เสียงรถจอดหน้าบ้านหลังที่กำลังจดจ้องอยู่ทำให้ชายหนุ่มครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ในรถสปอร์ตหรูที่จอดแอบข้างพุ่มไม้ไว้ผงกหัวขึ้นดูอย่างรวดเร็วสายตาจับจ้องที่รถแท็กซี่เขม็ง หญิงวัยกลางคนหน้าตายังคงเค้าความงามเปิดประตูก้าวลงจากรถด้วยท่าทางหดหู่ เธอเดินไปไขกุญแจประตูบ้านแต่แล้วก็กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง การินยื่นหน้าดูจนติดกระจกด้วยความสงสัยแต่แล้วก็เข้าใจเมื่อเห็นไหล่บอบบางของหญิงคนนั้นสั่นไหวไปด้วยแรงสะอื้น เธอร่ำไห้ตัวโยนจนต้องนั่งลงกับพื้นใต้ชายคาประตูรั้ว
การินแสยะยิ้ม...สะใจเขานัก! นังผู้หญิงแพศยา! คราวนี้รู้รึยังว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง!
“ร้องไห้ไปเถอะ ร้องไปให้น้ำตาเป็นสายเลือดแกก็จะไม่ได้เจอลูกแกอีก! มันสมควรที่สุดแล้วที่แกสองคนแม่ลูกจะต้องได้รับผลตอบแทนแบบนี้! พวกแกทำร้ายครอบครัวฉันอย่างเลือดเย็น สิ่งที่พวกแกได้รับยังไม่เท่ากับสิ่งที่ฉันต้องสูญเสียไปอย่างไม่มีวันกลับคืน! พวกแกทั้งคู่จะต้องทุกข์ทรมานชั่วชีวิต!” การินเข่นเขี้ยวนัยน์ตาแดงก่ำ
เขาแค้นเหลือเกินแต่พอเห็นภาพตรงหน้าเขาก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง เขาสะใจแต่ก็รู้สึกว่างเปล่า เขารู้สึกหดหู่แต่เขาก็ยังแค้นสุดขั้ว เขาด่าว่าผู้หญิงตรงหน้าแต่ก็รู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเอง ภาพสะท้อนตีกลับทำให้เจ็บแปลบขึ้นมาอีกเหมือนแผลที่กำลังจะหายแต่ก็กลับฉีกออกอีก มันเจ็บปวดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า!
การินสะบัดหน้าไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อล้น เขาจะไม่มีวันอ่อนแอ เขาจะไม่มีทางอ่อนข้อให้กับสองแม่ลูกนั่นเด็ดขาด! ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนเขาก็จะเฝ้าดูไม่ให้สองแม่ลูกนั่นเจอกันได้อีก! พวกมันต้องจากกันตลอดกาลเช่นเดียวกับเขา! ชายหนุ่มถอยรถคันหรูออกจากที่ซ่อนขับหายไปในความมืด
กำหนดการที่จะต้องกลับไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นของการินเหลืออีกเพียงแค่วันเดียว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะมาเยี่ยมมารดาที่โรงพยาบาล เขามาทุกวันก็จริงแต่ก็เพียงแค่แอบดูแม่อยู่ห่างๆ ไม่มีโอกาสจะได้เข้าใกล้ท่านได้เลย อาการของดาริณยังไม่ดีขึ้นแต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเพราะนางไม่มีอาการอาละวาดโวยวายอีกเลย ส่วนอาการตอบสนองต่างๆ ยังไม่คืบหน้าเช่นเดิม นางยังคงนั่งเหม่อมองไปทางสวนครั้งละนานๆ ยังถามซ้ำๆ ถึงสามีตลอดเวลาแม้จะได้รับคำตอบเหมือนเดิมทุกครั้งก็ตาม นางจะนึกอะไรที่เคยชินได้เป็นบางอย่างเช่นถามถึงหวีอันที่เคยใช้ ถามถึงเสื้อผ้าชุดที่ชอบซึ่งการินก็ได้จัดหามาให้แม่ตามที่หมอบอกทั้งหมด เขาทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น สิ่งที่เขาอยากทำมากกว่านี้เขากลับทำไม่ได้
แต่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหน้าแม่ก่อนที่จะต้องจากกันไปอีกหลายปี เขาอยากกอดแม่สักครั้ง อยากกราบเท้าท่าน อยากเก็บความรักและเคารพไว้หล่อเลี้ยงจิตใจให้เข้มแข็ง เขาจะไม่กลับมาอีกจนกว่าจะเรียนจบ เขาอยากตัดภาระเรื่องการเรียนออกไปให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้กลับมาทำธุรกิจและรับมารดามาดูแลอย่างที่ตั้งใจไว้
“สวัสดีครับ อาหมอ” การินยกมือไหว้หมอประภัทรเจ้าของไข้มารดา
“อ้าวริน พงษ์ มาแล้วเหรอ” หมอประภัทรทักทายรวมไปถึงจรัสพงษ์ที่มาพร้อมกันด้วย
“ครับ วันนี้ผมมาเป็นวันสุดท้ายแล้วครับอาหมอ พรุ่งนี้ผมต้องกลับไปญี่ปุ่นแล้ว”
“อืม...อารู้จากพงษ์แล้วละ รินไม่ต้องเป็นห่วงนะอาจะดูแลคุณดาริณอย่างดีที่สุด รินไปเรียนต่อให้จบเถอะจะได้รีบกลับมาดูแลแม่ได้”
“ครับ ผมคงไม่ได้กลับมาจนกว่าจะเรียนจบ ต้องฝากอาหมอกับอาพงษ์ดูแลแม่ผมด้วยครับ” การินก้มหัวขอร้องบุรุษสูงวัยกว่าทั้งคู่
“แน่นอนอยู่แล้วริน อากับประภัทรจะดูแลคุณดาอย่างเต็มที่ รินสบายใจได้เลย” จรัสพงษ์ตบไหล่หลานชายเบาๆ
“ขอบคุณอาทั้งสองมากครับ แล้วก็..วันนี้ผมมีเรื่องจะขอร้องอาหมอ”
“ว่ามาได้เลยหลานชาย”
“ผมอยากกราบลาแม่ครับ”
“อืม......” หมอประภัทรเม้มปากครุ่นคิด
“ได้มั้ยครับอาหมอ แค่แป๊บเดียวก็ได้ครับ” สายตาวิงวอนที่มองมาทำให้หมอประภัทรสงสารชายหนุ่มจับใจ
“เฮ่ออ....อาบอกตรงๆ นะว่าอายังกลัวเหตุการณ์คราวที่แล้วอยู่ แต่เอาเถอะ..อาพอจะหาโอกาสให้ได้ แค่สัก 5 นาทีเท่านั้นนะ”
“5 นาทีก็พอครับอาหมอ ขอบคุณมากๆ ครับ” การินสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันที
“รินรอที่นี่นะ พร้อมแล้วอาจะให้พยาบาลมาตาม” หมอประภัทรลุกขึ้นจากเก้าอี้ห้องทำงาน
“ขอบใจมากว่ะหมอ” จรัสพงษ์หันมาบอกตามหลัง หมอประภัทรตบบ่าเบาๆ รับรู้
ผ่านไปเพียงครู่เดียวพยาบาลสาวก็มาเชิญการินไปที่ห้องดาริน ในห้องสลัวลงเล็กน้อยเพราะพยาบาลรูดม่านบังแสงไว้ การินมองไปที่เตียงมารดาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่หมอประภัทรที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้พยักหน้าเรียกเขาจึงเดินเข้าไปจนชิดร่างมารดาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง นางหลับสนิท..
“อยากพูดอะไรกับแม่ก็พูดเลยนะริน อาฉีดยานอนหลับอย่างอ่อนให้คุณดาน่าจะหลับไปสักพักนึงน่ะ อาจะออกไปรอข้างนอกนะ มีอะไรผิดปกติเรียกอาได้เลย”
“ครับอาหมอ” การินพยักหน้า หมอประภัทรแตะต้นแขนชายหนุ่มเบาๆ แล้วเดินออกไปรอข้างนอก
การินหันไปมองมารดาที่กำลังหลับสนิทหายใจสม่ำเสมอแขนสองข้างปล่อยสบายอยู่ข้างลำตัว เขาเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กๆ มากุมไว้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอันคุ้นเคย เขาเอามือนุ่มๆ แนบใบหน้านึกถึงวันเวลาแห่งความสุขที่มือนี้มอบให้เขามาตลอดชีวิต นึกถึงคราที่มือเล็กๆ นี้ลูบหลังลูบไหล่เขาอย่างอ่อนโยน นึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นจากวงแขนที่กางเหยียดอย่างสบายบนเตียงคนไข้นี้ เวลาผ่านไปเพียงไม่นานตั้งแต่พ่อจากไปแต่เขากลับรู้สึกเหมือนห่างหายจากความรักความอบอุ่นไปนานแสนนาน พ่อจากไปไม่มีวันกลับ.. แม่ไม่สามารถลุกขึ้นมาทักทายเขา..ลูบหัวเขา..กอดเขาได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เขารู้สึกว้าเหว่เหลือเกิน..
“แม่ครับ..ผมจะกลับไปเรียนต่อแล้วนะครับ.. แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะผมจะรีบเรียนให้จบแล้วรีบกลับมารับแม่ไปอยู่ด้วยกัน แม่ต้องสู้นะครับ แม่อย่ายอมแพ้ แม่ต้องหาย แม่ต้องกลับมาหาผมเร็วๆ นะครับ..” พูดได้เพียงแค่นี้น้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลรินกลั้นไว้ไม่อยู่ การินพยายามสะกดกลั้นแรงสะอื้นและน้ำตาแล้วพูดต่อเสียงสั่นเครือ
“ผม..ผมคง..ผม....ฮือ! ...” ชายหนุ่มก้มหน้าลงข้างเตียงร้องไห้จนน้ำตาแทบเหือดแห้งหมดตัว.. ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกระงับอารมณ์อันโศกสลด
“ผม..ผมคงจะไม่ได้กลับมาอีกนาน.. ทุกสิ่งทุกอย่างผมได้ขอร้องให้อาพงษ์จัดการให้หมดแล้ว วันที่ผมกลับมาเราจะย้ายไปอยู่ด้วยกันนะครับ ผมจะปลูกบ้านให้แม่ใหม่...มีสวนสวยๆ ...มีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ถ้าแม่ต้องการ ผมหวังว่าแม่จะกลับมาหาผมนะครับ หวังว่าแม่จะจำผมได้แล้วกอดผมอีกครั้ง..” การินน้ำตาซึมอีกแล้ว
“เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสิ่งใหม่ๆ กันนะครับแม่ ผมจะพาแม่ไปอยู่ที่ใหม่ มีเพื่อนใหม่ๆ แม่จะได้ลืมเรื่องเศร้าได้นะครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลแม่ให้แม่มีความสุขให้ได้ ผม..ต้องกราบลาแม่ก่อนนะครับ แล้วผมจะกลับมารับแม่นะครับ” การินก้มลงโอบกอดมารดาด้วยความรักและอาลัย ก่อนที่จะเลื่อนตัวก้มลงกราบเท้าอำลาแม่บังเกิดเกล้า
“ผมลาแม่เรียบร้อยแล้วครับอาหมอ ขอบคุณอาหมอมากครับ” การินเปิดประตูห้องคนไข้ออกมาบอกหมอประภัทรที่นั่งรออยู่กับจรัสพงษ์ในส่วนห้องรับแขก ชายวัยกลางคนทั้งสองเห็นชัดว่าดวงตาของชายหนุ่มแดงก่ำช้ำบวมแล้วก็รู้สึกเวทนาในชะตากรรมยิ่งนัก จรัสพงษ์รีบลุกขึ้นไปกอดหลานชายไว้แล้วบอกลาหมอประภัทร
“งั้นเรากลับเลยนะหมอ รินยังต้องสะสางธุระที่ค้างๆ คาๆ ไว้อีกนิดหน่อยจะได้เรียบร้อยก่อนรินไป”
“เออ กลับเถอะ รินจะได้พักผ่อนด้วยยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ ทางนี้ไม่ต้องห่วงนะรินอาดูแลเต็มที่”
“ครับ ฝากแม่ด้วยนะครับอาหมอ ผมลากลับเลยครับ” การินยกมือไหว้ลาหมอประภัทร เขาจิตใจหดหู่จนแทบประคองตัวไว้ไม่อยู่เอื้อนเอ่ยอะไรออกจากปากมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่เขาต้องรีบเดินไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด ต้องออกจากห้วงทุกข์ให้เร็วที่สุด ต้องหยุดความโศกเศร้าให้ได้ ต้องสร้างแรงกายแรงใจให้คืนกลับมาเพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้มารดาเขาในอนาคต เขาจะย่อท้อไม่ได้โศกาอาดูรต่อไปไม่ได้แล้ว เขาต้องเดินหน้าแม้จะต้องหักห้ามความทุกข์แสนสาหัส เขาก็ต้องเดินต่อไป!
“ลานะหมอ แล้วเจอกัน” จรัสพงษ์เดินตามการินที่เดินนำหน้าไปด้วยท่าทีที่เข้มแข็งขึ้นทำให้เขาเบาใจไปมากทีเดียว
หมอประภัทรโบกมือส่งชายต่างวัยสองคนแล้วเข้าไปในห้องดารินอีกครั้งเพื่อตรวจความเรียบร้อยว่านางยังหลับสบายดีอยู่หรือไม่ แล้วก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นน้ำตาไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างของดารินทั้งที่ยังปิดสนิท เขารีบเปิดเปลือกตาของนางแล้วเอาไฟฉายส่องดูปฎิกิริยาตอบสนองว่านางรู้สึกตัวหรือไม่แต่ก็ปรากฏว่านางยังหลับสนิทอยู่เหมือนเดิม หมอบีบมือดารินเบาๆ แล้วพูดกับนางว่า
“คุณดา คุณไม่ได้ลืมรินใช่มั้ย คุณจำเสียงเค้าได้จากจิตใต้สำนึก ผมดูแลให้จิตใจคุณดีขึ้นได้แต่ผมไม่สามารถเปิดประตูที่คุณเป็นผู้ปิดและล็อคกุญแจได้ คุณดาครับ...หากคุณได้ยินผม ได้โปรดปลดล็อคกุญแจในใจคุณแล้วรับรินลูกชายคุณเข้าสู่อ้อมกอดแม่อันอบอุ่นด้วยเถอะครับ ผมขอวิงวอนแทนเด็กหนุ่มคนนั้นนะครับ..”