ตอนที่ 2

1529 Words
"ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด" เสียงโทรศัพท์ของเดวิสดังขึ้น ชายหนุ่มจึงกดรับสายทันที "สวัสดีครับมัม มีอะไรครับโทรมาหาผมแต่เช้าเลย" ชายหนุ่มทักทายออกไปเพราะเบอร์ที่โชว์หน้าจอนั้นเป็นเบอร์ของมารดา "เย็นนี้มัมนัดเพื่อนทานข้าว เดวิสไปเป็นเพื่อนมัมหน่อยนะลูก แด๊ด ไปดูงานต่างประเทศ มัมไม่อยากไปคนเดียวมัมแก่แล้ว" นั่นไงมัมเขา เรื่องดราม่าปอดแตกขอให้บอก พูดออกมาทีรัยทำเอาเขาใจอ่อนทุกที เรื่องการแสดงที่เขาได้เป็นถึงพระเอกดังไม่ต้องให้บอกว่าได้มาจากใครนะ มารดาล้วนๆ "ครับๆ กี่โมงครับ อ่อครับ แล้วเดี๋ยวผมจะแวะไปรับที่บ้าน ครับรักมัมครับ" เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลงชายหนุ่มก็วางสายทันที บิดาของเขาไปติดต่องานที่ต่างประเทศเป็นประจำเพราะธุรกิจของที่บ้านเป็นธุรกิจส่งออกฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ของประเทศ แต่ชายหนุ่มชอบงานด้านการแสดงจึงได้เข้าวงการมาพร้อมๆกับเพื่อนสาวคนสนิทอย่าง ณิชา นางแบบสาวที่เขาเคยแอบชอบ แต่ตอนนี้เธอมีเจ้าของหัวใจไปเสียแล้ว ทีแรกครอบครัวของเขาคัดค้านอยากให้กลับไปทำงานที่บ้านบิดาของเขาจะได้พักผ่อนบ้าง แต่ด้วยความที่กำลังสนุกกับงานเขาจึงไม่ค่อยใส่ใจมากนัก จนมาระยะหลังๆบิดาเริ่มป่วยบ่อย เขาจึงค่อยๆเข้ามาบริหารงานบ้างเป็นครั้งคราวเพราะขอเวลาเคลียร์ตัวเองกับงานทางนี้ก่อนค่อยเข้ามาทำงานกับบิดาเต็มตัว วันนี้เดวิสมีงานถึงแค่ช่วงเที่ยงเพราะฉะนั้นพอเสร็จงานชายหนุ่มจึงคิดว่าจะแวะเข้าบ้านไปหามารดาเลย "มิรา จะออกไปไหนรึเปล่าลูกวันนี้" คุณมิเรน่าเอ่ยถามบุตรสาวเพียงคนเดียวในขณะที่นั่งทานข้าวอยู่ "ไม่คะคุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ" มิราตอบออกไปเพราะเธอไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่ที่นี่หรอก ส่วนมากอยู่ที่ไทยมากกว่าเพราะบิดากับมารดาส่งเธอให้ไปอยู่กับคุณย่าตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายแล้ว "เย็นนี้แม่มีนัดกับเพื่อน คุณพ่อต้องไปประชุม มิราขับรถไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะลูก" มารดาบอกออกไปก่อนที่จะลุ้นว่าลูกสาวจะปฏิเสธหรือไม่ "อ้อได้สิคะ กี่โมงคะ" หญิงสาวหันมาตอบผู้เป็นแม่เพราะอยู่บ้านเฉยๆเธอก็เบื่อจะแย่แล้วเหมือนกัน มิราเรียนจบปริญญาเอกมาได้จะสองปีแล้ว ด้วยความที่เธอมีไอคิวสูงกว่าคนอื่นทำให้เธอสามารถจบปริญญาเอกในอายุแค่ 25 ปีเท่านั้น และเธอพึ่งลาออกจากงานมาเพราะต้องย้ายมาทำงานอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของผู้เป็นบิดา ด้วยไอคิวที่ สูงถึง 220 ของมิราเธอจึงค่อนข้างที่จะมีความคิดเป็นของตัวเองมากกว่าเด็กคนอื่น ตอนเด็กๆบิดาของเธอพยายามที่จะสอนให้เธอปรับตัวเข้ากับวัยเดียวกันซึ่งมันเป็นอะไรที่หญิงสาวคิดว่ามันทำยากมาก เพราะเด็กพวกนั้นไม่รู้ในสิ่งที่เธอต้องการสื่อสารเหมือนไม่ใช่คนรุ่นเดียวกัน สิ่งที่ครูประจำชั้นสอนก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอรู้หมดแล้วจึงทำให้มิราไม่มีความสุขเมื่อไปโรงเรียน พอขึ้นมัธยมศึกษาตอนปลายบิดาจึงส่งหญิงสาวไปอยู่กับคุณย่าที่บ้านสวนและให้เรียนโรงเรียนประจำจังหวัด เพื่อให้เธอได้ปรับตัวเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่แค่ในหนังสือเรียน แรกๆเธอก็ไม่รู้สึกมีความสุข เด็กๆที่นั่นเห็นเธอแตกต่างเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง เพื่อนๆมักจะล้อเลียนจนวันหนึ่งเธอก็ใช้ความฉลาดของเธอสยบเด็กพวกนั้นได้ เธอจึงเริ่มรู้สึกชีวิตเริ่มมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ มิราเริ่มปรับตัวและเริ่มเปิดใจจนเธอกลายเป็นที่รักของคนในละแวกนั้นและยังมีเพื่อนสนิทสองคนที่เรียนจบมาด้วยกัน เคยมีคนสงสัยหลายคนว่าทำไมหญิงสาวถึงเรียนเก่งนักเก่งหนาทั้งที่เธอแทบจะไม่เคยตั้งใจเรียนด้วยซ้ำ เอาแต่เข้าห้องวิทยาศาสตร์ทำงานวิจัยกับรุ่นพี่จนมันประสบความสำเร็จมากมาย ถึงมิราจะเป็นเด็กอัจฉริยะก็จริง แต่มันถูกปิดเป็นความลับจากคนอื่นๆนอกจากคนที่สนิทจริงๆถึงจะรู้ เพราะบิดาของหญิงสาวกลัวว่าลูกจะเป็นอันตรายและอยากให้เธอใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปดีกว่า ร้านอาหาร "มิเรน่า ทางนี้ๆ" คุณแอนนาโบกมือเรียกเพื่อนสาวที่คบกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าร้านอาหารมา "มาถึงนานแล้วเหรอ พอดีรถติดนิดหน่อยเลยมาช้าน่ะ" คุณมิเรน่าบอกออกจะก่อนจะนั่งลง "ไม่เป็นไรๆฉันมาก่อนเวลาเอง" คุณแอนนาบอกออกไปก่อนจะมองไปที่หญิงสาวอีกคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนของเธอ สายตาแสดงออกว่าชื่นชมออกมา " นี่เดวิส ลูกชายฉันเอง เดวิสสวัสดีคุณน้าเขาสิลูก" คุณแอนนาแนะนำออกไป "สวัสดีครับ" ชายหนุ่มยื่นมือออกไปจับมือทักทายคุณมิเรน่า ก่อนที่สายตาจะมองไปที่หญิงสาวอีกคน ที่เขาจำเธอได้ตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้วว่าเธอคือ 'ยัยป้าแว่น!' ที่ขับรถชนเขา "ส่วนนี่น้องมิรา พึ่งกลับมาจากเมืองไทย ทักทายน้องสิลูก" 'หึ อีตาไฟแดงนี่เอง' มิราก็จำชายหนุ่มได้เหมือนกัน เธอพึ่งได้รถคืนมาเมื่อวานแถมโดนมารดาบ่นจนหูแทบชาจากนั้นทั้งสองจับมือทักทายกันเป็นมารยาทอย่างกระแทกกระทั้น จากนั้นทุกคนก็นั่งลง ก่อนที่ทั้งหมดก็ลงมือทานอาหารกันไปคุยกันไป โดยผู้ใหญ่ทั้งสองพยายามจะยัดเยียดคนของตนให้อีกฝ่ายสนใจจนทั้งสองจับไต๋ได้ ว่าที่พามาวันนี้คือการดูตัว ไม่ได้มาเป็นเพื่อนแต่อย่างใด ‘หึ มารดาเขานี่ก็แปลก อยากได้ยัยแว่นเนี่ยนะมาเป็นลูกสะใภ้ ดูซิผู้หญิงอะไรไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย’ ชายหนุ่มคิดออกมาในใจ 'เฮ้อ คุณแม่นะคุณแม่ จะหาสามีให้ทั้งที ให้ลูกเลือกเองได้ไหมเนี่ย ขืนเอาไอ้ไฟแดงมาเป็นผัว รับรองได้ฆ่ากันตายก่อนแน่ๆ' มิราคิดออกมาเพลียๆก่อนที่จะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ "เอ่อคุณแม่คะมิราขอตัวไปเข้าห้องน้ำแปปนึงนะคะ" "เดี๋ยวผมขอไปด้วยนะครับ พอดีอยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน" พอพูดจบชายหนุ่มก็ลุกเดินหญิงสาวตามออกมาทันที สักพักมิราก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วมีเสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมา "หึ ยัยป้าแว่น คิดจะมาเอาฉันไปเป็นสามีเหรอ ฝันไปสิบชาติเถอะ" เดวิสที่มายืนรอเธอหน้าห้องน้ำได้สักพักแล้วนั้นเอ่ยขึ้น "หึ ไอ้ไฟแดง ใครเขาอยากได้คุณมาเป็นผัวยะ คิดไปเองรึเปล่า อย่าว่าแต่ผัวเลยแค่ทนเห็นหน้าคุณตอนนี้ฉันยังอยากมุดพื้นหนีเลย ถ้าไม่ติดว่ามากับแม่ฉันนะ ฉันไม่มานั่งร่วมโต๊ะกับคุณให้เสียเวลาหรอก รู้ไว้ซะ!" มิราพอได้เปิดฉากหญิงสาวก็พูดออกมายาวเหยียดจนเดวิสพูดกลับไม่ทันได้แต่ยืนมองเธอพูดอย่างไม่รู้จะตอบกลับตอนไหน "เธอรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร ผู้หญิงครึ่งค่อนโลกหวังอยากแต่งงานกับฉัน แล้วเธอเป็นใครห๊ะ โถ่ๆๆๆ นี่แต่งตัวหรือจะไปออกรบ แล้วแว่นเนี่ยละ ใหญ่ไปไหมแม่คุณ อย่างคุณนะ ผมไม่ชายตาแลหรอก อกแบน ตูดแฟบ ใส่แว่นหนาเตอะ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง แถมปากเนี่ยนะ ร้ายยิ่งกว่านางร้ายในละครซะอีก!" เดวิส พูดด่าเธอออกมาเสียยืดยาวจนมิราได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆอยากจะเถียงแต่เถียงออกมาไม่ทัน 'ผู้ชายอะไรปากร้ายชะมัด ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ชิส์' "โอเค นายดูออกใช่ไหมว่าแม่นายกับแม่ฉันกำลังทำอะไร งั้นจำที่นายพูดไว้ให้ดี อย่าตกหลุมพรางแม่นายเด็ดขาด เพราะไม่ว่ายังไงฉันไม่มีวันแต่งงานกับนายแน่นอน ต่อให้ต้องผูกคอตายก็เถอะ" มิราพูดเสร็จเดินหนีออกไปทันทีกลัวว่าเขาจะด่าเธอออกมาอีกยืดยาว 'หญิงสาวรับไม่ได้ ผู้ชายปากเสีย' ทั้งสองหลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม โดยสายตาแทบจะไม่มองหน้ากันเลย ต่างคนต่างกินโน่นกินนี่ให้หมดๆมารดาจะได้กลับบ้านเสียที แต่ก็ปาไปเกือบสามทุ่มกว่ามารดาของทั้งสองจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD