Kheanfah Part
สวัสดีค่ะ...ฉันชื่อ นางสาวเขียนฟ้า ลิลินตะภัตร เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ ส่วนแม่ของฉันจากพวกเราไปตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้เลย
ทำไมถึงชื่อ "เขียนฟ้า" หลายคนสงสัย และถามพ่อของฉันทุกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของฉัน พ่อเคยบอกว่า เขียนฟ้า มาจากความคิดถึงกันระหว่างพ่อและแม่ของฉันที่จากไปแล้ว พ่อบอกว่าฉันเป็นเหมือนสิ่งแทนใจระหว่างพ่อกับแม่ เหมือนเป็นการส่งความรักหรือบอกกล่าวถึงกันโดยผ่านฉัน ตั้งแต่ที่แม่จากพวกเราไป ตั้งแต่ฉันอายุได้ยังไม่ถึงขวบ พ่อก็เลี้ยงฉันมาคนเดียวตลอด โชคดีที่พ่อเจอเจ้านายดีอย่างพ่อของคิม อืมม อ่านไม่ผิด พ่อของฉันทำงานเป็นเลขาให้กับพ่อของคิม ทำให้เราสองคนได้เป็นเพื่อนกันโดยบังเอิญ เพราะแม่ของคิมอยากมีลูกสาว จึงมักจะให้พ่อของฉันพาฉันมาทิ้งไว้ที่บ้านของคิมเสมอ ฉันจึงถูกเลี้ยงดูเหมือนลูกอีกคน และคิมจึงเปรียบเสมือนพี่ชายของฉัน พ่วงมาด้วยภูและวาที่เป็นเพื่อนของคิมตั้งแต่แบเบาะ เพราะสามครอบครัวนี้เป็นเพื่อนรักกัน ทำให้รุ่นลูกจึงเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย
ตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกับผู้ชายสามคนนี้ ฉันเป็นเหมือนน้องสาวคนสุดท้ายของพวกเขา เพราะอะไรนั้นเหรอ พวกเขาชอบทำเหมือนฉันยังเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างที่ฉันได้รับมักจะมาจากการตัดสินใจจากพวกเขาทั้งสามคนแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่ที่เรียน ของชอบ สถานที่อยากไป ของเล่น หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่ใส่ อะไรที่ไม่ถูกใจพวกเราทั้งสามคน ฉันจะโดนกดดันจากหลายๆทาง เพื่อให้ฉันยอมรับและปฏิบัติตามความต้องการของพวกเขา อะไรบ้างหนะเหรอ เอาแค่ยกตัวอย่างนะ โรงเรียนเลยอย่างแรก ตอนแรกฉันอยากไปเรียนโรงเรียนหญิงล้วนตามเพื่อนสมัยประถมของฉัน แต่พวกเขาสามคนตกลงกันว่าจะเรียนที่เดียวกันตลอดจนจบมหาลัย โดยจะตัดสินจากการแข่งขันกัน ใครชนะสามารถเลือกโรงเรียนที่ทุกคนต้องไปเรียนด้วยกันได้ ซึ่งฉันไม่ได้ตกลงด้วยเลยว่าฉันจะไปด้วย แต่สุดท้ายฉันต้องไปเรียนตามพวกเขา เพราะคิมไปพูดกับพ่อของเขา ให้พ่อของเขาบอกกับพ่อของฉันว่าจะออกทุนส่งฉันเรียน แต่ขอให้ฉันเรียนที่เดียวกับลูกชายของเขา พ่อฉันได้ยินแบบนั้นใครจะไม่รับหละ ฉันจึงได้เรียนไปกับพวกเขาทั้งสามคนจนจบมัธยมปลาย พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเลือกเรียนคณะสถาปัตย์ ตอนแรกก็ดีใจอยู่แล้วว่าพวกเขาคงบังคับอะไรฉันไม่ได้แล้ว แต่ปรากฎว่า ถึงไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ฉันต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกเขาอยู่ดี จากที่สอบติดมหาลัยรัฐบาลเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้พ่อ แถมได้ทุนเรียนฟรีจนจบมาอีก นั่นทำให้พ่อน่าจะไม่ต้องกังวลใจกับการหาเงินเพื่อส่งฉันเรียนจบจบได้แล้ว แต่ปรากฎว่า ฉันต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแทน ค่าเทอมไม่ใช่ถูกๆ แถมมีแต่เศรษฐีระดับหัวกะทิเท่านั้นที่จะเข้าเรียนได้ ฉันบอกพ่อให้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเพื่อนรักทั้งสามคนไป เพราะฉันตั้งใจแล้วว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยรัฐ แต่สุดท้ายโดนบังคับจากเพื่อนรักทั้งสามคนเอง หากฉันไม่เรียนที่เดียวกับพวกเขา พวกเขาทั้งสามคนจะตัดฉันออกจากกลุ่ม เฮ้ย ปัญญาอ่อนมากกับการทำแบบนี้กับฉัน ถามว่าฉันยอมไหม จะเหลือเหรอ ต้องทำตามอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉันมีเพื่อนทั้งชีวิตก็พวกเขาแค่สามคน เพื่อนคนอื่นๆก็แค่รู้จักกันผิวเผิน เพราะเขาสามคนมักจะกันคนรอบข้างออกไปจากชีวิตของฉัน โดยเฉพาะเพื่อนผู้ชายอย่างหวังว่าจะได้เข้าใกล้ฉันเลย ตอนสมัย ม.5 มีรุ่นพี่ที่เป็นประธานนักเรียนเข้ามาจีบฉัน พี่เขาให้ดอกไม้ฉันในวันวาเลนไทน์แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเท่านั้นแหละ วันต่อมาพี่เขาโดนอันธพาลที่ไหนไม่รู้ซ้อมจนเข้าโรงพยาบาล ซึ่งพี่เขาไม่เคยมีศัตรูที่ไหนเลย แถมเป็นนักเรียนดีเด่น นิสัยดีมากด้วย ฉันไม่อยากคิดว่าเป็นฝีมือของเพื่อนรักทั้งสามคนของฉัน แต่ก็มีข่าวลือมาว่าที่พี่ประธานนักเรียนต้องเจ็บตัวจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลเพราะพี่เขาเข้ามาจีบฉัน นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้้น ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าใกล้ฉันอีกเลย จนฉันเรียนจบมัธยมปลาย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันโสดจนถึงทุกวันนี้
สำหรับความผูกพันของเราสามคนเริ่มต้นจากบ้านร้างที่อยู่ด้านหลังบ้านพักตากอากาศของคิม ความอยากรู้อยากลองของวาทำให้ฉันเจ็บตัวจนต้องไปนอนที่โรงพยาบาล พ่อแม่ของพวกเขาทั้งสามต่างขอโทษพ่อฉันมากมายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมากับฉัน พร้อมทั้งจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ด้วย นอกจากค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับแล้ว พ่อฉันยังได้รับเงินทำขวัญมาอีกหนึ่งแสนจากพ่อแม่ของพวกเขาทั้งสาม ส่วนพวกเขาทั้งสามคนก็โดนดุตามระเบียบและโดนทำโทษด้วยการดูแลฉันในช่วงที่ขาฉันยังเดินไม่ได้ นั่นทำให้ฉันยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับพวกเขามากขึ้น เพราะเพื่อนทั้งสามดูแลฉันอย่างกับเจ้าหญิง จะไปไหนจะมีพวกเขาคนใดคนหนึ่งคอยตามฉันเป็นเงาตลอด ฉันอยากได้อะไรพวกเขาจะพยายามหามาให้หมด แม้มันจะยากแค่ไหน โดยพวกเขาขอจากฉันสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พวกเขาทั้งสามคนต้องการจากฉัน คือ การเชื่อฟังพวกเขา
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันดื้อกับพวกเขา คือ การไปกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่เขาทำดีกับฉันมาก ฉันจึงตอบแทนเขาด้วยการเลี้ยงข้าวเขา และฉันได้ขออนุญาตเพื่อนทั้งสามคนของฉัน ฉันถึงบอกไงว่าอยู่กับพวกเขาทั้งสาม ฉันเหมือนน้องสาวคนเล็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ หรือบางครั้งฉันรู้สึกว่าเป็นลูกของพวกเขาเลย พอฉันขออนุญาตเท่านั้นแหละ คนแรกที่ห้ามฉัน คือ วา รายนั้นไม่ว่าฉันจะทำอะไรเขามักจะไม่ค่อยเห็นด้วยเสมอ ส่วนใหญ่เวลาฉันจะได้รับอนุญาตอะไรก็ตามจากพวกเขาสามคน มักจะเป็นภูที่พูดให้เพื่อนอีกสองคนเห็นตามเขา ฉันถึงได้รับการอนุญาตมา และวาเป็นคนที่ชอบแกล้งฉันมากที่สุด การได้แกล้งฉันเหมือนเป็นความสุขของเขาอีกทางหนึ่ง
ภู เป็นคนที่ตามใจฉันทุกอย่าง ไม่ว่าฉันอยากได้อะไร หรือทำอะไร แทบไม่มีอะไรที่ฉันอยากได้แล้วภูไม่ตามใจ หรือหามาให้ฉัน เขาเป็นเพื่อนที่น่ารักมากๆสำหรับฉัน เปรียบเสมือนพี่ชายของฉันก็ว่าได้ในความรู้สึกของฉัน ฉันจึงจะปรึกษาภูมากที่สุดไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ยกเว้นเรื่องเดียว คือ การที่ฉันแอบชอบคิม ฉันไม่เคยบอกให้ใครได้รู้เลย
คิม ในความรู้สึกของฉัน เขาดูเป็นผู้ชายเย็นชา แต่ใจดีกับฉันมาก ถึงจะพูดน้อย แล้วเอาใจยากไปหน่อย แต่ฉันมักจะรู้ใจเขาในหลายๆเรื่องเสมอ เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาใจหรือตามใจฉันเหมือนกับภู แต่ก็ไม่ขัดใจฉันหรือขวางฉันทุกเรื่องเหมือนอย่างวา จะว่าง่ายๆ คือ ภู เหมือนตรงกลางระหว่างภูและวา ในความรู้สึกของฉัน
แล้วการดื้อครั้งนี้ของฉันเกิดจากที่ทุกคนไม่มีใครเห็นด้วยเลย เอาง่ายๆ คือ ไม่อนุญาตให้ไป ขนาดภูที่ตามใจที่สุดในกลุ่มยังบอกว่าไม่ให้ไป จนฉันต้องแอบไป โดยพวกเขาสามคนไม่รู้ จะเรียกว่าหนีไปก็ได้ เพราะปกติเราจะกลับพร้อมกันเสมอ นอกจากว่าใครติดธุระ หรือมีนัด แต่จะมีฉันที่ต้องมีคนไปส่งโดยพวกเขาคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม แต่วันนั้น วันที่ฉันนัดเพื่อนเพื่อไปเลี้ยงข้าว ฉันหนีโดยไม่บอกพวกเขาเลยสักคน ถึงขนาดพวกเขาโทรหาฉันก็ไม่รับ จนถึงขั้นแิดเครื่องหนีเลย วันนั้นฉันรู้สึกดีแบบแปลกๆ เพราะฉันไม่เคยได้มีโอกาสอยู่สองต่อสองกับผู้ชายคนอื่นเลยนอกจากเพื่อนสามคนของฉัน ฉับกับเพื่อนคนนั้นไปทานข้าวที่ร้านอาหารที่ฉันเป็นคนเลือก เราสองคนทานข้าวกันยังไม่เสร็จดี เพื่อนรักฉันสามคนก็โผล่มาที่ร้านได้ยังไงก็ไม่รู้ จะว่าเดาใจฉันออกว่าฉันต้องมาร้านไหนก็เก่งเกินไปแระ ฉันมารู้ทีหลังว่าพวกเขาแอบติดเครื่อง GPS ที่มือถือของฉัน แม้ว่ามือถือฉันจะปิดเครื่องพวกเขาก็จะรู้พิกัดของฉัน
"เฮ้ย มาได้ไงเนี๊ย" ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นเพื่อนรักสามคนยืนที่หน้าประตูร้าน คิดในใจว่าจะหนีพวกเขายังไงดี ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น วาก็หันมาเห็นฉันพอดี เราสองคนสบตากัน สายตาของวาตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เหมือนโกรธใครมาเป็นชาติ
"ว่าไง กินข้าวอร่อยมั้ย" วาเดินเเข้ามาถามฉันที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ โดยมีเพื่อนที่ฉันจะเลี้ยงข้าวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"สวัสดี เราชื่อ คริษฐ์ นะ ได้ยินชื่อเสียงพวกนายมานานแล้ว ได้เจอตัวจริงวันนี้เอง ขนาดอยู่โรงเรียนเดียวกัน เรายังไม่เคยเจอพวกนายเลย" คริษฐ์แนะนำตัวให้เพื่อนรักทั้งสามคนรู้จัก โดยสายตาของพวกเขาดูเหมือนไม่อยากรู้จักเพื่อนฉันคนนี้เลย ออกไปทางอยากจะฆ่าให้ตายมากกว่า ยิ่งแววตาของคิมแบบนี้ ฉันไม่เคยเจอเลย มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวยังไงก็ไม่รู้ ด้านภูนั้น ดูนิ่งจนฉันเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
"จะกลับยัง" คิมคนที่พูดน้อยที่สุดเอ่ยถามฉันขึ้นมาโดยไม่สนใจคริษฐ์ที่พูดแนะนำตัวกับพวกเขาเลย
"พวกเรายังทานข้าวกันไม่เสร็จเลย อีกอย่างเดี๋ยวคริษฐ์จะไปส่งเขียนที่บ้านเอง คิม ภู วา ไม่ต้องเป็นห่วงเขียนนะ เขียนกลับกับคริษฐ์ได้" ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนกับเพื่อนรักทั้งสามคนอย่างใจเย็น
"แน่ใจในคำตอบแล้วใช่ไหม" วาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
"เอ่อ ใช่ เขียนกลับเองได้ ภู เขียนกลับกับคริษฐ์นะ เดี๋ยวคริษฐ์ไปส่ง" ฉันหันไปขอความช่วยเหลือจากภู เพราะคิดว่าภูน่าจะเข้าใจฉันและตามใจฉัน แล้วคุยกับเพื่อนอีกสองคนให้ฉันเหมือนทุกครั้ง
"ภู ว่า เขียนควรกลับบ้าน กับพวกเราตอนนี้นะ" สิ้นเสียงของภู ทำเอาฉันช็อค คราวนี้ภูสั่งฉันด้วยน้ำเสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน พร้อมสีหน้าที่พร้อมจะมีเรื่องได้เสมอ
"เขียนจะกลับกับคริษฐ์ และตอนนี้เราสองคนยังทานข้าวไม่เสร็จ คิม ภู วา นั่นแหละกลับไปได้แล้ว อย่ารบกวนเวลาของเราสองคน" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ และดังขึ้นกว่าครั้งแรกที่พูดออกมา โดยที่คริษฐ์นั่งเงียบไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่ส่งสายตามาหาฉัน เหมือนกำลังบอกฉันให้ใจเย็นกับสถานการณ์ตอนนี้
"ไม่กลับใช่ไหม ได้" พอวาพูดจบเท่านั้นแหละ โต๊ะอาหารที่มีอาหารเต็มโต๊ะจากการทานอาหารของฉันและคริษฐ์ กระจายลงที่พื้นด้านล่างทันที พร้อมกับโต๊ะที่คว่ำลงไป ฉันและคริษฐ์เกือบลุกจากเก้าอี้แทบไม่ทัน เกือบจะโดนขอบโต๊ะที่วายกพลิกคว่ำตรงนั้น เสียงกรีดร้องจากลูกค้าผู้หญิงที่อยู่ในร้านร้องออกมากันระงม พร้อมกับพนักงานและผู้จัดการร้านต่างเดินออกมาดู ฉันมองดูการกระทำของวาอย่างโกรธจัดและไม่พอใจอย่างมาก ส่วนคิมและภูก็ยืนดูการกระทำของวา แต่ไม่ยอมห้ามปรามอะไรเลย
"จะกลับได้ยัง หรือต้องมีใครแถวนี้เจ็บตัวก่อน เขียนถึงยอมกลับ" ภูถามฉันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งและเย็นชา ทำเอาฉันอึ้งกับคำพูดของเขา เพราะภูไม่เคยพูดแบบนี้กับฉันเลยตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกันมา พอฉันมองหน้าภูเสร็จ ฉันก็หันมามองคิมที่ไม่พูดอะไร แต่สายตาของเขายิ่งโคตรเย็นชา จากปกติเย็นชาอยู่แล้ว แล้วก็วาที่ยืนมองฉันเหมือนจะฆ่าฉันให้ได้ ถ้าฉันยังยืนยันจะไม่กลับกับพวกเขา
"คริษฐ์ เขียนขอโทษนะ ไว้คราวหน้า......"
"ไม่มีคราวหน้า" คิมพูดออกมา แล้วส่งสายตาไปหาภู จากนั้นภูก็เดินมาจับมือฉันเดินออกไปจากร้าน คนที่ร้านที่ดูแตกตื่นจากการกระทำของพวกเขา ต่างพากันนั่งเงียบไม่พูดอะไร ก่อนฉันเดินออกจากร้านไป ฉันเห้นคิมไปคุยกับผู้จัดการร้านพร้อมกับจ่ายเงินปึกหนึ่งให้ไป เงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่างจริงๆสำหรับพวกเขา
เวลาต่อมา @บ้านเขียนฟ้า
ฉันมาถึงบ้านด้วยรถของภู ส่วนคิมและวา ก็ขับรถตามมาติดๆ พอฉันมาถึงบ้าน ฉันรีบวิ่งเข้าบ้านทันที โดยไม่รอให้เพื่อนสามคนนั้นพูดอะไรออกมา ซึ่งทำเอาพ่อของฉันงงกับการกระทำของฉันที่ทำแบบนั้นออกไป เพราะปกติฉันจะเป็นลูกแมวเชื่องๆสำหรับพวกเขาสามคน แต่วันนี้ฉันเหมือนม้าพยศสำหรับพวกเขา
แกร็ก (เสียงเปิดประตูห้องนอนเขียนฟ้า)
"เป็นอะไรรึเปล่า ลูกสาวพ่อ" พ่อเดินเข้ามาถามฉันที่นอนคว่ำหน้ากับที่นอน
"ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ" พ่อถามฉันต่อ เมื่อฉันไม่ตอบอะไรออกมา
"ไม่เชิงทะเลาะค่ะพ่อ" ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วตอบคำถามของพ่อ
"แล้วมีอะไรกัน พ่อเห็นสีหน้าของเพื่อนหนูทั้งสามคน เหมือนโกรธใครมาเลย"
"พ่อคะ พ่อมีเพื่อนผู้หญิงมั้ยคะ" ฉันถามพ่อแทนที่จะตอบคำถาม
"เคยสิ"
"แล้วพ่อหวงเพื่อนคนนั้นมั้ยคะ"
"ไม่นะ ทำไมเหรอ"
"ผู้ชาย กับ ผู้หญิง ที่เป็นเพื่อนกัน ความหมายของคำว่าเพื่อน มันคืออะไรคะ"