ราเมศเห็นสิตาลมองไฟแช็กในมือเผลอยิ้มออกมา “คิดว่าจะเหมือนในละครที่เอาก้อนหินมาถูๆ กันให้เกิดประกายไฟหรือไงคุณ นี่มันยุคไหนแล้ว จำเอาไว้เลยนะ เข้าป่า กรุณาพกไฟแช็กเผื่อฉุกเฉิน เพราะท่าทางแบบคุณถ้าไม่มีไฟแช็ก ชาติหน้าก็ก่อไฟไม่ติด”
“คนบ้า ปากเสีย” สิตาลเสมองไปทางอื่น “ชิ มีไฟแช็กใครๆ ก็ก่อไฟได้ คนไรกวนประสาตที่สุด”
ราเมศบอกกับเธอว่าแสงสว่างจากกองไฟจะทำให้สัตว์ร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ อีกทั้งกลางคืนอากาศในป่ายังหนาวมาก ยิ่งดึกอุณหภูมิจะยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ ตรงข้ามกับเวลากลางวันอย่างสิ้นเชิง สิตาลเริ่มหนาวจึงขยับเข้ามานั่งผิงไฟด้วย เพราะยิ่งดึกน้ำค้างก็ยิ่งลงหนักแบบที่เขาว่าจริงๆ
สิตาลมองคนตัวสูงท่าทางคล่องแคล่ว หลังจากก่อไฟให้เธอเสร็จ เขาก็เดินไปกางเต็นท์ต่อ ชายหนุ่มทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว คล่องมือไปหมด ราวกับว่ามีบ้านอยู่ในป่า
เพื่อลดบรรยากาศเงียบเหงาจนได้ยินแม้แต่เสียงเต้นตึกๆ ของหัวใจตัวเอง สิตาลจึงขยับริมฝีปากถามเขาก่อน
“นี่คุณชื่ออะไรคะ ฉันชื่อสิตาลค่ะ”
มือเขาทำงานไปด้วย แต่ก็เปิดปากตอบ “ผมชื่อราเมศ”
“ราเมศเหรอคะ” สิตาลทวนคำยอมรับว่าชื่อเขาเพราะดี “คุณทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วคะ แล้วเคยมีใครพลัดหลงเข้าป่ามาแบบฉันไหม”
ราเมศหันไปมองคนที่ถามว่าเขาทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วด้วยสีหน้าปั้นยาก
“ว่าไงคะ ฉันถามว่าทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว และเคยมีใครเคยหลงป่าแบบฉันไหม”
“ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก”
“อ้อ ทำงานมาตั้งแต่เด็ก”
หน้าตาเขาไม่เหมือนคนใต้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอมองออกว่าเขามีส่วนผสมผสานระหว่างความคมเข้มแบบคนภาคใต้ แต่อีกครึ่งเป็นส่วนผสมของชาวต่างประเทศ
“ฉันนึกว่าคุณเป็นลูกครึ่งเสียอีก”
“ผมเป็นลูกครึ่งรัสเซีย”
“นั่นว่าแล้วไง”
เธอเคยได้ยินว่าแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างเช่นพัทยานั้นมีผู้หญิงรัสเซียเข้ามาทำงานเยอะ เมื่อเห็นราเมศแต่งกายด้วยเสื้อพนักงานแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจเป็นผลผลิตของผู้หญิงรัสเซียเหล่านั้น สิตาลเลยเบี่ยงประเด็น
“แล้วมีคนหลงป่าแบบฉันบ่อยหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่อยมีหรอกคุณ ก่อนเข้ามาในป่า ทางบริษัททัวร์เขาก็แจ้งเรื่องการปฏิบัติตัวแล้วไม่ใช่เหรอ มีแค่พวกชอบแหกกฎ กับ...” เขามองหน้าหญิงสาวแล้วหยุดพูด “ช่างเถอะ ออกไปได้ก็ทิปให้ผมหนักๆ สักห้าพันก็แล้วกัน” ราเมศนึกสนุกเลยแกล้งพูดไป
“อะไรนะ! ตั้งห้าพันเชียว!”
“หรือคุณคิดว่าชีวิตคุณมีราคาไม่ถึงห้าพัน”
สิตาลเม้มปากแน่น เธอต้องกู้ฟ้าใสมาจ่ายเขาถึงห้าพันเชียว ทั้งเดือนนี้กินเกลือแน่ๆ “ขอทิปหนักขนาดนี้ คืนนี้บริการฉันให้ดีหน่อยละกัน”
นายหัวราเมศหยุดมือจากการยึดเต็นท์ด้วยการใช้ตะขอไปเกี่ยวกับเสาเต็นท์ที่ปักลงบนพื้นดิน
“ต้องการให้ผมบริการรูปแบบไหนล่ะคุณผู้หญิงจะได้จัดให้ถูกใจ”
เขามองสาวเจ้าตั้งแต่ใบหน้าหวานๆ เรื่อยต่ำลงมา ทำเอาคนนั่งผิงไฟรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า ไม่ใช่เพราะความร้อนจากกองไฟเบื้องหน้า แต่เพราะสายตาปลาบคมที่มันซอกแซกราวกับสำรวจเธออยู่
“ฉันหมายถึงดูแลฉันดีๆ ในฐานะท่องเที่ยว แบบนั้น”
“อ้อ...นึกว่า...” เขาพูดค้างไว้แบบนั้นแล้วจ้องมา ทำให้สิตาลหน้าแดงไปหมด
สิตาลแหงนมองบนท้องฟ้าแล้วชะงัก ไม่คิดว่าที่นี่จะทำให้เห็นดวงดาวได้ชัดแบบนี้ ดาวเป็นล้านดวงเกลื่อนฟ้าส่องแสงแข่งกันดูงดงามจนไม่อยากกะพริบตา แล้วอดคิดเรื่องฝนตกไม่ได้เมื่อเห็นว่าเขามีเต็นท์มาเพียงหลังเดียว เลยถามต่อ
“คืนนี้ฝนคงไม่ตกใช่ไหมคะ ฉันกลัวเต็นท์เล็กๆ แค่นี้จะเอาไม่อยู่ถ้าเกิดฝนตกหนักขึ้นมา”
“ผมก็ไม่ใช่กรมอุตุฯ เสียด้วยคุณผู้หญิง แต่ว่าที่นี่ ‘ฝนแปดแดดสี่’ ไม่แน่ เดี๋ยวก็อาจตกอีก เมื่อวานก็ตก”
สิตาลทำปากยู่ “แล้วถ้าตก คุณก็ต้องมาหลบฝนในเต็นท์ฉันสิ”
คำพูดนั้นทำเอาคนกางเต็นท์เสร็จแล้วชะงัก “นี่คุณผู้หญิง ใจคอคุณจะนอนในเต็นท์คนเดียว แล้วให้ผมเฝ้ายามอยู่หน้าเต็นท์คุณเหรอ ฝันไปเถอะ”
“อะไรนะ อย่าบอกนะว่า...”
“ใช่ครับ เต็นท์มีหลังเดียว คนมีสองคนก็ต้องนอนเต็นท์เดียวกัน แต่ถ้าคุณนอนเต็นท์เดียวกับผมไม่ได้ละก็” เขาหันไปคว้าเปลผ้าลายทหารโยนมาตรงหน้าเจ้าหล่อนที่กำลังตาค้าง “เปลนี่อาจช่วยคุณได้ แต่ยุงป่ามันเยอะหน่อยนะ”
“อะไรนะ...!” สิตาลไม่รู้จะตอบโต้กับคนปากเสียอย่างไรดี “แต่ฉันเป็นผู้หญิง แล้วก็เป็นลูกค้าด้วย”
“แต่ผมเป็นเจ้าของเต็นท์ แล้วก็ไม่ใจดีพอจะนอนตบยุงเพื่อคุณหรอกนะ”
เท่านั้น สิตาลก็จ้องเขาตาเขม็ง “ไม่มีใครสอนคำว่าสุภาพบุรุษบ้างหรือไง”
“แล้วคุณล่ะ ไม่มีใครสอนคำว่าความเกรงใจบ้างหรือไง สุภาพบุรุษที่นอนตบยุงเฝ้าหน้าเต็นท์ให้คุณนอนสบายแบบนั้นมีแต่ในนิยายหรือไม่ก็ละครเท่านั้นแหละคุณ”
เขาไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจ แต่ริมฝีปากหยักลอบยิ้มบิดขึ้น ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อจัดดูมีเสน่ห์น่าค้นหาเพิ่มขึ้นอีก
อีกฟากหนึ่งที่ออฟฟิศของ PP Monster Advance ‘ฟ้าใส นันทกิจ’ พี่รหัสสมัยเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน แถมเป็นผู้ชวนสิตาลมาเที่ยวผจญภัยครั้งนี้ กำลังว้าวุ่นใจ กว่าสิบสองชั่วโมงแล้วที่สิตาลหายไปในป่า จะให้เธอนั่งเฉยๆ รอฟังข่าวได้อย่างไร สิตาลไม่ได้เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าแล้วพลัดหลงกัน แต่หญิงสาวหลงไปในป่าลึก ซึ่ง ‘คุณปราบ’ ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้เป็นเจ้าของ PP Monster Advance ยอมรับออกมาเองว่าบริเวณที่สิตาลน่าจะหายเข้าไปนั้นเป็นป่าดิบรกชัฏ ทำให้ปราบยิ่งเป็นกังวล แม้จะกระจายกำลังออกค้นหาหลายชุด แต่ก็คว้าน้ำเหลวออกมา
เจ้าของร่างเล็กมีสีหน้ายุ่ง แล้วลุกพรวดขึ้นจากโซฟาหลังจากที่เห็นทีมค้นหาหลายชุดกลับเข้ามา
“เราจะทำอะไรได้มากกว่านี้ไหมคะ ฉันเป็นห่วงเพื่อนมาก”
“ผมก็ร้อนใจไม่น้อยไปกว่าคุณ แต่การค้นหาในเวลากลางคืนอันตรายมากครับ แต่เราก็ยังมีความหวัง เพราะราเมศไม่กลับออกมาแบบนี้ นั่นหมายความว่า บางทีเขาอาจจะเจอคุณสิตาลแล้วก็ได้”
ชายร่างสูง ผิวขาว หน้าตาดีที่ยืนอยู่ด้านหลังฟ้าใสสะดุดกับประโยคนี้
“ราเมศ ใครเหรอครับ หรือว่าเป็นพนักงานที่นี่ เขามีความชำนาญป่าดีใช่ไหม”
‘ณกรณ์’ โพล่งขึ้น เขาเป็นห่วงสิตาลมากจนขอเข้าไปตามหาสิตาลด้วย แต่ปราบไม่อนุญาต เพราะหากไม่ชำนาญป่าจะยิ่งทำให้ทุกอย่างล่าช้า แล้วอาจเกิดการพลัดหลงเพิ่มปัญหามากขึ้นกว่าเดิม
“ราเมศ หรือนายหัวราเมศ เป็นเพื่อนของผม และเป็นเจ้าของเกาะมุกตะวัน ราเมศเป็นผู้ที่ชำนาญในการเดินป่า เขารู้เส้นทางที่นั่นดี และเป็นคนเดียวที่พารถเอทีวีเข้าไปที่นั่นได้ เส้นทางแถบนั้นทั้งแคบและสูงชัน อันตรายมาก”
“ถ้าเพื่อนของคุณมีโอกาสเจอสิตาล แล้วทำไมยังไม่พาเธอกลับมาอีก”
จะไม่ให้เขาห่วงรุ่นน้องสาวคนสนิทได้อย่างไร ในเมื่อสิตาลสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวกับไข่มุก มีเส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลล้อมกรอบหน้ารูปไข่ ดวงตาโตหวานฉ่ำรับกับจมูกโด่งทรงหยดน้ำที่ไม่เคยผ่านการศัลยกรรม แต่ได้รับมาเป็นมรดกจากมารดาที่เป็นถึงอดีตนางงามเชียงใหม่
ฟ้าใสฟังณกรณ์พูดแล้วเบิกตากว้าง “นั่นสิคะ ถ้าเจอแล้ว ทำไมไม่รีบพายายสิตาลออกมา”
ปราบมองสองนักท่องเที่ยวแล้วส่ายหน้าช้าๆ “ในป่า กลางคืนอันตราย และความน่ากลัวของมันมีมากกว่ากลางวันเยอะครับ”
เสียงเข้มกับสีหน้าจริงจังของปราบทำให้ฟ้าใสและณกรณ์เงียบลง