้วย แต่ก็นับว่าโชคดีที่พายุหนักครานี้คงชะล้างรอยเกือกม้าออกไปจากถนนจนหมด คนหนึ่งมีสีหน้าเบาใจ แต่สีหน้าอูกั๋วกลับอัดอั้นตันใจราวกับถูกรังแก เจ้าตัวสะดุ้งเบาๆ เมื่อถูกยื่นคบเพลิงมาให้โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า “ลูกพี่ ท่านไม่เอาคบเพลิงไปด้วยหรือ” “ถือคบเพลิงเข้าป่าทึบมันอันตราย” เขาอธิบาย “หากฝนตกลงมามันก็คงจะดับอยู่ดี สู้เอาไปให้แสงสว่างในวัดดีกว่า อย่ามัวโอ้เอ้ รีบเข้าไปด้านในเสีย” คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าผ่านการไตร่ตรองมาอย่างเหมาะสมแล้วส่งผลให้ผู้ฟังขานรับเสียงอ่อย ความคิดของลูกพี่ก้าวนำเขาไปหลายขุม ไม่รู้ว่าอีกนานเพียงไรเขาถึงจะเก่งกาจเทียบเท่าคนผู้นี้ได้บ้าง เด็กหนุ่มครุ่นคิดขณะที่รีบกระโดดลงจากหลังม้าแล้วรับคบเพลิงอีกอันมาถือ แสงสีส้มในมือทอประกายในความมืดมิด สะท้อนวูบไหวกับสิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้า ดึงความเก่าแก่และลึกลับให้ประจักษ์แก่สายตามากจนเกินความจำเป็น เขาไม่ชมชอบอะไรแบบนี้เลย...หวังว่าสถานที่เก่าแก่เช่นนี้คงไม่มีสิ่งที่เขากำลังนึกถึงอยู่หรอกนะ ‘อามิตตาพุทธ เทพเซียน เทวดา เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยปกป้องคุ้มครองอูกั๋วด้วยเถิด...’ เด็กหนุ่มหลับตาสวดมนต์อยู่ในใจ พอตั้งสติได้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังด้านใน เขากวาดมองกำแพงที่ผุพังเกิดเป็นช่องลมอยู่หลายจุด ลมที่พัดผ่านช่องต่างๆ เกิดเป็นเสียงอื้ออึงดูโหยหวนราวกับคนกำลังร่ำไห้ อูกั๋วหันรีหันขวาง หัวใจที่เข้มแข็งเมื่อครู่กลับหล่นตุบไปอยู่ตาตุ่ม เปรี้ยง! เสียงฟ้าผ่าดังลั่นทางด้านนอกส่งผลให้ผู้ที่กำลังมองซ้ายแลขวาสะดุ้งสุดตัว ด้วยความตกใจจึงทำให้เด้งกระโดดจากจุดที่ยืนอยู่ไปไกลโข ครั้นพบว่าขาเตะโดนบางสิ่งเข้าก็แข็งค้าง กลืนน้ำลายเฮือกแล้วก้มหน้าลงไปมองช้าๆ และเมื่อสายตาประสานเข้ากับ ‘สิ่ง’ ที่ชนเข้า ใบหน้าของเขาก็พลันไร้สีเลือด ความกลัวทำให้ไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงครั้นเห็นร่างสตรีผมยาวรุงรังซึ่งนอนตัวสั่นระริกอยู่บนพื้น สายลมแรงโบกพัดผ่านวัดร้างอีกระลอก ครานี้คบเพลิงในมือดับมอดลงพร้อมกับหยาดฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ‘นะ...นี่มัน’ เด็กหนุ่มร่างสั่นเทา หัวใจเต้นแรงแข่งกับพิรุณที่ปรอยโปรย ทันใดนั้นเองร่างที่ขุดคู้อยู่บนพื้นกลับผงกศีรษะขึ้นมา โลหิตและคราบดินเปรอะเปื้อนใบหน้าจนดูไม่ออกว่าเป็นเช่นไร ทว่าดวงตาที่แดงก่ำที่แวววาวในความสลัวก็ทำเอาคนมองถึงกับร้องลั่นอย่างโหยหวน “อ๊าก!” เด็กหนุ่มแหกปากเสร็จก็โยนคบในมือทิ้ง ครั้นเตรียมจะใช้วิชาตัวเบากระโจนออกไปก็ต้องอุทานลั่นอีกรอบเมื่อพบร่างสูงโปร่งยืนประชิดอยู่ทางด้านหลังโดยมิให้สุ้มให้เสียง อูกั๋วมิอาจกักเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ได้ เจ้าของใบหน้าซัดขาวรีบชี้นิ้วที่สั่นระริกไปยังร่างที่นอนสั่นระริกอยู่บนพื้นโดยที่สายตามิได้ละไปจากคู่สนทนา “ลูกพี่! มีผะ...ผะ...ผี!” “อูกั๋ว...” “ลุกพี่! ท่านไม่เห็นนางหรือ...นางอยู่ตรงนี้” เด็กชายหลับตาชี้ย้ำไปยังจุดที่เห็นร่างวิญญาณสาว “ทะ...ท่านพอรู้คาถาที่ไล่นางไปให้พ้นหรือไม่!” ร่างที่นอนราบอยู่บนพื้นเย็นได้ยินเสียงอันน่าหนวกดังเข้าหลายทีก็ส่ายหน้าแรงๆ อยู่หลายครั้ง “ถ้าอยากเห่าหอนก็ไสหัวไปที่อื่น!” เสียงแหบแห้งจะเปล่งออกมาอย่างรำคาญ นางรู้สึกปวดหนึบๆ ตรงศีรษะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาได้ยินเสียงร้องโวยวายก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก เสาอวี่ที่เพิ่งฟื้นคืนสติพยายามใคร่ครวญภาพสุดท้ายขึ้นในหัว ตอนแรกนางจำได้ว่าตนเองนอนหลับอยู่บนคานไม้ของวัดร้าง แต่ดูท่าร่างกายจะอ่อนเพลียมากเกินไป แม้กลิ้งตกลงมายังไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเสียงเมื่อครู่นี้ร้องปลุก ผู้คิดหยุดชะงักพร้อมกับนิ่วหน้าเมื่อโลหิตที่แดงสดไหลผ่านม่านตา ดูท่าหัวของนางน่าจะแตก... ร่างสูงโปร่งจับความผิดปกติในน้ำเสียงอ่อนแรงได้ทันที จากเดิมที่ยืนนิ่งจึงเริ่มตอบสนอง “ผีบ้าบออันใดของเจ้า” เขาส่งเสียงดุก่อนจะใช้มือดันร่างอีกฝ่ายไปให้พ้นทาง เมื่อประชิดตัวร่างระหงก็กวาดตามองดูเสื้อผ้าที่มีบางส่วนฉีกขาดและยับเยินอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็บอกผู้ที่เพิ่งได้สติ “เจ้าบาดเจ็บ” [1] ยามอิ๋น คือ เวลาตั้งแต่ 03.00 – 04.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD