“เป็นไงบ้างคะคุณโสของแม่...” พรชัยลุกจากโซฟาแล้วปรี่ตรงเข้าไปถามด้วยสีหน้าลุ้นระทึก คนอื่น ๆ ก็พลอยมองโสรยาอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน
“ลูกคุณเพนนีบอกว่าไม่เป็นไร ให้ทำงานต่อได้”
“กรี๊ด!” ทีมกะเทยต่างพากันวี้ดว้ายกระตู้วู้ด้วยความดีอกดีใจ
“แต่ฉันก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นอีกนะพี่ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก ทุกคนก็พร้อมที่จะตัดสินให้เราผิดเสมอ แล้วมันจะมีผลกระทบต่อธุรกิจของเขา”
“จ้า...แม่นางฟ้านางสวรรค์” ประภาดาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วหย่อนตัวลงนั่งที่เดิม
“เปล่าหรอก...แต่ถ้าร้านนี้มีปัญหาขึ้นมา คนทำมีแต่ฉัน แต่คนที่ซวยเป็นสิบเป็นร้อยเชียวนะ ไหนจะพวกเรา ไหนจะคุณเพนนีกับลูกของหล่อนแล้วพนักงานคนอื่น ๆ ในร้านอีกล่ะ ถ้าไม่มีลูกค้า ทุกคนจะทำกันอย่างไร”
“แกคิดมากไปหรือเปล่าคุณโส...นี่ อย่างมากเราก็ออกไปจากชีวิตพวกเขา แล้วที่เหลือเขาก็คงอยู่กันตามปกติเหมือนเดิม” พรชัยเดินกลับมานั่งข้าง ๆ เพื่อสาวสองคนอื่น ๆ
“คิดมากไว้ก่อนบ้างก็ดีนะพี่...ไอ้ที่ผ่านมาเนี่ยก็เพราะเราคิดไม่ถึงกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“เออ ๆ งั้นก็มาแต่งตงแต่ตัวได้แล้วแม่นางเอก สวย ใจดี แต่ต้องทำงานต้องมีเงินด้วยนะยะ ไม่งั้นก็แห้งตายกันหมดนี่แหละ”
ว่าแล้ว...ต่างก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเอง...
“สวัสดีพี่จ๋า...วันนี้น้องหอยมาให้บริการแล้วจ้า” โสรยาในชุดมาสคอตหอยนางรมตัวอ้วน ๆ จ้ำม่ำ เป็นลักษณะเปลือกหอยสองข้างมาประกบตัวของหล่อน หัวแหลมหน่อย ๆ อยู่ด้านบน ส่วนปลายของเปลือกที่บานใหญ่กว่าอยู่ด้านล่าง และสองเท้าที่เป็นเปลือกหอยเช่นกัน
ส่วนใบหน้าเป็นหน้ากากหอยอีกที มองเห็นและพูดได้เป็นปกติ แต่คนด้านนอกจะไม่สามารถดูรู้ได้เลยว่าคนที่สวม
มาสคอตสุดพิลึกนี้คือใคร แต่ก็เรียกความสนใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี แม้วันนี้...ผู้คนจะดูบางตากว่าวันก่อน ๆ พอสมควรก็ตาม
มือหนึ่งของหล่อนถือไมค์ อีกมือก็โบกทักทายบรรดาลูกค้า และเดินไปเอนเตอร์เทนตามจุดต่าง ๆ ของร้าน เพื่อให้ความบันเทิง บางคนก็พูดคุยหยอกเล่นกับหล่อน บางคนขอถ่ายเซลฟีร่วมกัน และแน่นอนว่าหล่อนเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ เหมือนเคย
ทางร้านเองก็จัดแคมเปญให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก และยังฝากบอกถึงกิจกรรมในวันถัดไปด้วย เรียกได้ว่าช่วงนี้มีการสมนาคุณลูกค้ากันแทบทุกวัน ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับการประชาสัมพันธ์ในวันแรก นี่ยังไม่นับรวมโปรโมชันเด็ดที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าอีกด้วย
ลึก ๆ ในใจโสรยาก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าที่ทางร้านต้องทำอย่างนี้เป็นเพราะหล่อนหรือเปล่า ที่ทำให้ลูกค้าหายไปเกือบครึ่ง บรรยากาศในวันนี้ก็ไม่คึกคักมากมายอย่างวันก่อน
แต่ในเมื่อไม่มีการคอมเพลนอะไรจากเจ้าของร้าน หล่อนก็แค่ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดก็พอ...
เมื่อครบสามชั่วโมงหญิงสาวตั้งใจว่าจะกลับเลย คงไม่อยู่จนกระทั่งร้านปิดเหมือนคืนก่อน เพราะกลัวเกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก โสรยาเดินนำไมค์ลอยไปคืนให้กับพนักงานที่ดูแลเครื่องไฟบนเวที แล้วก็เดินกลับลงมา
“น้องหอยครับ!” ทันใดนั้นลูกค้าก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
โสรยาหันขวับไปมองโดยลืมไปว่าตัวเองกำลังก้าวลงบันได
“ว้าย!” หล่อนก้าวพลาดตกลงตรงร่องไม้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้เวทีจะไม่สูงมากแต่ก็พอทำให้หล่อนเสียหลักร่วงลงจากเวทีไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นด้านล่างจนได้ แล้วเสียงหัวเราะก็กระหึ่มไปทั้งร้าน...
“แหม...พอเรียกเข้าหน่อยนอนให้ท่าเลยนะน้องหอย” ตามมาด้วยเสียงกระเซ้าเย้าแหย่สนุกสนาน
หลายคนคงคิดว่านั่นคือการแสดงกระมัง...
ร่างเล็กในชุดมาสคอตหอยนางรมนอนคว่ำหน้า โดยมีส่วนพุงค้ำพื้นเอาไว้ สองมือสองเท้าจึงดิ้นกระแด่ว ๆ ไขว่คว้าค้างอยู่กลางอากาศ
“อยากให้พี่จี่หอยเหรอจ๊ะ”
“ช่วย...ด้วย...” ตายละหว่า...ไม่มีใครได้ยินเลย เพราะเวทีอยู่ห่างจากบริเวณโต๊ะลูกค้า และคนที่อยู่ด้านหลังเวทีก็ไม่เห็นหล่อนเสียด้วย แต่พนักงานหลายคนก็เริ่มรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น พวกเขาผละจากภาระที่ต้องทำแล้วตรงมาที่หล่อน
โสรยาพยายามตะเกียกตะกายแหวกว่ายพลิกตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่ไม่ได้ผล พุงหอยมันใหญ่เกินไป แทนที่จะลุกขึ้นยืนได้หล่อนกลับหมุนวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น
“คุณ! เป็นยังไงบ้าง”
“แม็กซ์...” ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่เข้าถึงตัว แล้วรีบเข้าไปประคองหล่อนขึ้นมา
“ไม่ต้องทุ่มสุดตัวขนาดนี้ก็ได้นะเจ้” เขาหัวเราะหยอกเย้า
“ฉันล้มต่างหาก ไม่ได้เล่น...แต่ก็ขอบใจนะที่มาช่วยไว้ทัน เกือบจะตายเพราะหายใจไม่ออกแล้วละ” ชุดมันค้ำพุง ค้ำคอเมื่อต้องอยู่ในสภาพนั้น ทำให้หายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกนัก แถมยังอึดอัดอุ้ยอ้ายเกะกะไปหมด
“โน่น...โต๊ะโน้นเขาเรียกไปเอาทิปแน่ะ ผมต้องไปทำงานต่อแล้ว” เขายิ้มให้แล้วผละห่างเดินจากไป ปล่อยให้โสรยามองตามอย่างงง ๆ
“อะไรของเขาวะหมอนี่...จะอยู่คุยแก้เขินกันหน่อยก็ไม่ได้” โสรยาบ่นอุบ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรง ๆ ออกทางปากแล้วเดินนวยนาดไปที่โต๊ะของลูกค้าที่เป็นคนเอ่ยปากแซวในตอนแรก
“เฮ้ย ๆ น้องหอยมาแล้วว่ะ”
“สวัสดีจ้าพ่อ...มีอะไรจะใช้หอยเหรอคะ” หล่อนยกมือไหว้แล้วย่อเข่า พูดจาทักทายอย่างมีจริต
“อูย...ใช้หอย ใช้ได้จริงหรือเปล่าครับเนี่ย”
“แล้วหอยเนี่ย...เขาใช้ทำอะไรได้บ้างจ๊ะ” อีกคนกะลิ้มกะเหลี่ยลูบฝ่ามือไปพลางถามไปพลาง ที่เหลือพากันโห่ฮาชอบอกชอบใจ
ทำไมร้านนี้ลูกค้าส่วนมากต้องเป็นผู้ชายด้วยนะ หรือเพราะชื่อร้านเป็นเหตุ...
“พี่ไม่เคยใช้หอยละสิ...แหป รู้ ๆ กันอยู่ ส่วนมากเขาก็ใช้กินกันทั้งนั้นแหละพี่ หอยเนี่ย...อร่อยดีมีประโยชน์”
“เชื่อจ้ะเชื่อ...งั้นขอกินหน่อยสิ” ชายหนุ่มที่เอ่ยปากแซวเป็นคนแรก มือเท้าคางมองหญิงสาวด้วยสายตาแพรวพราว
“เสียใจด้วยค่ะพี่ขา...บุฟเฟ่ต์หอยทางโน้นเชิญตักตามสบายเลยค่ะ น้องหมดเวลาทำงานแล้ว ต้องกลับบ้านไปล้างหอย เอ๊ย! ไปพักผ่อนแล้วค่ะ”
“ฮ่า ๆ น้องนี่น่ารักจริง ๆ พวกพี่แค่อยากเรียกมานั่งคุยเป็นเพื่อน น้องเปลี่ยนชุดแล้วมานั่งต่อได้ไหมล่ะ มากินด้วยกันเลยไม่ต้องเกรงใจ”
แหม...ใจป้ำ “วันนี้น้องไม่ว่างจริง ๆ ค่ะ กลับบ้านไปก็ต้องไปต้องทำงานต่อ เจอกันอีกพรุ่งนี้ดีไหมคะ”
“จิตใจน้องหอยจะให้พวกพี่ตายคานัวในหม้อกันเลยเหรอครับ บุฟเฟ่ต์นะครับน้องไม่ใช่ออร์เดิฟ”
“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่จะมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น หอยรอได้” ทั้งที่เบื่อหน่ายเต็มที แต่หล่อนก็ต้องเอ็นเตอร์เทนให้ลูกค้ามีความรู้สึกสนุกสนานที่สุด แม้จะหมดเวลาทำงานแต่หน้าที่ไม่เคยจบไปด้วย...
“พูดแบบนี้...ในหัวพี่มีแต่หอยเท่านั้น รักหอยนะคะ รักมากไม่เปลี่ยนใจไปรักกุ้งรักปูเลยทีเดียว” ว่าแล้วก็ทำนิ้วเป็นรูปมินิฮาร์ต แล้วก็พากันหัวเราะชอบใจ
ในขณะที่โสรยาก็กระเติ๊กเอิ๊กอ๊ากไหลไปตามน้ำ แล้วก็ไหว้ย่อสวย ๆ “พี่คะ หอยต้องลาแล้วค่ะ กลับบ้านดึกเดี๋ยวคุณแม่จะดุ”
“นี่ทิปน้องหอย...เอาเป็นว่าครั้งหน้าถ้าพวกพี่มา พวกพี่ขอเหมาน้องมานั่งคุยที่โต๊ะเลยนะ น้องคุยสนุกดี เป็นกันเอง พี่ชอบ” ผู้ชายคนที่ดูมีวุฒิภาวะที่สุดบอกแล้วยื่นแบงก์พันให้
“อุ๊ย...กราบขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ หอยจะรอ จะอ้า...แขนคอยต้อนรับพวกพี่ ๆ นะคะ” หล่อนหยิบเงินแล้วไหว้พวกเขาอีกรอบ ก่อนจะโบกมือล่ำลา แล้วลอบถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อหันหลังให้ลูกค้าพวกนั้นได้
“แล้วเจอกันนะหอย...” มิวายยังกล่าวลาเป็นการทิ้งท้ายกัน
โสรยาหันไปย่อตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ห้องรับแขกของทางร้าน ซึ่งเพื่อน ๆ ของหล่อนต่างก็รออยู่ที่นั่น
โดยไม่รู้เลยว่า...มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา...