พิมพ์กานต์ค่อยๆ แง้มประตูที่เชื่อมระหว่างห้องของเธอและการินเพื่อที่จะไปปลุกเขาตามคำสั่ง เธอก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าวก็พบแต่ความมืดมองไม่เห็นว่าจะเดินไปที่เตียงเขาได้ยังไง เธอหันกลับไปที่ประตูแล้วแง้มมันให้กว้างขึ้นเพื่ออาศัยแสงไฟจากห้องของเธอแต่มันก็มองเห็นแค่สลัวๆเท่านั้น เธอมองเห็นแท่นที่ยกพื้นขึ้นเหนือจากส่วนที่มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่และลิ้นชักเอกสาร พิมพ์กานต์เดินใกล้เข้าไปอีกจึงเห็นลางๆว่าด้านบนส่วนยกพื้นนั้นเป็นที่นอน
เธอค่อยๆเดินขึ้นบันไดที่มีอยู่ห้าขั้นไปบนส่วนนั้น เกาะราวบันไดไปจนถึงชั้นบนซึ่งเธอมองไม่เห็นอีกแล้วเพราะแสงด้านล่างส่องมาไม่ถึง เธอนั่งลงแล้วค่อยๆเอามือคลำจนเจอที่นอนหนานุ่มและได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอดังมาจากอีกมุมนึงของที่นอน พิมพ์กานต์แน่ใจแล้วว่าการินนอนอยู่ที่นั่นแต่เธอคิดไม่ออกว่าจะปลุกเขายังไงดี
‘ทำยังไงดีล่ะยัยพิมพ์ จะปลุกยังไง เขานอนตรงไหนยังมองไม่เห็นเลย’ พิมพ์กานต์พะวักพะวงเอามือคลำๆ ไปบนที่นอนเปะปะแต่ก็ยังไม่เจออะไรเลย
‘นอนอยู่ตรงไหนนะ! ที่นอนนี่มันใหญ่ขนาดไหนเชียว!’ พิมพ์กานต์ชักจะโมโหที่การินไม่บอกว่าเธอควรปลุกเขาแบบไหน? ด้วยวิธีไหน? อย่างไร? แล้วก็โมโหตัวเองที่เกิดเรื่องน่าตกใจจนลืมถาม
‘ฮื้อ! ..จะไปคิดถึงมันอีกทำไมนะ บ้าๆๆ เราต้องดูแลพี่รินให้ดีๆ เค้าจะได้หายโกรธเรากับแม่สักที’ พิมพ์กานต์ยกมือตบหน้าตัวเองแปะๆ ตามความเคยชิน ทันใดนั้นร่างๆ นึงก็พลิกมาคว้าตัวเธอจนกลิ้งไปอีกมุมนึงของที่นอนนุ่ม
“ว๊าย!” พิมพ์กานต์ตกใจร้องเสียงหลง
“จะร้องไปทำไม คนอื่นๆ ตกใจกันหมด” เสียงทุ้มตอบมาในความมืด เธอนอนทับอยู่บนตัวเขา
“พี่ริน! ..ปล่อยเถอะค่ะ ตี 5 ครึ่งแล้วพิมพ์มาปลุกตามคำสั่งไงคะ!” พิมพ์กานต์เอามือดันตัวเขาออกเป็นพัลวัน
“รู้แล้ว ถึงได้ตื่นนี่ไง” การินตอบแต่แขนที่ยังรัดตัวเธออยู่ยังไม่ยอมคลายออกแม้แต่น้อย
“พี่รินคะ...ปล่อยพิมพ์เถอะค่ะ” พิมพ์กานต์พยายามใจดีสู้เสือพูดกับเขาดีๆ
“วันนี้ฉันอยากจะตื่นสายสักหน่อย ถ้าเธออยู่นิ่งๆข้างๆฉันจน 6 โมงเช้า ฉันจะให้เธอออนไลน์คุยกับแม่ได้ครั้งนึง”
“จริงเหรอคะ” พิมพ์กานต์หยุดดิ้นทันที
“ฉันไม่เคยโกหก”
“เอ่อ..แค่..แค่นอนเฉยๆ นะคะ” พิมพ์กานต์อ้อมแอ้มเบาๆ
“แค่นอนเฉยๆ ”
“งั้น..ก็ได้ค่ะ..อุ๊ย! ..” การินพลิกตัวเธอลงมานอนข้างๆ เขา ตะแคงตัวเธอหันหลังเธอชนกับแผ่นอกเขากอดเอวเธอไว้หลวมๆ
การินไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่ได้แตะต้องเธอมากไปกว่ากอดเอวเธอไว้ เสียงลมหายใจเขาสม่ำเสมออีกครั้ง พิมพ์กานต์ไม่กล้าขยับตัวเกรงว่าเขาจะตื่น ร่างใหญ่แนบสนิทกับแผ่นหลังของเธออบอุ่นแผ่ซ่าน
เธอนอนมองไปข้างหน้าจนเห็นแสงแรกของวันรางๆ ที่ขอบฟ้าถึงได้รู้ว่ากำแพงด้านบนนี้เป็นกระจกทั้งแผง ดวงอาทิตย์เริ่มพ้นขอบฟ้า แสงสว่างนวลตาสาดส่องไปทั่วบริเวณทำให้เธอเห็นว่าวิวด้านนอกกระจกนั้นเป็นสระว่ายน้ำสีฟ้าใส อยู่ท่ามกลางสวนสวยสไตล์อังกฤษมีต้นสนใหญ่ล้อมรอบบังสายตาจากภายนอก ภายในห้องสว่างขึ้น เธอหันมองรอบๆเห็นนาฬิกาเรือนใหญ่บนฝาผนังบอกเวลา 6 โมง 10 นาที พิมพ์กานต์ตกใจรีบพลิกตัวไปปลุกการิน
“พี่รินคะ 6 โมงกว่าแล้วค่ะ” พิมพ์กานต์เขย่าแขนเขาเบาๆ
“อืมม..รู้แล้ว” การินตอบแต่ยังไม่ลืมตา แขนที่กอดไว้หลวมๆ กลับรัดแน่นขึ้น
“พี่ริน..ตื่นเถอะค่ะ พิมพ์..พิมพ์จะไปอาบน้ำแต่งตัวจะได้เริ่มทำงานไงคะ” พิมพ์กานต์เริ่มตะกุกตะกัก
“ยังไม่หายง่วงเลย morning kiss ซะหน่อยละกันจะได้ตาสว่าง” การินพลิกตัวประกบจูบปากอิ่มไม่ทันที่พิมพ์กานต์จะได้ตั้งตัว เขาจูบเหมือนหิวกระหาย ลิ้นร้อนๆเกี่ยวกระหวัดดุดันร้อนแรงจนพิมพ์กานต์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่แล้วเขาก็ผละออกกะทันหัน
“โอเค เธอไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมทำงานได้แล้ว” การินลุกขึ้นจากที่นอนสั่งผู้ดูแลสาวสวยด้วยเสียงเรียบๆ
“คะ..ค่ะๆ ..” พิมพ์กานต์หน้าแดงปากแดงก่ำรีบลุกพรวดพราดวิ่งกลับไปที่ห้องตัวเองด้วยความอายที่โอนอ่อนไปกับบทพิศวาสของการินอีกแล้ว
‘หึ...ต้องเป็นเธอมั่งล่ะที่จะต้องสั่นเวลาอยู่ใกล้ฉัน’ การินยิ้มหยัน
‘เออ..แต่จะว่าไป.. ยัยนี่มาปลุกนี่ดีกว่าเจ้าพิณปลุกตั้งเยอะว่ะ’
วันใหม่กำลังจะเริ่ม ผู้ช่วยคนใหม่ก็กำลังจะเริ่มงานวันแรก วันนี้คงมีอะไรๆ ให้ทำหายเบื่อเยอะเลยทีเดียว การินคว้าผ้าขนหนูผิวปากเดินเข้าห้องน้ำอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
กาแฟร้อนหอมกรุ่นพร้อมอาหารเช้าแบบอเมริกันจัดอยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อย การินนั่งลงตรงที่นั่งประจำเพื่อทานอาหารเช้าก่อนออกไปทำงานเหมือนทุกวัน เขายกกาแฟขึ้นจิบแล้วขมวดคิ้ว
‘เอ๊ะ? ..วันนี้ป้าชื่นชงกาแฟอร่อยแฮะ’
“แพนเค้กค่ะคุณพี่ริน” มือเล็กๆ ยื่นแพนเค้กหนานุ่มมาให้ตรงหน้าชายหนุ่ม
“หือ? ..ใครทำ” การินเงยหน้ามองเจ้าของเสียงหวานๆ ขมวดคิ้วถาม
“พิมพ์ทำเองค่ะ ทานร้อนๆ อร่อยนะคะ” พิมพ์กานต์ยิ้มหวาน
“ใครสั่งให้เธอทำ ป้าชื่นไม่อยู่รึไง” การินถามสีหน้าไม่บอกความรู้สึกใดๆ
“อยู่ค่ะ แต่พิมพ์เห็นว่าน่าจะช่วยแบ่งเบาป้าชื่นได้พิมพ์เลยขอทำให้คุณพี่รินเองค่ะ ลองทานสักนิดสิคะเผื่อไม่ถูกปากพิมพ์จะได้ปรับปรุงค่ะ”
การินไม่ตอบมีแต่รอยหยักที่ริมฝีปากแบบเยาะหยัน เด็กที่ใช้เงินของเขาอย่างเต็มที่มาเป็นเวลาหลายปีอย่างสุขสบายที่เมืองนอกจะมีปัญญามาทำอาหารอะไรได้
‘คงอยากให้ฉันพอใจสินะถึงลงทุนพยายามทำอาหาร หน้าสวยๆอย่างเธอจะทำอะไรได้’ การินนึกดูถูกในใจแต่มือก็ตักแพนเค้กใส่จานแล้วลองชิมอย่างเสียไม่ได้
‘เฮ้ย! ...ทำไมอร่อยวะ!?’ การินอุทานในใจแต่ระงับอาการไว้ให้เป็นปกติ
“เป็นไงบ้างคะคุณพี่ริน พอใช้ได้มั้ยคะ พิมพ์ต้องปรับปรุงยังไงบ้างรึเปล่าคะ” พิมพ์กานต์รอคำตอบตาใสแป๋ว
“อืม.. ก็ดี พอกินได้ ไม่ต้องยุ่งยากไปปรับปรุงอะไรหรอก ฉันไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องของกิน เธอทำเองทั้งหมดรวมถึงชงกาแฟด้วยเหรอ” การินตอบหน้าเคร่งขรึม
แพนเค้กชิ้นน้อยในจานเขาหมดไปแล้วและกำลังตักชิ้นใหม่จากจานใหญ่
“ใช่ค่ะ พิมพ์ดีใจที่คุณพี่รินชอบค่ะ” พิมพ์กานต์ยิ้มแป้นที่เห็นการินเคี้ยวแพนเค้กที่เธอทำตุ้ยๆโดยยังไม่ได้แตะอเมริกันเบรกฟาสเลยสักนิด
“อ้าว..แล้วเธอยืนอยู่ทำไม” การินเงยหน้าถามเมื่อเห็นพิมพ์กานต์ยังยืนอยู่ข้างๆโต๊ะมองเขากินด้วยหน้าตาแช่มชื่น
“เอ่อ!..พิมพ์ขอโทษค่ะ พิมพ์จะเข้าไปในครัวนะคะจะได้ช่วยเก็บล้าง” พิมพ์กานต์ตกใจระล่ำระลักบอก
“ไม่ใช่! ไม่ต้องไปช่วยใครเขาล้างอะไรหรอก ฉันหมายถึงทำไมเธอไม่นั่งกินกับฉัน รังเกียจฉันรึไง”
“ไม่ใช่เลยค่ะ พิมพ์ไม่เคยรังเกียจคุณพี่ริน แต่พิมพ์..เอ่อ..ไม่ทราบว่าคุณพี่รินจะให้พิมพ์นั่งทานด้วยหรือไม่ต่างหากค่ะ”
“ไปเอาอาหารเช้าของเธอมานั่งกินกับฉัน และต่อไปนี้ก็กินข้าวกับฉันทุกๆมื้อ เข้าใจมั้ย” การินสั่งเสียงเรียบ
“ค่ะๆ พิมพ์จะไปเอามาทานกับคุณพี่รินนะคะ” สาวน้อยเดินแกมวิ่งรีบไปเอาจานอาหารของตัวเองมานั่งโต๊ะกับเจ้านายคนใหม่ด้วยเกรงว่าเขารอนานอาจจะโกรธเธออีก
การินรู้สึกถูกปากไปหมดไม่ว่ากาแฟสดร้อนๆหอมๆที่พิมพ์กานต์ชงมาให้รสชาติกลมกล่อมถูกใจที่สุด แพนเค้กก็นุ่มหอมอร่อยแบบที่เขาชอบ ไข่ดาวไส้กรอกก็สุกกำลังดี อาหารอร่อยๆยามเช้าก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีเหมือนกัน
“คุณพี่รินเติมกาแฟอีกมั้ยคะ พิมพ์เติมให้” พิมพ์กานต์ถือจานอาหารมานั่งกับเขาที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“อืม..ก็ดี” การินตอบรับ
พิมพ์กานยิ้มแย้มยกโถกาแฟเทเติมให้ชายหนุ่มตามด้วยน้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชาและนมสด เธอบรรจงคนถ้วยกาแฟแล้วส่งให้การิน เขารับมาจิบแล้วก็ต้องอุทานในใจอีกครั้ง
‘อะไรวะ! ..ชงได้รสชาติเดิมเปี๊ยบ’
สีหน้ายังเรียบเฉย เหลือบตามองไปทางคนชงกาแฟที่กำลังจัดการกับจานอาหารของตัวเองแล้วก็สงสัยยิ่งนัก อยากจะถามเธอว่าใครสอนสิ่งเหล่านี้ให้เธอแต่ก็ยังปิดปากสนิท เขาไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาพอใจในสิ่งที่เธอทำให้ เดาเอาง่ายๆเลยเขาก็ว่าคงเป็นครองขวัญที่สอนเธอแบบนี้
‘วางแผนอะไรงั้นรึพี่ขวัญ ผมไม่มีวันใจอ่อนหรอก พี่ต้องผิดหวังแล้วละ’
“วันนี้พิมพ์ต้องทำอะไรบ้างคะ พิมพ์จะได้เตรียมตัว” พิมพ์กานต์เงยหน้าถามนายหนุ่มรูปหล่อหลังจากรวบช้อนอิ่มเรียบร้อย
“วันนี้ฉันจะเข้าโรงงาน เธอก็ไปกับฉัน”
“ค่ะคุณพี่ริน” พิมพ์กานต์รับคำเตรียมเก็บจานเปล่าเข้าครัว
“ไม่ต้อง ทิ้งไว้นี่แหละเดี๋ยวเด็กก็มาเก็บไปเอง ไปได้แล้วสายแล้ว” การินสั่ง
“ค่ะ คุณพี่ริน..” เชลยสาวพึมพำตอบแต่นึกเถียงในใจ ‘แล้วใครล่ะที่ทำให้สายน่ะ’
“อ้อ! อีกอย่างนะ..” การินขวับกลับมา
“คะ!? ...” พิมพ์กานต์ตกใจตาโต
‘หรือว่าได้ยินที่เราคิด???’
“เป็นอะไร? ฉันแค่อยากจะให้เธอเรียกฉันว่า คุณริน เฉยๆ แต่ดูท่าเธอจะติดปากเรียก คุณพี่ริน ที่คงจะมีใครสอนให้เรียกอย่างงั้นมานาน
แต่ฉันไม่ชอบ ฉันไม่ใช่เจ้าคุณหลวง เพราะงั้นฉันมีสองชื่อให้เรียกฉันคือ คุณริน หรือ พี่ริน เฉยๆ ไม่ต้องเยิ่นเย้อเรียกให้มากเรื่อง”
“เอ่อ..คะ..ค่ะคุ..เอ๊ยพี่ริน” พิมพ์กานต์ตอบรับทำหน้าเจื่อนๆ เลือกที่จะเรียกเขาว่า พี่ริน ซึ่งถนัดปากกว่า
“ไปกันได้แล้ว” การินเดินนำไปขึ้นรถมีรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ
‘บ้าจังยัยพิมพ์! ...เขาจะมาได้ยินที่เราคิดได้ไงเล่า! ..ประสาทจริงฉัน! ..’ พิมพ์กานต์หัวเราะคนเดียวเบาๆ แล้วรีบวิ่งตามนายรูปหล่อไปติดๆ
ตลอดทั้งวันพิมพ์กานต์ต้องเกาะติดอยู่กับการิน เขาพาเธอไปแนะนำให้ทุกๆ คนรู้จักว่าเธอคือ ผู้ช่วยคนใหม่ และตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหากเขาสั่งอะไรผ่าน คุณพิมพ์ ทุกๆ คนต้องถือเสมือนว่ารับคำสั่งจากเขาโดยตรง พิมพ์กานต์เตรียมตัวมาอย่างดีทั้งสมุดโน้ตทั้งแฟ้มเตรียมพร้อมสำหรับเอกสารที่อาจจะต้องเก็บไว้ศึกษาซึ่งเธอก็คาดไม่ผิด ทั้งที่โรงงานผลิตใบชา โรงบ่มชา โรงแปรรูปสินค้าและสโตร์ ต่างก็มีเอกสารสำหรับแจกผู้มาดูงานอยู่ทุกๆ ที่เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ผลิตและลูกค้า
เธอเก็บมาทุกอย่างเพื่อทำความเข้าใจถึงส่วนต่างๆ อย่างง่ายๆ ก่อนเป็นการเริ่มต้น ซึ่งการินแอบมองเธอแล้วรู้สึกพอใจนิดๆ ที่เธอดูใส่ใจใฝ่เรียนรู้โดยที่เขาไม่ได้ชี้แนะอะไร นิ้วเรียวๆ ของพิมพ์กานต์จดยิกๆ ลงสมุดโน้ตตลอดเวลาที่เขาพาเดินชมกิจการไร่ชา เธอจดชื่อผจก.โรงงาน หัวหน้าคนงาน หัวหน้าฝ่าย หัวหน้าแผนก ฯลฯ ที่เธอคิดว่าสำคัญหากจะต้องติดต่อเรื่องใดๆด้วย เธอคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจำชื่อพวกเขาได้
พิมพ์กานต์มัวแต่สนใจรายละเอียดต่างๆ ที่การินอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ถึงการทำงานในแผนกต่างๆจนลืมเงยหน้ามองผู้คนเลยไม่เห็นปฎิกิริยาจากพนักงานส่วนใหญ่ที่กำลังซุบซิบกันเซ็งแซ่ถึงสาวสวยที่พ่อเลี้ยงพามาแนะนำตัว แทบทุกคนเห็นตรงกันว่าพิมพ์กานต์สวยน่ารักมากและถึงแม้พ่อเลี้ยงจะมีทีท่าเฉยเมยกับเธอแต่จากสายตาของหญิงสูงวัยแก่ประสบการณ์อย่างป้าน่อยแม่บ้านที่ทำงานในโรงบ่มชาฟันธงว่า
”พ่อเลี้ยงคงหวงน่าดูว่ะ นังส้ม” ป้าน่อยพยักเพยิดกับพนักงานสาวรุ่นลูกที่กำลังเรียงใบชาเข้าตู้อบ
“วุ๊ย! อะไรล่ะป้า พ่อเลี้ยงไม่เห็นมีทีท่าอะไรเลยสักนิด แกก็แนะนำโน่นนี่ปกติ ตอนลูกค้ามาดูงานแกก็แนะนำแบบเนี้ย ป้าเห็นคุณพิมพ์เค้าสวยเลยคิดจะจับคู่ให้พ่อเลี้ยงแบบในละครรึไง”
“เอ๊อ! ไม่เชื่อแล้วไป เอ็งดูต่อไปก็แล้วกันข้ามองไม่ผิดหรอกเว้ย พ่อเลี้ยงไม่มีทีท่าอะไรแต่สายตาได้แต่จ้องยัยหนูนั่นตลอดเวลา อยู่ๆมาจากไหนไม่รู้จะมาละลายหัวใจไดโนเสาร์ก็คราวนี้ซะละมั้ง”
“อะไรของป้าเนี่ย หัวใจไดโนเสาร์ ฮะฮะ..” ส้มหัวเราะ
“เอ๊า! ..ก็พ่อเลี้ยงทำตัวทื่อมะลื่อทำงานยังกะหุ่นยนต์ ไม่เห็นเคยหัวเราะเคยร้องไห้หรือโวยวายโหวกเวกเหมือนใครเค้าสักที พ่อเลี้ยงน่ารักที่ดูแลพวกเราอย่างดี งานการก็แบ่งหน้าที่กันไม่เคยต้องให้ทำกันจนโงหัวไม่ขึ้น เงินดาวเงินเดือนก็ให้เต็มที่สวัสดิการก็เต็มเปี่ยม แต่ถึงไงพ่อเลี้ยงก็ดูไม่ค่อยมีความสุขดูไม่ค่อยมีอารมณ์รักโลภโกรธหลงเหมือนคนทั่วๆไป ฉันก็เลยคิดว่าหัวใจพ่อเลี้ยงคงสูญหายไปตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์โน่นแล้วมั้ง”
“อ๋อ! ..ป้าเลยคิดว่าแกไม่มีหัวใจรึไง”
“ก็ใช่สิ แต่จะมีก็คราวนี้ละเว้ย ฉันพนันได้เลย นังหนูหน้าตาน่ารักคนนั้นจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งเดือดเป็นน้ำร้อนเลยแหละ”
“ฮะฮะฮะ..ป้านี่ก็คิดไปได้ ว่าแต่...ฉันเห็นด้วยกับป้าอย่างนะ”
“อะไร?”
“ที่พ่อเลี้ยงใจดีมีงานการก็แบ่งๆ กันทำไม่ต้องทำกันจนโงหัวไม่ขึ้น ป้าถึงมีเวลามาเม้าท์แกได้นี่ไง ฮิฮิ”
“อ้าวนังนี่! ..แว้งกัดข้าแล้วไงล่ะ ข้าไปทำงานต่อก็ได้เว้ย” ป้าน่อยโดนสกัดดาวรุ่งรีบสะบัดก้นไปทำงานต่อทิ้งให้ส้มหัวเราะคิกคักไล่หลังไป