นางมารน้อยปรากฏกาย

2412 Words
เสียงโลหะกระทบกันดัง ก๊อง แก๊ง ก๊อง แก๊ง…แว่วดังขึ้นทุกขณะที่หลิวหงเหินเคลื่อนเข้าใกล้ค่ายตะวันออก ร่างระหงลอยละลิ่วไปตามแมกไม้ เคลื่อนที่ไปตามทิศที่เห็นควันไฟหุงต้มโชยมา หลิวหงเหินเผ่นพลิ้วขึ้นสู่ยอดสนสูงตระหง่าน แล้วมีอันต้องระบายยิ้มเกลื่อนใบหน้า เมื่อเห็นที่มาของเสียงโลหะกระทบนั้นเกิดจากการละเล่นของเด็กสาวที่กำลังหยอกล้อกับเหล่าศิษย์ของสำนักบู้ตึ๊ง เจินซีจีสะบัดขลุ่ยปล่อยสภาวะลมปราณกระแทกเอากระบี่ในมือสี่ศิษย์บู้ตึ๊งหลุดจากมือให้ลอยวนในอากาศ แล้วกระทบกระทั้งกันดัง เกร๊ง กร๊าง เกร๊ง กร๊าง… โดยทั้งสี่ศิษย์บู้ตึ๊งได้แต่ตะลึงมองตาค้าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะสดใสของเด็กสาว ที่ร่ายรำกระบวนท่าราวนางรำน้อยฟ้อนเพลงขลุ่ยในสายลม ด้านข้างนางยังมีโฉมสะคราญในชุดเหลือง ยืนกอดอกแย้มยิ้มไปกับท่วงท่าอันชดข้อยเลื่อนไหล หากคลุกกรุ่นไปด้วยพลังวัตรกล้าแกร่ง " เด็กน้อย !...เหตุใดเจ้ารู้จักเพลงกระบี่เคลื่อนดาราจักรด้วยเหล่า ? " น้ำเสียงสุขุมอันแผ่พลังวัตรทุกถ้อยคำ พลันเข้ามาครอบงำพื้นที่ทันทีเมื่อนักพรตชราปรากฏกาย เพียงวูบเดียวที่มันมาอยู่ข้างศิษย์ทั้งสี่สถานการณ์คล้ายพลิกผัน จากล่าถอยเพราะไร้ศาสตรากลับเปลี่ยนเป็นฝ่ายควบคุมผู้คนไว้จนสิ้น นักพรตอยู่ในชุดคลุมยาวสีเทา ประดับประดาด้วยไพรินกับไข่มุกตรงตราสัญญลักษณ์หยินหยางตรงกลางหน้าอก ในมือมันถึอเพียงแส้ปัดอ่อน กำลังโบกสะบัดปล่อยพลังฝ่าอากาศเข้ามาคั้นกลางสภาวะของเด็กสาว จนสี่กระบี่ในอากาศร่วงหลุดลงมาปักลงดิน " โอ้ย !..โย้ว !...พลังวัตรอ่อนหยุ่นสุดล้ำลึก ท่านคงเป็นเจ้าสำนึกบู้ตึ๊งคนปัจจุบันใช่หรือไม่ ! " เด็กสาวยื่นหน้ายื่นหน้าตามถาม คล้ายเห็นนักพรตชราเป็นวัยเดียวกันก็ไม่ปาน " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เด็กน้อยผู้นี้น่าสนใจยิ่งนักแม้แต่เจ้าสำนักบู้ตึ๊ง นางยังไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย " ผู้กล่าวถ้อยคำนั้นลอยตัวเข้ามาจากเบื้องบน มันเป็นชายวัยกลางคน ร่างเล็กพุ่งกลม หัวโต ไว้หนวดเคราหร่อมแหร่ม หากสวมใส่ผ้าปักลายวิจิตรงดงาม ดั่งคหบดีอันมั่งคลั่ง " นับว่าน่าสนใจอันใดได้ ให้จัดเป็นเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงดูจะเหมาะสมกว่า " เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวลอยละล่องตามหลังชายร่างเล็กสันทัดนั้นมา แล้วนางพลันตรงเข้าคว้าแขนชายร่างเล็กไว้ในอ้อนแขน ราวกับหวงแหนชายผู้นั้นเต็มประดา " คนจ้าวเสน่ห์เช่นท่านนี่ช่างกระไร เห็นสาวน้อยสาวใหญ่ไม่ได้ เป็นต้องเที่ยวแทะเล็มเอ่ยชม ! " หญิงสาวในชุดแพรพรรณงามตา กล่าวเง้างอนกับชายอัปลักษณ์ดั่งดรุณีแรกรัก " ข้าเพียงเอ่ยไปตามตาเห็น ไหนจะมีใครดีงามเท่าน้องเซียงอีกเล่า ! " ชายร่างเล็กกล่าวง่องอนกรุ่มกริ่ม พลางยื่นมือมากุมมือนางไว้ โดยไม่เหลือบแลใครๆที่กำลังเผชิญอยู่กับภาวะสัปยุทธ ตราบกระทั้งมีผู้คนติดตามหลังมาอีกยี่สิบกว่าคน ชายหญิงคู่นั้นจึงผ่อนปร่นความกระหนุ่งหนิงอย่างคู่รัก หันมาวางท่าทีให้น่าเคารพเลื่อมใส เพราะส่วนหนึ่งที่ติดตามมาสิบกว่าคนเป็นศิษย์คุ้นลุ้น อันอยู่ใต้บังคับบัญชาของมัน อีกพวกเป็นศิษย์บู้ตึ๊งในชุดฆารวาส ส่วนสุดท้ายที่ตามมาล้วนเป็นนักพรต ที่ร่วมผสมกับสำนักบู้ตึ๊งและสำนักเตี๊ยมชัง พวกมันต่างดาหน้าเข้ามาโอบล้อมสองหญิงสาวไว้ทุกด้าน ในมือต่างเตรียมพร้อมอาวุธไว้ครบครัน " น้องสาว !...คนโฉดเหล่านี้มีอันใดดีงามกัน เหตุใดเจ้าจึงคิดเกลือกกลั่วไปเป็นเจ้าสำนักคุ้นลุ้นเล่า ! " อมิตาร์เดินเข้ามากล่าวแผ่วๆที่ข้างเด็กสาว ทั้งที่สายตายังกวาดมองเหล่าชาวยุทธที่เข้ามาล้อมรอบอย่างไม่วางตา " เอ !...ข้าไม่ได้จะเกลือกกลั่วกับพวกมันสักหน่อยพี่สาว แค่ทำตามคำสั่งมารดาเท่านั้น เพียงเสร็จธุระก็กลับไปเป่าขลุ่ย เล่นพิณกับมารดาแล้ว ! " ใบหน้าสดใสของเด็กสาวตอบรับนางด้วยความร่าเริงไร้เดียงสา ทำเอาอมิตาร์ไม่อาจอธิบายให้ท่องแท้ว่าข้องเกี่ยวในยุทธภพหาได้เข้าออกสะดวกดั่งใจปราถนา " ที่แท้เป็นแม่นางอมิตาร์นั้นเอง เหตุใดท่านมาอยู่นี่ได้ หรือว่าเกิดอันใดขึ้นในค่ายตะวันตกแล้ว " ผู้ไต่ถามนางคือผู้อาวุโสแห่งเตี๊ยมชัง ที่นางเคยปะมือตรงถ้ำม่านน้ำ แม้มันจะมีถ้อยคำประนีประนอม แต่มือที่กำเหล็กท่อน8ปล้องไว้มั่น ไม่ได้บ่งบอกถึงความลอมชอบแม้แต่น้อย " ท่านผู้อาวุโสซ่งคงไม่ได้เข้าใจว่าข้าพเจ้าชักศึกมาทำร้ายค่ายตะวันตกกระมั้ง ! " อมิตาร์ยิ้มเยาะกล่าว คล้ายเป็นการท้าทาย มากกว่าอธิบายไปตามความสัตย์ " ค่ายตะวันตกไม่หลงเหลือแล้วนักพรตเฒ่า พี่สาวไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเหล่าทหารเกราะเงินที่ทำลายค่าย เหตุใดจึงมาใส่ร้ายพี่สาวด้วยเล่า " คำกล่าวอันเรียบง่ายของนาง ทำเอาผู้คนเกือบร้อยในบริเวณต่างตื่นตระหนกหน้าถอดสี ไปกับคำว่า ' ค่ายตะวันตกไม่หลงเหลือ ' " แม่นางน้อยสถานที่นี้ไม่ใช่ให้เด็กเล็กมาเล่นสนุกหรอกนะ เจ้าพูดจาอะไรสมควรระวังไว้บ้าง " เต้าหยินแห่งเตี๊ยมชังยังคงดุดัน ท่าทีเคร่งขรึมของมัน กระตุ้นให้เด็กสาวอยากท้าทายอยู่ไม่น้อย " ข้าพเจ้าย่อมระวังวาจากับผู้สมควรได้รับการระวังระไวอยู่แล้ว … แต่กลับคนโฉดเหตุใดต้องระวังวาจาด้วย " เด็กสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า ทว่าท่วงท่าที่นางขยับไหวหลังกล่าวคำ กลับเป็นกระบวนเพลงยุทธที่พลิ้วไหวเล่าขลุ่ย ปลดปล่อยพลังปราณเข้าร่ายล้อมนักพรตเตี๊ยมชังในฉันพลัน " ระวังขลุ่ยนางให้ดีท่านเต้าหยินซ่ง !..." เจ้าสำนักบู้ตึ๊งร้องปรามดังลั่น ไปพร้อมสะบัดแซ่ขนอ่อนตวัดพลังวัตรเข้าขวางกระแสพลังของเด็กสาว ทว่าการช่วยเหลือของเจ้าสำนักบู้ตึ๊งทำเอาเต้าหยินเฒ่าไม่สู้สบอารมณ์ … เป็นยอดยุทธเตี๊ยมชังเหตุใดต้องให้คนของบู้ตึ๊งช่วยเหลือ… แล้วศักดิ์ศรีที่แบกรับอยู่เต็มบ่า ได้ชักพามันโลดแล่นออกจากวงล้อมพลังวัตร กระโจนร่างขึ้นฝากฟ้าก่อนจะปล่อยตัวพุ่งดิ่งลงมา ด้วยกระบวนท่าพิรุณเหล็กพราวพราย แผ่พลังปกคลุมทั้งเด็กสาวทุกทิศทาง เจินจีซีไม่เหลือแลนักพรตเบื้องบนที่พุ่งโจมตีลงมาแม้แต่น้อย นางยังคงร่ายรำขลุ่ยปลดปล่อยพลังวัตรต้านรับเจ้าสำนักบู้ตึ๊งเพียงทางเดียว " เป็นถึงชนชั้นผู้อาวุโส เหตุใดใช่สองรุมหนึ่งเด็กน้อยรุ่นหลัง " อมิตาร์ตวาดลั่น พลางชักดาบโค้งพุ่งทะยานขึ้นไปหานักพรตเตี๊ยมชัง เพียงอึดใจนักพรตเตี๊ยมชังพลันเปลี่ยนวิถีพลัง ขวางท่อนเหล็กต้านรับแรงดาบโค้งคมคาย ทว่าทุกผู้คนพลันต้องตื่นตะลึง เมื่อกระแสพลังวัตรที่ร่ายล้อมเด็กสาว พลันถูกนางชักจูงให้เปลี่ยนทิศทาง ไปตามภาวะของเพลงขลุ่ย เหล่าพลังวัตรถูกขลุ่ยชักจูงให้พวยพุ่งสู่นักพรตเตี๊ยมชัง ซึ่งไม่อาจต้านรับทัน เพราะมัวแต่ตวัดเหล็กรับดาบโค้ง จนมันถูกพลังปราณรวบม้วนตัวหมุนให้ลอยละล่องตกห่างไปหลายเซียะ " อาจารย์…อาจารย์ …" เหล่าศิษย์เตี๊ยมชังร้องแตกตื่นรีบวิ่งเข้าไปหาผู้เฒ่าที่ล้มขม่ำอยู่กับพื้น ส่วนเด็กสาวได้เคลื่อนไหวไปตามช่องว่างอากาศ ปล่อยขลุ่ยให้หมุนวนบนฟ้า แล้วผนึกพลังปราณที่สองฝ่ามือ พวยพุ่งพลังทั้งหมดตรงไปยังเจ้าสำนักบู้ตึ๊ง ซึ่งปลดปล่อยพลังวัตรไปกับแซ่อ่อน จนไม่อาจรั้งพลังกลับมาตั้งรับฝ่านางได้เต็มที่ มีเพียงสามส่วนแผ่พุ่งพลังที่ฝ่ามือปะทะกับฝ่ามือเด็กสาวอันแกร่งกร้าวละอุอุ่น สองพลังวัตรตรงเข้าปะทะกันราวสายฟ้ากระหน่ำฟาดหนักหน่วง จนเกิดกระแสลมกระพือโหมไปรอบข้าง ฝุ่นผงปลิวคละคลุ่งเกลื่อนอากาศ พร้อมกับร่างนักพรตเฒ่าที่เซถอยหลังไป เจ้าสำนักบู้ตึ๊งรู้สึกกระอักกระอ่วนปั่นป่วนทั่วทั้งอวัยวะภายใน จนสำลักโลหิตจากปากออกเป็นลิ่ม " ท่านเจ้าสำนัก !...อาจารย์ !...อาจารย์ !..." เหล่าศิษย์บู้ตึ๊งร้องตะโกนลั่น พลางวิ่งปรี่เข้าหาจ้าวสำนักด้วยความห่วงใย ในขณะที่เด็กสาวพลิ้วตัวกลับหลัง ยกมือเรียกขลุ่ยหยกขาวเข้ามาไว้ในมือ ซ้ำยังหัวเราะร่า ราวไม่รู้สึกรู้สากับการปะทะพลังวัตรเมื่อครู่แม้แต่น้อย " เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ยน้องสาว ? " อมิตาร์เผ่นพลิ้วเข้ามาหาเด็กสาว ถามไถ่อย่างห่วงใยทั้งที่เห็นเด็กสาวขับไล่สองนักพรตไปด้วยกระบวนท่าเดียว " สบายดียิ่งพี่สาว การละเล่นแบบนี้สนุกยิ่ง " คำตอบกลั้วเสียงหัวเราะใสของนาง ทำเอาผู้คนในบริเวณแตกตื่นตะลึง !... สองเจ้าสำนักใหญ่ล่าถอยไปผนึกลมปราณรักษาตัว แต่เด็กสาวยังยิ้มแย้มแจ่มใส นั้นแสดงถึงพลังการฝึกปรือในตัวนางย่อมสูงล้ำกว่าสองเจ้าสำนักไปหลายส่วนแล้ว… …..ไม่เพียงชาวยุทธเหล่านั้นที่ตะลึงพึงเพิด แม้แต่หลิวหงเหินที่เฝ้ามองนางจากที่สูง ยังรู้สึกตระหนกกับพลังวัตรของนางไม่น้อย " เพียงสามเดือนเหตุใดพลังวัตรนางรุดหน้าราวฝึกยาวนานมาสิบ - ยี่สิบปี " หลิวหงเหินครุ่นคิดในใจไปพร้อมหาเหตุผลต่างๆนานา จนได้คำตอบมาเพียงหนึ่งเดียวคือมารดานางถ่ายทอดพลังฝึกปรือให้เด็กสาว เหมือนอย่างที่บิดานางกระทำให่ก่อนหน้า ถึงเวลานี้เจินจีซีน่าจะมีพลังฝึกปรือในกายเทียบเท่าผู้อาวุโสอายุหกสิบได้กระมั้ง " ช่างซุกซนทั้งมารดาทั้งบุตตรีนัก ! " หลิวหงเหินแย้มยิ้มพึ่งพอใจ ทั้งๆที่ล่วงรู้ว่าในยุทธภพใช่ว่ามีฝีมือเพียงหนึ่งเดียวแล้วจะอยู่รอดได้ เพราะจิตใจชาวยุทธซับซ้อนแยบยล เจ้าเล่ห์เจ้ากลเกินกว่าจะเข้าใจง่ายดาย หลิวหงเหินคิดจะโจนเข้าไปร่วมกับพวกนาง ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่บีบคั้นเพิ่มขึ้น ทว่ามันต้องหยุดชะงักงั้น เมื่อเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวตามแนวป่า ทั้งซ้ายและขวาล้วนมีประกายสีเงินวาววับ สะท้อนเป็นแนวยาวเคลื่อนที่อยู่ในป่า " ทหารวังเมฆาขจีอย่างนั้นรึ ! " ไม่ทันที่หลิวหงจะได้เข้าไปช่วยเหลือ กับเหตุผลิกผัน หลิวหงเหินพลันต้องชะงักงันอยู่กับที่ เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่สีดำสนิท ลอยเลื่อนเข้ามาในหมู่ชาวยุทธ ที่กำลังจดๆจ่อๆกำอาวุธดูเชิงกันอยู่ " นางมารน้อย !...เจ้ารับคำสั่งผู้ใดมาก่อกวนค่ายเรา ! " เงาร่างสูงใหญ่ดำทมึนเผ่นโผนเข้ามาใจกลางวงชาวยุทธ พร้อมคำกล่าวก้องอันสยบทุกผู้คนให้แหง่นมองเป็นทางเดียว " อาจารย์รอง ! " หลิวหงเหินกู้ร้องในใจเมื่อเห็นยอดฝีมืออันดับสองแห่งจอมยุทธ5พิสดาร ผู้มีเพลงหมัดเย้ยยูไลเลื่องลือไปทั่วหล้า ฉายาหัตถ์เงาเซียนของมันหาได้ประโคมร้องเกินจริงเลย ด้วยมันปรากฏกายรวดเร็วราวเงาภูตพราย " ใครว่าข้าพเจ้ามาก่อกวนมัน ข้าพเจ้ามาทำตามคำสั่งมารดาต่างหาก ! " เด็กสาวตอบโต้ชายร่างใหญ่ คล้ายสนทนากับมิตรสหายก็ไม่ปาน " คำสั่งมารดาอย่างนั้นรึ ?...เป็นคำสั่งประเภทใด ! " หัตถ์เงาเซียนกล่าวเยียบเย็น สองมือไคว่หลัง นัยน์ตาสีเทาหม่นจับจ้องนางดั่งจะเค้นสอบคำ " มารดาให้ข้ามาทวงตำแหน่งเจ้าสำนักคุ้นลุ้นแทนบิดา " คำกล่าวทำเอาผู้คนอมยิ้มขบขัน ปะปนกับความประหลาดใจ " ทวงคืนเจ้าสำนักคุ้นลุ้นอย่างนั้นรึ ! "...หัตถ์เงาเซียนถามเสียงกร้าว พลางหันไปมองชายร่างเล็กอัปลักษณ์ ที่ยืนเคียงข้างภรรยาโฉมสะคราญ "เด็กน้อย !...สำนักคุ้นลุ้นของเรามีเกียรติประวัติมายาวนาน ไม่ใช่สถานที่ให้เด็กสาวมาเล่นสนุกหรอกนะ อันวิชาทำขนมเล่นหม้อข้าวหม้อแกง พวกเราชาวคุ้นลุ้นไม่ต้องการเรียนหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า …" เกิดเสียงหัวเราะครืนหลังคำกล่าวของมัน เช่นเดียวกับเด็กสาวที่หัวเราะเริงร่าตามพวกมัน ก่อนจะขยับขลุ่ยเกิดเป็นเสียงเพลงว่าวบางเบา แต่พลังวัตรที่แฝงเร้นกลับตรงเข้าฟาดหน้าแข้งชายร่างเล็ก จนมันสะดุ้งลงไปคุกเข่า สองมือยันค้ำพื้น " ฮิ ฮิ ฮิ…ไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าก็ได้คนโฉดเตี้ย กระบวนท่านี้เรียก ' ดาวนางฟ้าโคจร ' หากต้องการเรียน ข้าพเจ้ายินดีถ่ายทอดให้นะ ! " " นางมารน้อยเจ้ากล้าล่วงเกินสามีสุดประเสริฐข้ารึ !..." สตรีในชุดแพรวพราวตวาดกร้าว ไปกับแรงกระบี่อ่อนที่แฝงพลังกราดเกรี้ยวเข้าใส่ ชั่วครู่เด็กสาวเคลื่อนขยับหลบเลี่ยงเพลงกระบี่อันกราดเกรี้ยวสาม-สี่เพลง พลางใช้ขลุ่ยปัดป้อง พร้อมกล่าวเคล็ดวิพรากวืจารณ์เพลงกระบี่อย่างแตกหัก " กระบวนท่า' สยบดาวเหนือ ' ของน้าสาวออกจะหละหลวมเชื่องช้า เปิดจุด กิมต๊ก ฉ๊กเอี๊ยง….ช่างน่าเสีนดายนัก ! " เด็กสาวกล่าวพลางปลดปล่อยพลังปราณ ม้วนหมุนเอากระบี่นางบิดเป็นเกลียว ก่อนจะสะบัดกระบี่ออกจากมือนาง ลอยไปปักกับพื้นดินเบื้องหน้า ฮูหยินชายร่างเล็กเจ็บแปลบที่ข้อมือ ทั้งแตกตื่นกับพลังฝีมือเด็กสาว จนต้องถอยกายมายืนกุมมือกับสามีที่แนบข้าง " เด็กน้อย !...ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง บังอาจล่วงเกินผู้อาวุโสในยุทธภพ โดยไม่ยำเกรง ! " หัตถ์เงาเซียนตวาดดุดัน พลันปล่อยหมัดเย้นยูไลมุ่งหมายสยบเด็กสาวไม่ให้ระเริงเล่นอีก ทว่าหมัดอันว่องไวราวเงาภูตพราย กลับถูกเด็กสาวหลบเลี่ยง เคลื่อนขยับท่าร่างชดช้อยพลิ้วไหว จนเหล่าชาวยุทธที่ชมมองล้วนลอยละเมอ ดั่งประสบกับภาพฝันอันมายาก็ไม่ปาน….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD