เมธาพัฒน์รู้สึกหงุดหงิดหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มพยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านเรื่องของพวงชมพู แต่ก็ทำไม่ได้เลย ใบหน้าบ้องแบ๊วของเจ้าหล่อนลอยเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของเขาตลอดเวลา นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะการคิดถึงพวงชมพูเป็นสิ่งสุดท้ายในโลก ที่เขาคิดจะทำ แต่เขากลับทำมันแล้ว และก็เลิกทำมันไม่ได้ง่ายๆ ด้วย
คำพูดอวดดี คำพูดอวดเก่งของหล่อน พานจะทำให้เขาโกรธเกรี้ยวตลอดเวลา และยิ่งได้รู้ว่าหล่อนปรารถนาผู้ชายคนอื่น เขายิ่งแทบคลั่ง โอ้... พระเจ้าเขาจะทำยังไงกับหล่อนดี หล่อนคือนรกชัดๆ และตอนนี้ขาของเขาก็เหยียบย่างลงไปในนรกนั้นแล้วด้วย
“นรกที่แสนหวาน...” เมธาพัฒน์ครางออกมาเสียงแผ่วเบาอย่างลืมตัว และเมื่อได้สติเขาก็รีบปีนป่ายขึ้นมาจากขุมนรกนั้นทันที แม้ในส่วนลึกของเขาจะรู้ดีว่าไร้ซึ่งประโยชน์แล้วก็ตาม
ศีรษะได้รูปแสนทระนงสะบัดแรงๆ ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังไร่องุ่นกว้างใหญ่ตรงหน้าทันที คนงานหลายสิบคนกำลังขะมักเขม้นในการตัดช่อองุ่นกันอยู่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยุดดูใกล้ๆ กับหัวหน้าคนงานเก่าแก่ที่อยู่กับเขามาหลายปี
“ภรรยาของลุงหายป่วยหรือยังครับ” คำพูดที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้สมชายหันกลับไปมอง และเขาก็เห็นเมธาพัฒน์ยืนอยู่ตรงนั้น นายจ้างผู้หล่อเหลาของเขานั่นเอง
“เจ้านาย...”
“เรียกผมว่าต้นเฉย ๆ ดีกว่า” เมธาพัฒน์ยิ้มกว้างให้อย่างไม่ถือตัว
“ครับ คุณต้น”
สมชายรับคำเสียงห้าวลึก เขามองตามสายตาของเมธาพัฒน์ไปยังต้นองุ่นดกงาม บุรุษวัยกลางคนอดทึ่งไม่ได้กับความหล่อเหลาของผู้ชายตรงหน้า ผิวขาวดูสุขภาพดีทั้ง ๆ ที่ทำงานในไร่ตลอดเวลา ริมฝีปากได้รูปสีแดงระเรื่อจนผู้หญิงอายนั้นก็น่ามองอย่างที่สุด ไหนจะเรือนร่างที่บึกบึนสมชายชาตรีอีก เพราะอย่างนี้นี่เอง ผู้หญิงมากมายถึงได้ปลื้มเขานักหนา แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขาจะไม่เคยสนใจใครสักคน
“สมรค่อยยังชั่วแล้วครับ อีกไม่นานก็คงจะออกมาทำงานได้แล้ว” ชายวัยกลางคนรู้สึกขอบคุณเด็กหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้าเหลือเกิน เพราะถ้าไม่ได้เมธาพัฒน์ป่านนี้เขายังไม่รู้เลยว่าภรรยาของเขาจะมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ ให้หายดีซะก่อนค่อยมาทำงานก็ได้ ทางนี้คนงานก็ยังพออยู่”
“ขอบคุณมากครับ ผมเกรงใจคุณต้นจริงๆ” สมชายพูดออกมาอย่างซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
เมธาพัฒน์ยิ้มกว้าง “อย่าพูดอย่างนั้นเลย เราก็เปรียบเหมือนครอบครัวเดียวกัน มีอะไรช่วยได้ก็ต้องช่วยกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก...”
“ถ้าอย่างนั้น กลางวันนี้ถ้าคุณต้นไม่รังเกียจ ผมขอเชิญไปทานอาหารกลางวันที่ห้องของผมนะครับ พอดีสมรอยากจะขอบคุณคุณต้นมากที่ช่วยชีวิตของเธอเอาไว้” สมชายพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่คำตอบของเมธาพัฒน์ก็ทำให้เขาอดยิ้มออกมาอย่างดีใจไม่ได้
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ผมยินดีเสมอ ดีเลยจะได้ไปเยี่ยมป้าสมรด้วย” ชายหนุ่มรีบตกลงอย่างไม่รั้งรอสิ่งใด เพราะนี่คือสิ่งที่เขากำลังต้องการเหมือนกัน การที่ไม่ต้องกลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้านทำให้เขาอยู่ห่างจากหล่อน แม้จะแค่ชั่วเวลาไม่นานนักก็ตาม แต่ก็ยังดี
เวลาล่วงเลยเที่ยงวันไปหลายชั่วโมงแล้ว พวงชมพูยืนชะเง้อมองหาร่างสูงใหญ่ของอาหนุ่มอย่างกระวนกระวายใจ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหี่ยวลงจนเกือบคล้ายกับดอกไม้ขาดน้ำ สาวน้อยเม้มปากอิ่มเข้าหากันแน่น สายตาก็เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังห้องบ่อยครั้ง
พวงชมพูรู้สึกถึงความล้มเหลวขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มแผนการ เด็กสาวนึกไปถึงคำพูดแนะนำของเพื่อนสาวที่กรอกมาตามสายโทรศัพท์
“ชมพูต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ อย่าเอาแต่ใจ ทำยังไงก็ได้ให้อาต้นคิดว่าชมพูโตเป็นสาวแล้ว” นี่คือคำพูดที่ร้อยดาวเพื่อนสาวที่หล่อนสนิทมากที่สุดแนะนำมา
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ชมพูไม่เข้าใจ หรือว่าต้องจู่โจมปล้ำเลย” หล่อนจำได้ว่าตัวเองพูดติดตลกออกไปอย่างนั้นแล้วก็ถูกเพื่อนสาวตวาดกลับมาจนหูแทบแตก
“นี่ชมพูจะบ้าเหรอ! ทำอย่างนี้อาต้นไม่วิ่งป่าราบหรือไง”
“แล้วต้องทำยังไงล่ะ เราคิดไม่ออกเลยนี่”
“ขั้นแรก ชมพูต้องหัดทำอาหารก่อน เสน่ห์ปลายจวักนะเคยได้ยินไหม”
และด้วยเหตุผลนี้หล่อนจึงต้องยอมพักความแง่งอนของตัวเองไว้ชั่วคราวเพื่อเข้าครัวทำอาหารให้กับผู้ชายในฝันของหล่อนทาน แต่เขาสิ… ทำไมยังไม่กลับมาสักทีนะ
เด็กสาวถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง เมื่อเสียงนาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลา 14.00 น. แล้ว พวงชมพูแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สาวน้อยเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารที่หล่อนอุตส่าห์ตั้งใจทำมันขึ้นมาด้วยหัวใจของหล่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนบรรจงทำลงไป มันเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความรัก ความบูชา ที่หล่อนมีให้เขา หวังเหลือเกินว่าเขาจะซาบซึ้งกับความดีของหล่อนบ้าง แต่ทุกอย่างก็พังลงไม่เป็นท่า
พวงชมพูทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ใบหน้างามซบสะอื้นกับโต๊ะอาหารราวกับกลั้นไว้ไม่อยู่ ความเสียใจ ความผิดหวังสาดซัดเข้าใส่หล่อนไม่หยุดยั้ง
“อาต้นใจร้าย...” สาวน้อยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองที่มันดันไหลออกมาโชว์ความเจ็บปวด กลีบปากเม้มเข้าหากันจนเจ็บระบมไปทั้งอุ้งปาก ความเสียใจโจมตีหล่อนอย่างรุนแรง จนหล่อนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดอยู่แล้ว
“ชมพูเกลียดอาต้นที่สุด!”
และความเจ็บปวดมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ในใจนี้ก็ทำให้เด็กสาวขาดสติ ไม่ช้าถ้วยจานบนโต๊ะอาหารก็ถูกมือเรียวของหล่อนกวาดมันหล่นไปกองที่พื้นจนหมด เสียงถ้วยชามแตกดังแสบแก้วหูไปหมด อาหารที่หล่อนอุตส่าห์ตั้งใจทำขึ้นมากระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง สาวน้อยยืนมองผลงานตัวเองทั้งน้ำตาก่อนจะฝืนยิ้มออกมาอย่างเยาะหยัน ตอนนี้หัวใจของหล่อนมันด้านชาไปจนหมดสิ้น
“เมื่อไม่มา ก็ไม่ต้องกินมันแล้ว!” พวงชมพูตะโกนออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะหันไปจ้องสาวใช้ที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงปากประตูห้องอาหารทั้งน้ำตา
“ไม่ต้องเก็บนะ ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ” พูดจบพวงชมพูก็เดินออกจากห้องครัวตรงไปยังลานหน้าบ้านด้วยความรีบร้อน ร่างบอบบางเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังไร่องุ่นที่อยู่ไม่ไกลด้วยจิตใจร้อนรุ่ม
หล่อนอยากจะรู้นักว่าเขามัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่กลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้านเหมือนเคย เพราะหล่อนสอบถามมาจากสาวใช้แล้วว่าปกติเมธาพัฒน์จะต้องกลับมาทานอาหารที่บ้านทุกวัน แต่วันนี้เขาไม่ยอมกลับมาซะงั้น คงเป็นเพราะหล่อนอยู่บ้านล่ะมั้ง
“ชมพูจะไม่ยอมให้อภัยอาต้นอีกแล้ว” สาวน้อยเค้นเสียงเกรี้ยวกราดออกมา ดวงตาหวานฉ่ำนองไปด้วยน้ำตาเปล่งแสงประกายวาวโรจน์ และเพียงไม่นานเรือนกายสูงใหญ่ของเมธาพัฒน์ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า แม้จะยังอยู่ห่างไกล แต่ภาพที่หล่อนเห็นก็ทำให้อารมณ์ของหล่อนเดือดเกินร้อยองศาไปแล้ว มันพุ่งทะยานขึ้นสูงมากไปอีกหลายร้อยหลายพันเท่า
“อย่างนี้นี่เอง ถึงได้ไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน”
ภาพที่เมธาพัฒน์กำลังหัวเราะต่อกระซิกกับหญิงสาวคนหนึ่งมันบาดลึกเข้าไปตัดขั้วหัวใจของหล่อนเกือบขาด และไม่ช้าความยับยั้งชั่งใจก็หมดไปจากหล่อนโดยสิ้นเชิง เท้าบางขาวสะอาดที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยรองเท้าแตะฟองน้ำสีเขียวอ่อนก้าวฉับๆ ไปยังเป้าหมายตรงหน้าราวกับเพชฌฆาตจากนรกอเวจี