“มาเที่ยวที่นี่บ่อยไหมครับ” เซดริกชวนคุยอีกครั้งพร้อมกับดื่มไวน์เป็นเพื่อน
“ไม่บ่อยเท่าไหร่ค่ะ นาน ๆ ทีถึงจะมา” เมื่อเธอตอบเช่นนี้แววตาก็พลันหมองลง จากนั้นก็หลุบตาลงมองที่แก้วไวน์แทน มือก็ทำเป็นหมุนวนที่ขอบแก้ว เขาสังเกตว่าเธอเหมือนคนกำลังทุกข์
“มีเหตุผลไม่กี่อย่างที่ทำให้คนเรามาเที่ยวและดื่ม โดยเฉพาะกับคุณที่ยังดูเด็กอยู่” เด็กหรือ เขาว่าเธอเด็กหรือ
“หืม ฉัน เอ่อ... อาจจะเด็กกว่าคุณ แต่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว และเรียนจบเตรียมทำงานแล้วค่ะ คงไม่ผิดใช่ไหม”
“ผมก็ไม่ได้เถียงเพียงแต่ แบบคุณเนี่ย... ไม่น่าจะอยู่ในที่แบบนี้ ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณ”
“แบบฉันคือแบบไหนคะ”
“ก็แบบ เอ่อ” ให้ตายสิจะบอกว่าเธอสวยน่ารัก ดูไม่เหมือนสาวนักเที่ยวน่ะสิ
“คุณดูไม่เหมือนคนชอบเที่ยวที่แบบนี้น่ะ คุณเหมาะที่จะเดินห้างสวยๆ จิบกาแฟในร้านหรูๆ มากกว่า”
“หึ ๆ เพื่อน ๆ ลากมาน่ะค่ะ” เมรินทร์ตอบและยิ้มแบบหน้าเจื่อนๆ แต่เขาสัมผัสได้ว่าเธอกำลังมีปัญหาบางอย่าง ที่ทำให้ต้องมาระบายที่นี่ ฉะนั้นเขาควรจะเป็นพระเอกให้กับเธอสินะ
“แล้ว ฉันเห็นคุณมากับเพื่อน ๆ ป่านนี้ถามถึงคุณแล้วมั้งคะ” เธอถาม แต่ประโยคนี้เหมือนจะไล่เขาเลยแฮะ
“อย่าห่วงเลยครับ ปล่อยให้พวกนั้นสนุกกันไปเถอะ ส่วนผมดื่มพอแล้ว ขอนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณดีกว่า” พูดจบเขาก็ยิ้มพลางมองหน้าเธอ ทำเอาหลบสายตาคมกล้าอีกครั้ง และเมื่อไม่มีอะไรจะพูดเธอก็ยกไวน์ขึ้นดื่มกระทั่งหมดแก้ว แล้วรินอีกแก้วทันที แต่นั่นล่ะมันทำให้เขาตาลุกเพราะหมดแก้วมันก็มึนได้ และดูท่าทางเธอน่าจะเมาอยู่แล้ว เขาเองก็เช่นกัน
“ไม่ต้องรีบเมาก็ได้ครับ” เขาแกล้งแซวทำให้เธอชะงัก
“พอดีมีคนเลี้ยงค่ะ ถ้าไม่ดื่มเดี๋ยวจะเสียน้ำใจ” เมรินทร์บอกพลางหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะมองที่แก้วไวน์แล้วยกดื่ม จังหวะนี้ก็ตวัดหางตามองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย เธอไม่ได้ยั่วแต่อาการเมามันออกทำให้ตาปรือ
“หึ ๆ ๆ เอ่อ เรายังไม่รู้จักกันเลยนะ หรือว่าเราแนะนำตัวกันแล้วครับ” เขาหัวเราะและแสร้งถาม ทั้งที่จำได้ดีว่าเธอเรียกเขาว่าเซด ทว่าพอถามเช่นนี้ก็ทำให้เธอมองหน้าเขาทันที
“อุ้ยจริงสิ! ลืมไป ชื่อเมรินทร์ค่ะ เรียกเมเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเม แล้วคุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง”
“เอ่อ... พนักงานเสิร์ฟบอกค่ะ” คำตอบของเธอทำให้เขายักคิ้ว เพื่อแสดงว่ารับรู้และยิ้มมุมปาก
“ผมชื่อเซดริกครับ เรียกเซดเหมือนเพื่อนๆ ก็ได้เหมือนกัน” เขาแนะนำตัวและบอกอย่างเป็นกันเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
“เวลามาเที่ยวแบบนี้กลับดึกหรือเปล่าครับ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าสนุกหรือเปล่า น่าเบื่อไหม และถ้าไม่สนุก หรือน่าเบื่อก็จะกลับเร็วค่ะ”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับน่าเบื่อหรือเปล่า” เขาถามพลางมองหน้าแบบจริงจัง
“เอ่อ... คือ... ก็... ยังค่ะ” เมรินทร์ตอบและมองหน้าเขาเช่นกัน แบบนี้น่าจะอยู่กันได้ยาว ๆ แสดงว่าเธอเองก็ยังไม่เบื่อหรือรำคาญ แต่ก็ไม่แน่ว่าหากเขาแสดงความเจ้าชู้แบดบอยออกมา เธออาจจะรำคาญและไล่หนีก็ได้
“ผมยังไม่ทำให้คุณรำคาญใช่ไหม” คราวนี้เขาถามตรง ๆ แต่นั่นล่ะมันทำให้เธอยิ้ม
“ก็คุยได้ค่ะ” เธอตอบไม่ตรงคำถามเลย เขาก็ยิ้มก่อนจะกวาดตามองไปทั่วทั้งร้าน แสร้งมองหาเพื่อน ๆ ของเขาและเธอ ปรากฏว่าแต่ละคนไม่รู้ไปนั่งดื่มและเต้นอยู่โซนไหน
“เมาหรือยังครับ” เขาหันมาถามย้ำอีกครั้ง
“หึๆ ทำไมเหรอคะ ก็เมาแล้วล่ะ” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกเลยว่ากำลังมึน ๆ แล้ว น่าสงสัยอยู่ว่าทำไมผู้หญิงสวยอย่างเธอถึงได้กล้าเมาต่อหน้าผู้ชาย
“ถ้าเมาแล้วผมจะขอเต้นรำ” เขาตัดสินใจขอเพื่อเธอจะยอม
“ฮ่า ๆ เดี๋ยวโดนชนแล้วคุณก็โมโหอีก ไม่เอาหรอกค่ะ” เธอบอกด้วยความเป็นห่วงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าเพลงช้า เดี๋ยวคนชอบเต้นก็ออกจากฟลอแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมหายโมโหแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวค่อยออกไปก็ได้ค่ะ ให้เขาเปิดเพลงช้าก่อน”
“แสดงว่าเราจะได้เต้นรำด้วยกัน” เขาถามย้ำ เธอก็ได้แต่ยักคิ้วแล้วยกไวน์ขึ้นดื่ม
“งั้นระหว่างนี้ดื่มไวน์รอก็แล้วกันนะครับ” เขาก็ถือโอกาสดื่มไวน์กับเธอ แต่สุดท้ายก็เรียกพนักงานเอาเหล้ามาเสิร์ฟ เพราะไม่ถนัดดื่มไวน์นัก มันเบาเกินไป เรียกได้ว่าไม่ใช่ดื่มแค่แก้วสองแก้ว แต่ดื่มกันจนเพลิน คุยกันถูกคอ เซดริกดูสุภาพ ชวนคุยเก่งจนทำให้เมริทร์ผ่อนคลาย ทว่าด้วยความที่ดื่มไม่หยุดจึงทำให้ทั้งคู่เมาจริง ๆ สายตาเริ่มพล่าเลือน มองอะไรไม่ค่อยชัดนัก แต่พยายามประคองสติเอาไว้ กระทั่งถึงเวลาที่เขารอคอยนั่นคือดีเจเปิดเพลงช้า จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปให้เธอ
“อะไรคะ” เธอถามแบบมึนๆ
“เต้นรำด้วยกัน นะครับ สักเพลง” เขาขอด้วยน้ำเสียงสุภาพ แถมยังเป็นคนแปลกหน้าที่เธอจะต้องเข้าใกล้เป็นคนแรกหรือเนี่ย ดูก๋ากั่นเกินไปหรือเปล่า เธอคิดและชั่งใจ
“เอ่อ ฉันมึนแล้วกลัวเต้นไม่ไหว กลัวล้ม” เธอปฏิเสธอ้อม ๆ
“ไม่เป็นปัญหาหรอก มาครับ” พูดจบเขาก็คว้ามือเธอ ดึงให้ลุกแล้วจูงไปที่กลางฟลออีกรอบ
“ขอโทษนะครับ” เขาบอกพร้อมกับก็จับมือเธอแล้วโยกตัวไปมา ไม่ได้ใกล้ชิดหรือแนบสนิทแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเต้นเหมือนเด็ก ๆ เสียมากกว่า เป็นการละลายพฤติกรรม แน่นอนว่าเมื่อเขาพาเธอเหวี่ยงแขนไปมา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็เข้ามาแทนที่ความขัดเขิน รอยยิ้มของเขามีเสน่ห์ดึงดูดให้เธอมอง แม้ในความสลัว ดวงตาเขาก็เป็นประกาย ส่วนเสียงหัวเราะของเธอก็สดใส และทำให้เธอสวยมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“โอเคหรือยังครับ ยังมึนอยู่ไหม” เซดริกถามด้วยน้ำเสียงที่ดังพอสมควร เพราะต้องพูดแข่งกับเสียงเพลง ขณะที่ยังจับมือเธอเอาไว้ดังเดิม
“ยังมึนอยู่เลยค่ะ ดื่มไปเป็นขวดเชียว” เธอตอบด้วยเสียงที่ดังเท่า กันและยิ้มหวาน ดวงตาหยาดเยิ้มเลยทีเดียว
“ไม่เป็นไร ผมไม่ให้คุณล้มหรอก” เขายื่นหน้าไปพูด พร้อมกับลดระดับเสียงให้เบาลงเล็กน้อย จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างยิ้มให้กัน ราวกับคู่รักที่เพิ่งออกเดตกันใหม่ ๆ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ อาจเป็นเพราะความเมาตัวเดียว ที่ทำให้ความอายลดลง ความสนุกมันก็มาแทนที่ เขาทำให้เธอหายเครียดและลืมเรื่องที่บ้านไปได้มากเลย เธอคิดพลางมองหน้าเขาและยิ้มบาง ๆ ดวงตาทั้งคู่สบประสานกันโดยอัตโนมัติ
และเพียงชั่ววินาทีที่รู้สึกถึงกำแพงของคนแปลกหน้าได้พังทลายลง เขาก็ค่อย ๆ รั้งเธอเข้ามาใกล้ แต่ยังคงพาเธอโยกตัวไปมา กระทั่งได้อยู่ใกล้กันจนลำตัวแทบชิด ตอนนี้เองที่เขาได้เห็นเธอชัด ๆ เต็มสองตาว่าเธอสวยมากแค่ไหน ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่มน่าจูบ ขณะที่เธอเองก็เพิ่งพิจารณาใบหน้าของเขาเช่นกัน เขาเป็นลูกครึ่ง ดวงตาคมกริบแต่เล็กเรียว คิ้วเข้ม จมูกโด่งแบบฝรั่ง ปากกระจับบาง แต่รวมๆ แล้วมองก็เป็นฝรั่งอยู่ดี แม้กระทั่งส่วนสูงที่ทำให้เธอต้องแหงนหน้ามองในระยะแสงผ่าน สายตาเธอมองได้ใกล้ที่สุดคือริมฝีปากของเขา มองแล้วมันทำให้หวั่นไหว พานให้ใบหน้าร้อนวูบวาบจนต้องลอบกลืนน้ำลาย
“สมมติว่าหลังจากคืนนี้ไป ผมจะได้เจอคุณอีกไหม” เซดริกกระซิบถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไม่รู้สิคะอยู่ที่บนฟ้ามั้ง” เมรินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกัน เพราะไม่กล้าเสียงดังกลัวเขาจะได้ยินลมหายใจ
“แล้วพอจะมีช่องทางไหนให้ผมได้รับรู้ไหมว่า เราจะได้คุยกันอีก” มันเป็นประโยคขอเบอร์โทรศัพท์หรือเปล่านะ เธอคิด
“คุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่าล่ะคะ ถ้าเชื่อ ยังไงเราคงได้เจอกันอีก” เธอตอบและยิ้มหวานตาเยิ้มอีกแล้ว
“ผมเชื่อในโอกาส และผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือ” เขากระซิบอีกครั้ง ทำให้เธอยิ้มและหลุบตาลงอย่างขัดเขิน แต่เมื่อได้สติจึงมองซ้ายแลขวาเพื่อหาเพื่อน ๆ แต่ก็ไร้วี่แววอีกเช่นเคย ไม่รู้ว่าได้หนุ่ม ๆ แล้วทิ้งเธอหรือเปล่า
“มีอะไรหรือเปล่าครับ มองหาใคร” เซดริกถามด้วยความสงสัย
“หาเพื่อน ๆ ค่ะ ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด”
“เพื่อนผมก็เหมือนกัน สงสัยว่าจะทิ้งผมแล้วล่ะ” เขาสงสัยว่าเพื่อนของเขาเองก็คงจะได้เจอสาว ๆ ที่ถูกใจแล้วเช่นกัน
“งั้นเอ่อ เรากลับไปนั่งดีกว่าไหมคะ เริ่มไม่ไหวแล้ว มองอะไรก็เอนเอียงไปหมด กลัวประคองสติไม่อยู่” อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ใกล้กันเกินไปกลัวไฟช็อตน่ะสิ กลัวกายไปก่อนใจ
“เพลงจบก่อนนะครับแล้วค่อยกลับไปนั่ง” เขาบอกเสียงนุ่ม และยังคงจับมือเธอเอาไว้เหมือนเดิม พร้อมกับเว้นระยะห่างให้มากขึ้น เพราะจะได้ไม่น่าเกลียด อีกอย่างไม่อยากให้เธอเข้าใจว่าเขาเอาเปรียบหรือฉวยโอกาส
“ก็ได้ค่ะ” ไม่รู้เพราะน้ำเสียงนุ่ม ๆ ของเขาหรือเปล่า ที่ทำให้เธอใจอ่อนยอมเต้นไปตามเสียงเพลงและการควบคุมของเขา แน่นอนว่าเขาจับแค่มือทั้งสองข้างของเธอแล้วโยกไปมาราวกับเด็กๆ มากกว่าที่จะเต้นรำจริงจัง เต้นไปพลางก็ยิ้มไปพลาง ทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของเพื่อน ๆ ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นเพื่อนจึงเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้สนุก และปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์