ปักษาสวรรค์

2462 Words
หนองน้ำอุ่นที่อบร่ำร่างระหงมีกลิ่นกำมะถันลอยปะปนอยู่เจือจาง เมื่อเคล้าเข้ากับเสียงพิณแว่วแผ่ว ในทำนองหวาน ช่วยให้หลิวหงเหินผ่อนคลายกับภาวะแวดล้อมอยู่ไม่น้อย " ได้แช่น้ำแร่ ท่ามกลางเสียงพิณขับกล่อม นับว่าผู้อาวุโสตอนรับผู้เยาว์ได้สุนทรีย์นัก " หลิวหงเหินประสานมือคารวะกล่าวไปกับอากาศ ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนแช่น้ำแร่ พร้อมทั้งโคจรลมปราณเรื่อยแล่นภายใน... มันสงบนิ่ง อบอุ่น ราวกับลอยล้าอยู่ในครรภ์มารดา... ....ทว่าความสงบสุขของผู้คนช่างแสนสั้นนัก... เมื่อมีผงธุรีล่วงหลุดจากชั้นหินด้านบน ที่ซึ่งมีหินงอกหินย้อยดารดาษรอบโพรงที่มันหลุดรอดมา ปรากฏเศษหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทยอยตกกระทบผิวน้ำดัง ต่อม แต่ม ต่อม แต่ม... กระทั้งโพรงถ้ำหินสลายเป็นเศษหิน ล่วงกราวลงมาจากเบื้องบน ทำเอาหลิวหงเหินต้องกระโดดขึ้นจากหนองน้ำ หลบเลี่ยงการถูกหินถล่มใส่ไปชั่วอึดใจ ร่างระหงเกลือกกลิ้งไปกับพื้น ท่ามกลางเสียงโครม คราม ที่ภูผาหินกำลังถล่มทลาย " เฝิงหวง !....ท่านยินยอมพบหน้าข้าพเจ้าแล้ว !....ท่านปลดปล่อยข้าแล้ว...! " ชายพิการทะยานออกจากโพรงหินที่กำลังพังทลาย พร้อมกับกู่ร้องตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง ร่างมอซอของมันเผ่นพริ้วลงโฉบผิวน้ำ แล้วใช้ไม้เท้าสะกิดส่งพลังจนร่างมันลอยพุ่งเลยหนองน้ำ มุ่งตรงไปยังทางเข้าที่มีม่านไข่มุกตระการตา ทว่าเทพกระบี่มรณะพลันต้องชะงักค้างกลางอากาศ ทันทีที่มีแสงสว่างวาบส่องออกจากม่านไข่มุก ...โลกหล้าล้วนหยุดนิ่ง สรรพสิ่งไร้ความไหวติง แม้แต่ลมหายใจยังแทบไม่รู้สึกว่ามีอยู่ " มุสิกโฉดชั่ว ! ไสหัวไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่าได้เข้ามาใกล้กว่านี้...ข้าไม่ปราถนาจะพบเจ้าทั้งชีวิต ! "...เสียงจากหลังม่านไข่มุกแผดก้อง สะท้อนสะท้านจนใบหน้าทรุดโทรมของมันเจ็บปวดสุดแสน เบ้าตาที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เฉือนผ่านทั้งสองตา มีน้ำใส่ๆไหลซึมออกมาทั้งสองข้าง ...มันต้องทรมานประมาณไหน จึงจะหลั่งอุทกออกจากดวงตาอันบอดสนิทได้ หลิวหงเหินเหม่อมองมันด้วยใจสั่นเทา ทั้งสมเพชเวทนาปะปนอยู่กับความหวาดวิตกอันตราย แต่แล้วความน่ากลัวภยันตรายพลันขยายเพิ่มขึ้น เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าตรงหน้าผากของเทพกระบี่ ปรากฏเงามืดดำแผ่ขยายเป็นรัศมีสีดำเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ...ที่แท้บนหน้าผากมันมีจักรกาลสีดำฝั่งตรึงอยู่ ! จักรกาลนั้นแผ่ขยายเงามืดดำแทนที่จะส่องแสงสว่าง อย่างที่หลิวหงเหินเคยเห็นมา ร้ายที่สุดคือถ้าเงามืดส่องสัมผัสไปที่ใด ณ จุดนั้นจะกลับกลายสภาพเป็นแห้งกรังผุกร่อน ผิวแตกระแหงเป็นเสี่ยงๆ เพียงอึดใจผนังหินพลันล่วงหลุดเป็นเศษธุรี ถล่มทลายลงตามเงามืดที่เคลือบคลุม ทันทีนั้นมันจึงสามารถเขยื่อนขยับตัว กระโดดหนีจากแสงออกมาหยัดยืนด้วยสองไม้เท้าเหล็ก " เฝิงหวงเหตุใดท่านแร้งน้ำใจนัก หรือสิบกว่าปีมานี้ยังไม่เพียงพอชดใช้หนีให้ท่าน หรือดวงตาสองข้างของข้ายังไม่เพียงพอให้ท่านอภัยให้ข้า...." เทพกระบี่กู่ร้องเสียงเครือ คล้ายจะร่ำไห้คร่ำครวญแล้ว ฮึ ฮึ ...เสียงหัวเราะเหยียดหยัน เยาะเย้ยมากับคำเหน็บแนมอันแสบสัน " ดวงตาหนูโสโครกเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ต้องการ แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ไร้ความหมายต่อข้าพเจ้า ...ยังไม่รีบไสหัวไป ! "... เสียงนางจากภายในเปล่งก้องมาพร้อมพลังปราณแกร่งกล้า จนเศษหินเล็กหินน้อยสะเทือนเขยือนไหว " เฝิงหวง !...ท่าน ! ท่าน ! ...." มันร้องร่ำราวคนเสียสติ ซ้ำยังตวัดสองไม้เท้าปล่อยพลังปราณกรีดเฉือนไปทั่ว ทำเอาหลิวหงเหินต้องกระโจนหลบเลี่ยงพลังปราณอันกราดเกรี้ยวเป็นพัลวัล... " เป็นเจ้าเองรึที่ทำให้เฝิงหวงไม่ใยดีข้า ! ".. ชายพิการหันมาคำรามดุดันต่อหลิวหงเหินทันที ที่สัมผัสถึงการเคลื่อนไหว " ผู้อาวุโสเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?...ผู้เยาว์เป็นชนรุ่นหลัง ไหนเลยจะเป็นศตรูหัวใจของท่านได้ ? "...หลิวหงเหินกล่าวพลางโคจรลมปราณวนรอบกาย เพราะแน่ใจว่าชายพิการเบื้องหน้า กลายใกล้เสียสติอยู่เต็มประดา " เดรัจฉานแซ่เจินยังกล้าหลอกลวงผู้คนอีก !.. มา มา...มาประลองให้แตกหักกันเถิด ! "... มันกล่าวลั่นราวฟ้าคำราม ผสานเข้ากับท่าร่างเพลงกระบี่สุดล้ำลึก คลี่คลุมรอบกายชายร่างระหงไว้ทุกด้าน หลิวหงเหินเลือกที่จะเบี่ยงหลบ โดยพุ่งพริ้วไปทางเข้าที่มีม่านไข่มุกห้อยระย้า ทว่ามันกลับเชื่องช้ากว่าไม้เท้าเหล็กไปเสี้ยวอึดใจ พลังปราณแกร่งกล้าพุ่งเข้ากระทบไหล่ซ้ายหลิวหงเหิน จนร่างมันปลิวกระเด็นผ่านม่านไข่มุก เข้าสู่ภายในอันแปลกประหลาดตา ร่างระหงลอยลงกระแทกพื้น พร้อมสำลักโลหิตออกมาคำใหญ่ แต่ชายหนุ่มยังไม่วายชื่นชมเพลงกระบี่อันเยี่ยมยอดมิได้ เสียดายที่มันไม่ได้ชื่นชมเพลงกระบี่อันพิสดารตามต่อ เพราะชายพิการได้สะกดตนไว้เพียงปากทางเข้า หาได้ล่วงล้ำเข้าสู่ภายใน " เจ้าเดรัจฉานอย่าได้หดหัวหุบหาง รีบออกมาตัดสินแตกหักโดยพลัน เจ้ากลายเป็นคนขลาดเขลาไปแล้วหรือ เจินเซิงตง ! "... มันร่ำร้องเครียดแค้น พลางฉายรังษีดำทะมึนออกจากหน้าผาก โฉบฉาบจนม่านไข่มุกสลายเป็นเศษผุกร่อนร่วงกราว หลิวหงเหินต้องรีบขยับถอยหนี สายตาก็สอดสายไปรอบๆ มองดูความเป็นไปภายใน... แล้วชายร่างระหงมีอันต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าสิ่งที่แวดล้อมตนหาใช้ผนังถ้ำคับแคบอีก แต่มันเป็นช่องหน้าผาเปิดโล้ง โดยมีขุนเขาตระหง่านตั้งเป็นกำแพงสูงระฟ้า อยู่ด้านตรงข้าม ที่น่าตื่นตระหนกคือขุนเขาลาดชันนั้น ปรากฏสิ่งปลูกสร้างติดกับผนังหิน เหมือนเป็นเจดีย์เรียงซ่อนกัน12ชั้น ที่ชั้นบนสุดมีแผ่นโลหะทรงกลมครึ่งขาวครึ่งดำ ขนาดเท่าสำเภาลำใหญ่ สูงเสียดวับวาวอยู่กลางฟ้า.... ส่วนด้านล่างสุด มีเก๋งทรงแปดเหลี่ยมปลูกสร้างอยู่หน้าเชิงผา บนหลังคาเก๋งมีรูปสลักนกศักดิ์สิทธิ์ วางพาดอยู่ทั้งแปดมุมหลังคา " นกเฝิงหวงอย่างนั้นซินะ !..." หลิวหงเหินพึมพำกับตัวเอง ขณะขบคิดถึงโครงสร้างต่างๆที่มันมองเห็น ...นกเฝิงหวงมีหัวเป็นไก่ฟ้า ปีกหงษ์ หางนกยูง กรงเล็บอิทรี ....จัดเป็นนกวิเศษที่ปรากฏเมื่อใดจะสร้างความรุ่งเรืองแก่บ้านเมือง ... ถ้าเก๋งน้อยนั้นคือนกเฝิงหวง แล้วอาคารที่ติดกับผนังหินนั้นละคืออะไร ?..... " วังมังกร..." มันอุทานอย่างลืมตัว แล้วเหลียวมามองภายในเก๋งน้อยอีกครั้ง เพราะภายในเก๋งยังมีสองหญิงสาวนั่งผนึกลมปราณ อยู่หลังพิณประดับมุกเรือนงาม ส่วนซึ่งแวดล้อมเก๋งล้วนอุดมด้วยแปลงดอกไม้หลากสายพันธุ์ โดยท่ามกลางกลุ่มดอกไม้ยังมีชายวัยกลางคนสวมใส่ขุดขาวราวหิมะ ประหลาดที่มันยืนหยุดนิ่งในท่ารำเพลงกระบี่วิชาใดวิชาหนึ่ง " เจ้าเองรึ คนโฉดชุดคราม ? ....ที่ชอบล่อลวงเด็กสาวให้เจ็บตัวแทน ! " เสียงกังวานใสของหญิงสาวในเก๋ง ทำเอาหลิวหงเหินสะดุ้งตัวโยน ผู้กล่าวเป็นหญิงวัยกลางคน ที่มีเคล้าโครงหน้าสามัญธรรมดา ไม่งดงามจับตา ไม่ขี้ริ้วน่ารังเกียจ เป็นหญิงที่พบได้ดาษดื่นทั่วไป แม้แต่เสื้อผ้ายังเป็นผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ย้อมสีเขียวอ่อนดั่งหญ้าแพรกแรกผลิ มือข้างหนึ่งของนางร่ายพรมเหนือพิณประดับมุก ส่วนมืออีกข้างประกบอยู่หลังเด็กสาว ที่กำลังนั่งโคจรลมปราณอยู่ด้านข้างนาง " ผู้น้อยหลิวหงเหิน น้อมคารวะผู้อาวุโส " ไม่ทันที่หญิงสาวในเก๋งจะเอ่ยทักทายตอบ เงาทะมึนเป็นวงกลมพลันสาดความมืดเข้าสู่แปลงดอกไม้ จนดอกไม้ต้องแห้งเหี่ยว ร่วงหลุดไปกับตา " เจินเซิงตงออกมาเถิด มาตัดสินแพ้ชนะกันเสียที "...ชายพิการยังคงแผดเสียงท้าทาย คล้ายคิดระบายโทสะเข้ากับการโรมรันครั้งนี้ให้สิ้น " คนโฉดชุดคราม เจ้ามานี่ ข้าจะบอกวิธีขับไล่มุกสิกโฉดชั่วนั้นให้ "...นางกล่าวเยียบเย็น โดยไม่ปรายตามองหลิวหงเหินด้วยซ้ำ หลิวหงเหินได้แต่กุมไหล่ที่บาดเจ็บเดินดุ่มเข้าใกล้ ใจนึกไปถึงเพลงกระบี่อันลึกล้ำ ที่มันไม่อาจต้านรับสักเพียงครึ่งท่า ไหนเลยจะใช้เวลาอันสั้นเรียนรู้วิชาขับไล่มันได้ " ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปสัปยุทธกับมันหรอก อย่าได้วิตกไป เด็กโง่ ! "... นางกล่าวดั่งอ่านใจคนออก ก่อนแย้มยิ้มมุมปาก แล้วปล่อยมือจากการบรรเลงพิณ เอื้อมมือมาหยิบปิ่นหยกยื่นส่งให้ชายหนุ่ม " เจ้านำปิ่นนี้ไปส่งมอบให้มัน แล้วให้มันกระทำตามสัญญาในคืนจัทรคราสให้เสร็จสิ้นก่อน ค่อยมาพบข้าพเจ้า...เจ้ากระทำที่ข้าพเจ้าบอกได้หรือไม่ ? "...นางกล่าวกำชับ พร้อมกับเหลือบดวงตาสุกสกาว มองชายหนุ่มราวแสงดาวห่อหุ้มมันไว้ " ฮิ ฮิ ฮิ...เจ้าคนโฉดชุดครามไม่โง่งมนักหรอกมารดา รับรองเรื่องแค่นี้มันทำได้แน่ ' เด็กสาวเบือนหน้ามากล่าวแย้มยิ้ม ทั้งที่ยังนั่งขัดสมาดโคจรลมปราณ โดยมีฝ่ามือมารดาทาบหลัง กำลังถ่ายเทลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บภายใน " ยังจะมาพูดดีอีก เจ้าด็กซุกซน !...ไม่ใช้เพราะเจ้าปล่อยมันหรอกรึ เราถึงต้องมาอยู่ในลักษณะนี้ ! "... " โธ่ !..มารดา !. ถ้าสืบสาวราวเรื่องกันจริงๆ ต้องโทษคนร้อยพิษนั่น เพราะฝีมือมันลึกล้ำเกินไป ข้าพเจ้าเลยต้องพึ่งพาคนอื่นช่วยเหลือ ถ้าไม่อย่างนั้นซียี้คงไม่ได้กลับมาพบหน้ามารดาแล้ว "... เด็กสาวเจรจาหน้าเป็น แก้มนางเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด แตกต่างจากเด็กสาวหน้าซีดเซียวเมื่อครู่ เป็นคนละคน " ช่างฉอเลาะนักนะเจ้า !...ยังไม่รีบโคจรลมปราณอีกรอบ อาการของเจ้ายังไม่หายดีหรอกนะ " " ค่ า า า....ผู้น้อยรับบัญชา ฮิ ฮิ..." เด็กสาวตอบรับแย้มยิ้ม ก่อนจะหันมาหลับตา ผนึกลมปราณตามคำสั่งมารดา ส่วนเฝิงหวงจึงใช้อีกฝ่ามือประกบหลังบุตรี พร้อมทั้งพรั่งพรูลมปราณ ถ่ายถอดพลังรักษาภายในนาง หลิวหงเหินจ้องมองมือขวาของจูกัดเฝิงหวงเขม็ง เพราะมีจักรกาลสีเงินเงางามฝังตรึงติดอยู่บนนั้น นั่นคงเป็นจักรกาลที่หยุดเวลาได้แน่แท้แล้ว " เจ้ายังไม่รีบไป จะรอให้มันถล่มทลายภูเขาให้สิ้นก่อนหรือไร ? " นางกล่าวกำชับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหน้าแล้วหลับตาเร่งรุดลมปราณสู่บุตรีอย่างมุ่งมั่น ชายร่างระหงเคร้นครึงปิ่นหยกในฝ่ามือ สลับกับการมองช่องทางศิลา ที่กำลังผุกร่อนล่วงสลายลงที่ละน้อย ที่ละน้อย เพราะจักรกาลของชาบพิการคงเร่งสลายให้สรรพสิ่งสูญสิ้นอายุไขเร็วขึ้น เร็วขึ้น... ไม่เสียแรงได้ฉายาเทพมรณะจริงๆ... ชายหนุ่มบ่นพึมพำขณะเดินเชื่องช้าผ่านชายชุดขาวกลางแปลงดอกไม้ ซึ่งบัดนี้ขยับกายมาอีกคืบ ....ที่แท้มันไม่ได้หยุดนิ่ง หากแต่เคลื่อนขยับได้เชื่องช้ากว่าเต่าคลานเสียอีก... " เจินเซิงตงยังไม่รีบออกมา เจ้าเป็นเต่าหดหัวไปแล้วหรือไร " เทพกระบี่มรณะร่ำร้องราวเสียสติ ทันทีที่หลิวหงเหินเดินมาถึงปากทางเข้า " มาแล้วท่านเทพกระบี่ ข้าพเจ้ามีสาส์นมาส่งมอบแด่ท่าน หากท่านมุทะลุใช้กำลังมากเกินไป เกรงว่าสาส์นจะไม่ถึงมือนะ " ถ้อยคำของหลิวหงเหินทำเอาชายพิการชะงักงัน พร้อมทั้งเงี่ยหูฟังผู้เข้ามาใกล้ " เป็นสาส์นอันใด ? ส่งมอบมา ! "...มันกล่าวเร่งร้อน พลางปักไม้เท้ากับพื้น แล้วยื่นมือมารับปิ่นหยกไว้ในมือ มือหยาบกร้านของมันเคร้นครึงปิ่นหยกอย่างลุ่มหลง ปากบ่นพึมพำแต่คำว่าเฝิงหวง เฝิงหวง หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัวอย่างเวทนา....ที่กล่าวว่ารักไม่เคยฆ่าคน นั้นจริงหรือ ?.... ….ต่อให้ใช้ดาบฟันคอคนให้ด้าวดิ้น ยังเทียบไม่เท่ากับความเคลิ้มฝันที่อิสตรีมอบให้.... " นางมีคำกล่าวมาแจ้งข้าหรือไม่ ? " เทพกระบี่กล่าวอย่างเคลิ้บเคลิ้ม ใบหน้าปะปนทั้งโกรธขึง เศร้าตรม และอมยิ้มเปี่ยมสุข... " นางว่า ให้ท่านทำตามสัญญาในคืนจันทรคราสให้เสร็จสิ้นก่อน ค่อยมาพบนาง ! "... คำกล่าวเรียบสั้นของชายหนุ่ม กระตุ้นให้เทพกระบี่กระปี่กระเป่า ราวถูกพลังจากฟากฟ้าเร่งส่งแรง...มันปรี่เปรมร้องก้องกังวาน " ถูกต้องแล้ว ข้าต้องทำตามสัญญา ! ถูกต้อง ! ถูกต้อง !...ข้าต้องไปหาจ้าวจักรกาล ! "...มันคึกคักขึ้นอักโข แล้วจึงคว้าไม้เท้ามั่นไว้ในมือ คิดจะถาโถมออกจากโพรงถ้ำที่ผ่านเข้ามา ทว่าเทพกระบี่ยังเชื่องช้าไปครึ่งก้าว เพราะมีสองเงาร่างกระโจนฝ่ามาจากโพรงธารน้ำ ก่อนมันเพียงชั่วอีดใจ " ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ท่านหลงกลนางแล้วเทพกระบี่มรณะ ! หากจะหาตัวจ้าวจักรกาลไม่ต้องไปไกลนักหรอก เพราะมันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง ! "... ผู้กล่าวคือเซียนโอสถที่ลอยละล่องมากับการหิ้วชายชราผมหงอกขาวไปทั้งศรีษะ มันล่อนร่างลงหยัดยืนกับพื้น พร้อมกับปล่อยชายชรากระแทกพื้นอย่างไม่ใยดี รวดเร็วพอๆกับไม้เท้าหัวมรกตของมันพลันจี้ตรงเข้าที่ต้นคอหลิวหงเหิน เพียงชั่วอึดใจผู้เฒ่าก็ควบคุมสถานการณ์ไว้หมดสิ้น !... มันควบคุมจิตใจเทพกระบี่ ใช้อาวุธคร่ากุมหลิวหงเหิน และเหนืออื่นใดคือมันสยบอาจารย์ของตน ให้กลับกลายเป็นชายชราวัย80 กว่า ที่แทบขยับตัวไม่ขึ้น " เจ้าหมายความว่ายังไงเซียนโอสถ ? จ้าวจักรกาลอยู่ทีใดกันแน่ ? "...ชายพิการร้องถามรนราน ราวมีไฟสุม เซียนโอสถหัวร่อเหี้ยมเกรียม พลางชี้ตรงไปที่ผาสูง ซึ่งมีอาคารปลูกสร้างไปถึงยอดเขา ... " มันอยู่ที่นั้นมาตลอด นั้นล่ะคือวังมังกร !..." ทุกศัพธ์สำเนียงกลับเงียบหายไปกับคำของมัน มีเพียงจอมพิษเฒ่าที่นอนอยู่แนบพื้นเท่านั้น ที่แค่นหัวร่อเจ็บปวด พลางกล่าวราวคลุ้มคลั่ง " วังมังกร วังมังกร ...เป็นวังอันบัดซบของจ้าวจักรกาลจริง ๆ ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD