ระหว่างฉันกับแม่ 'ความรัก' ถูกปัดทิ้งออกไปนานแล้ว
นี่ล่ะครอบครัวฉัน มีความสุขอย่าบอกใคร...
เหอะ
“ใจเย็นครับคุณมาร์” คุณพีหันไปยิ้มละมุนละม่อมให้ภรรยา “ผมไม่ถือสา”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถึงจะยังเด็ก แต่ก็ไม่เด็กขนาดไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉันไม่เคยสอนให้ลูกทำตัวต่ำ ๆ แบบนี้เลย”
งืม...
“...”
ฉันถอนหายใจ หมุนตัวเดินออกไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่บอกกล่าวร่ำลา
“แล้วนั่นแกจะไปไหนมิ้น” เสียงแสบแก้วหูของแม่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
ทว่าฉันทำหูทวนลม ได้ยินนะแต่ไม่สนใจ ได้ยินหมดทุกถ้อยคำแต่ไม่ตอบ
เลือกสวมรองเท้าแล้วเดินออกมาทันที
เสียงด่าทอยังดังตามหลังมาอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุด ประโยคหนึ่งก็พุ่งมาปักกลางหัวใจอันแหลกร้าวของฉัน “ถ้าจะหนีออกจากบ้านก็อย่ากลับมาล่ะ แม่จะคอยดูว่าถ้าไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียวแล้วแกจะมีปัญญาเอาชีวิตรอดได้สักกี่น้ำ!”
เอาเข้าไป ตอกย้ำซ้ำเติมกันเข้าไป
ฉันหัวเราะให้กับเรื่องราวสุดตลกร้ายระหว่างเดินออกมา กระทั่งถึงปากซอย สมองก็ออกคำสั่งให้ล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเป้
สิ่งนั้นคือซองบุหรี่ที่ฉันพกไว้...เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งคงต้องพึ่งพามัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะลองสูบหลังจากยัดมันไว้ในกระเป๋ามาสักพักแล้ว
ไหน ๆ ก็กลายเป็นเด็กมีปัญหาหนีออกจากบ้านแล้ว ก็เอาให้มันสุดโต่งไปเลย
ทว่ายังไม่ทันที่เปลวไฟสีแดงฉานจะจรดบนมวนบุหรี่...
หมับ!
ทั้งบุหรี่ ทั้งไฟแช็กถูกมือหนาของใครบางคนแย่งไปอย่างรวดเร็วซะก่อน
ฉันถึงกับต้องหันขวับไปมองอย่างหัวเสีย ก่อนความหัวเสียนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความงงงวย
“พี่...สิบ?”
ใช่ เขาคือพี่สิบที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าเย็นชาที่แทบจะไร้ความรู้สึกจดจ้องฉันราวกับต้องการตำหนิในพฤติกรรมไม่เหมาะสม
โรคจิตเปล่าเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“อายุกี่ขวบ?” เพียงไม่นานสุ้มเสียงทุ้มต่ำแฝงความดุดันอันเยือกเย็นก็เล็ดลอดผ่านริมฝีปากหยักลึก “บุหรี่ไม่ดี อย่าสูบ”
“ขอโทษนะคะ แต่มันไม่เกี่ยวกับพี่เลย” ฉันทำท่าจะแย่งมันกลับคืนมาเพราะไม่มีอารมณ์มายืนก้มหน้าก้มตาให้คนไม่สนิทมาเสี้ยมสอน แต่... ตุบ!
พี่สิบกลับโยนมันลงถังขยะใกล้ ๆ อย่างเฉยชา แล้วหันกลับมามองฉันอีกครั้งด้วยแววตาอ่านยาก
“จะเอายังไง”
“...” หืม? เอายังไงคือไรหว่า
“จะกลับบ้านหรือไปกับฉัน”
“ทำไมหนูต้องเลือกคะ?” ฉันถามกลับทันที ไม่ลืมหรี่ตามองเจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าอย่างจับผิดเพราะรู้สึกว่าการปรากฏตัวของเขามันแปลกประหลาดเกินกว่าจะปล่อยผ่านได้
จริง ๆ ฉันได้กลิ่นความผิดปกติตั้งแต่ช่วงเที่ยงที่เขาให้ไอ้เก่งมาตามฉันไปหาแล้ว แต่สำหรับฉันในตอนนั้นคือมันค่อนข้างไร้สาระ จึงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ กระทั่งตอนนี้ ตอนที่เขาโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมยังถามอะไรพิลึกกึกกือชวนสงสัย
“แล้วเธอมีที่ไปเหรอ” แทนที่จะให้คำตอบแต่กลับย้อนถามหน้าตาย “ถ้ามีจะได้ไม่ช่วย”
“เดี๋ยวนะคุณพี่” ฉันยกมือเป็นปางห้ามญาติ “ได้ข่าวว่าหนูไม่ได้ขอให้พี่มาช่วยนะ”
ไอ้พี่หน้านิ่งเป็นปูนปั้นคนนี้ มันยังไงกันแน่นะ สติยังดีอยู่เนอะ?
“อยากช่วย”
ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบของเขาหรอก กระทั่งเหตุผลนั้นถูกหยิบยื่นมาอย่างเถรตรงผ่านน้ำเสียงคาดเดายาก ทั้งหมดนั้นทำเอาฉันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม และจำเป็นต้องจ้องหน้าอีกฝ่ายเพื่อสังเกตปฏิกิริยาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ไม่เลย แววตาของเขาเรียบเฉย
สีหน้าและการแสดงออกก็ค่อนข้างแข็งทื่อไร้อารมณ์ร่วม
“ทำไมถึงอยากช่วย พี่รู้จักหนูเหรอ เรารู้จักกันเหรอ หื้ม?” ฉันถามอีก จริง ๆ มีเรื่องสงสัยอีกมากมาย แต่เอาไปทีละอย่างก่อนละกัน “หรือว่า...”
กึก ฉันหรี่ตา ทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย จากนั้นจึงเขยิบเข้าไปใกล้เขาอย่างจงใจจนระยะห่างที่มากกว่าหนึ่งเอื้อมแขนในก่อนหน้านี้ค่อย ๆ หมดไป
พี่สิบไม่ไหวติง ไม่ชะงักหรือผงะตามแบบฉบับคนตกใจ เพียงหลุบมองฉันที่ตัวเล็กกว่าเกือบเท่าตัว มองฉันซึ่งเขย่งเท้าขึ้นไปจนริมฝีปากแทบสัมผัสปลายคางเขารอมร่อ
“อะไร” ตอนแรกคุณรุ่นพี่หน้าตายปิดปากเงียบ แต่เมื่อฉันผลิยิ้มอย่างมีนัยยะแอบแฝงก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหวจึงถามเสียงห้วน
“คิดอะไรกับหนูหรือเปล่า?” ฉันน่ะเป็นพวกไม่ค่อยแคร์ใครหน้าไหนอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ามันไร้สาระเกินไปจะไม่เอาตัวหรือสมองไปพัวพันให้เสียเวลา
แต่ถ้ามีสิ่งค้างคา ก็จำเป็นต้องถามตรง ๆ
คิดยังไงก็บอก ไม่ต้องมาทำตัวลึกลับ น่ารำคาญเกินไปค่ะ
“เปล่า” เขาปฏิเสธทั้ง ๆ ที่ยังจ้องมองฉันในระยะห่างชนิดเผาขน “ช่วยเขยิบออกไป...”
“จ้า” ฉันผละออกอย่างง่ายดาย “แต่พี่ยังไม่ตอบเลยนะว่ารู้จักกันหรือเปล่า รู้ไหมว่าหนูชื่อไร”
“มิ้น” เขาตอบทันที “มัญชุวีร์ สองทับสอง”
“ขนาดไม่ได้คิดไรนะเนี่ย” แซวอย่างไม่คิดมากเพราะรู้ว่าเขาคงเห็นจากเสื้อนักเรียนของฉันที่ปักชื่อจริงและจำนวนจุดซึ่งบอกว่าเรียนอยู่ชั้นไหน
ส่วนห้อง คงถามเอาจากไอ้เก่งล่ะมั้ง
แซวเสร็จก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา พบว่าเกือบหนึ่งทุ่มเข้าให้แล้ว
ไม่ได้การ ฉันต้องรีบแวะซื้อข้าวกล่องจากเซเว่นและหาที่พักให้ได้
หนทางที่ฉันพอจะนึกออกคือบ้านของเพื่อนสนิท
แต่มันกลับมีข้อแม้ที่ทำให้ฉันลังเลใจ
นิ้ม...ในกลุ่มเพื่อน ฉันสนิทกับมันน้อยที่สุด ไม่จำเป็นก็ไม่อยากรบกวน
น้ำส้ม...พ่อมันไม่ค่อยชอบฉัน เพราะครั้งหนึ่งเคยเจอเราสองคนแอบไปเที่ยวกลางคืน
บัวนิล...พิจารณาจากปัจจัยแล้วโอเคที่สุด แต่ประเด็นคือฉันไม่ชอบพี่เลี้ยงของมันน่ะสิ
พี่เลี้ยงที่ชื่อเงินคนนั้น...ทุกครั้งที่เจอกันมักจะมองด้วยสายตาไร้ไมตรี เหตุผลเดาได้ไม่ยาก บัวนิลเป็นเด็กผู้หญิงนุ่มนิ่มเปรียบดั่งไข่ในหินของบ้าน แต่ดันมาคบหากับเพื่อนนิสัยแรง ๆ และแต่งตัวไม่เป็นระเบียบอย่างฉัน คงกลัวมันเสียผู้เสียคนนั่นแหละ
จบเห่ ไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่คืนนี้
หรือจะยืมเงินพี่สิบสักพันดีนะ? แล้วค่อยหาที่พักราคาถูก ๆ เอา
แต่ไม่เอาดีกว่า เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ใช่ว่าจะยืมใครก็ได้ ข้อนี้ตัดทิ้งได้เลย
ช่างเถอะ ช่างมัน แค่นี้เอง จะสักเท่าไหร่กันเชียว...
ตัดสินใจอย่างแน่วแน่เสร็จก็หันไปบอกพี่สิบ “หนูไปละนะ”
ถึงเขาจะมาเพื่อช่วย ถึงฉันจะไม่มีที่ให้พัก แต่เราไม่ได้สนิทสนมกัน ดังนั้นฉันจึงขอปฏิเสธ ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินจากมา เดินไม่นานจึงแวะเซเว่นซื้อข้าวกล่องแล้วเดินเตรดเตร่อย่างไร้จุดหมายไปเรื่อย ๆ
ยังไม่มีจุดที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นนางเอกละครน้ำเน่าจนต้องวิงวอนขอร้องใคร
ซ่า... กระทั่ง...ฝนตกลงมา
“ฉิบหาย”
ฉันสบถแล้ววิ่งกลับไปหลบหน้าเซเว่นเหมือนเดิม ในตอนนั้นหางตาเหลือบเห็นใครบางคนเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ...
เงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าเป็นพี่สิบอีกแล้ว
ทำไมยังตามมาอีกล่ะ?
ปากบอกไม่ชอบแต่ตามไม่หยุดขนาดนี้หมายความว่าไงวะ
“ให้ฉันช่วยแต่แรกก็จบ” พี่สิบไม่ได้มองหน้าฉัน นัยน์ตาสงบนิ่งคู่นั้นเอาแต่มองหยาดฝน “ฝนหยุดตกเมื่อไหร่...ไปกัน”
น่าตลกดีที่ตอนนั้น แม้ฉันจะปฏิเสธและเดินจากมาแล้วหนหนึ่ง พอเขาปรากฏตัวอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันกลับยินยอมแล้วขึ้นรถไปกับเขา
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายบนบิ๊กไบค์ของเขา
เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายคนนั้นดึงมือฉันไปโอบกอดรอบเอวหนาขณะที่รถกำลังโลดแล่นบนท้องถนนด้วยความเร็วชวนหวั่นใจ
และใช่...เพราะกลัวตก ฉันจึงกอดเขาแน่นจนร่างกายเราแนบชิดกัน
ในตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะพาฉันไปไหน
ทั้งที่ไม่รู้
แต่กลับยอม...