EP.05 ตรวนล้อมรัก
“เอาวะไอ้ตังค์! มาถึงบ้านแล้ว ต้องเข้าๆ บ้านแกนะโว้ย!”
นับตังค์ผ่อนลมออกจากปาก ค่อยๆ เคลื่อนรถผ่านช่องประตูรั้วที่เปิดออก ไม่อยากชำเลืองไปยังบ้านข้างเคียงที่ใช้รั้วร่วมกัน ทว่าสายตาเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ เพราะความอยากรู้มีชัยเหนือทุกสิ่งเสมอ แต่... ไม่มีแฮะ
“โหย... โล่งอกไปที ปล่อยให้เสียวซะตั้งนาน”
ถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะรถของชลธีไม่อยู่ นั่นก็แปลว่าเขาต้องไม่อยู่บ้านแน่นอน และหล่อนก็ภาวนาต่อเนื่องขออย่าให้ชลธีกลับบ้านมาวันนี้เหมือนกันกับหล่อนเลย เพราะบางสัปดาห์เขาก็ไม่กลับ หรือถ้าจะมาก็ขอให้ดึกๆ จะได้คลาดกัน แบบว่าเขามาดึก หล่อนหลับแล้ว และหล่อนไปทำงานแต่เช้า แต่เขายังไม่ตื่น เพราะนาทีนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ
หล่อนยังนึกปั้นหน้าตอนเจอกันไม่ถูกจริงๆ
“ตังค์... แม่คิดถึงที่สุดเลย”
นับตังค์อ้าแขนโอบกอดแม่ที่เดินเข้ามาหาทันทีที่หล่อนก้าวลงจากรถ แม่กอดหล่อนแนบแน่นจนหล่อนน้ำตารื้น เพราะมันคืออ้อมกอดของความคิดถึง นั่นทำให้หล่อนรู้สึกผิดมากขึ้นเพราะไม่ควรเลยที่หล่อนจะเอาเรื่องของชลธีกับแม่มาปนกัน หล่อนไม่ควรละทิ้งแม่ให้เหงาแบบนี้
“แม่จ๋า ตังค์ขอโทษที่ตังค์ไม่มีเวลาให้แม่เลย”
“ไม่เป็นไรลูก แม่รู้ว่าตังค์ทำงานหนัก มาๆ เข้าบ้านกัน วันนี้แม่ทำของโปรดของตังค์ทั้งนั้นเลยนะ”
“หูย... อย่างนี้ก็มีน้ำพริกชะอม”
หล่อนโอบเอวแม่พากันเดินเข้าบ้าน ปากก็พูดคุยให้คลายความคิดถึง
“แน่นอนสิ พอตังค์บอกแม่ว่าจะกลับมาเย็นนี้นะ แม่ก็รีบกดแอปฯ สั่งชะอมทันที”
“อูย... ทันสมัยนะเราอะ”
นับตังค์พูดสัพยอกทั้งที่หล่อนเป็นคนโหลดแอปพลิเคชันตลาดสดออนไลน์ให้แม่ใช้เอง เวลาแม่อยากกินอะไรก็กดสั่งได้เลย ไม่จำเป็นต้องออกไปตลาดสดบ่อยๆ
“ไม่ได้หรอก สาวโสดต้องพึ่งพาตัวเองให้คล่อง ลูกสาวเขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาให้เราเท่าไร เดี๋ยวเขาแต่งงานมีลูกมีผัวไป ไอ้เราก็จะกลายเป็นภาระเขาอีก ต้องหัดพึ่งตัวเองไว้ให้เก่ง อยากได้อะไรก็จิ้มๆๆ รอไม่เกินครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างก็เรียบร้อย”
แม่พูดเรื่อยๆ แบบคนมีความสุขที่ได้หยอกเย้าลูกสาว แต่นับตังค์กลับชะงักเพราะคำว่า ‘มีลูกมีผัว’ มันกระทบความรู้สึกอย่างแรง จากนั้นภาพในหัวเหมือนจะดับหายไปชั่วครู่จนประคองตัวไม่อยู่
“ตังค์! ตังค์เป็นอะไรลูก!”
“ตังค์ไม่เป็นอะไรจ้ะแม่ แค่วูบๆ”
“โธ่... ดีนะขับรถมาถึงบ้านก่อนไม่ไปวูบกลางทาง มาลูก เดี๋ยวแม่ประคองเข้าบ้าน เดินไหวไหม”
“ไหวจ้ะแม่ หายแล้วล่ะ สงสัยเมื่อคืนตังค์จะนอนดึกไปหน่อย”
หล่อนหายแล้วจริงๆ แต่อาการวูบเมื่อครู่ก็คือความแปลกใจ ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน
นับตังค์ครุ่นคิดและสรุปได้ว่าหล่อนคงนอนน้อยไปจริงๆ เพราะไม่ใช่แค่เมื่อคืน แต่ตั้งแต่กลับมาจากเพชรบูรณ์ หล่อนก็แทบจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่เคยมีคืนที่นอนเต็มอิ่มโดยไม่คิดถึงเหตุการณ์นั้น
“ตังค์นั่งนี่ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้”
“แม่... ตังค์ไม่เป็นอะไรแล้ว ตังค์หายแล้ว ก็แค่นอนน้อยเท่านั้นล่ะ คืนนี้นะ ตังค์จะนอนให้เต็มอิ่มเลย รับรองพรุ่งนี้สดชื่นแน่นอน”
“ไม่เอาล่ะ แม่ไม่วางใจ ตังค์นั่งนี่แหละ เดี๋ยวแม่มา”
แม่กดร่างหล่อนให้นั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เป็นเชิงอย่าขัดคำสั่ง นั่นทำให้นับตังค์ต้องส่ายศีรษะไปมายิ้มขำเพราะไม่ว่าอย่างไร แม่ก็เห็นหล่อนเป็นเด็กเสมอ และหล่อนเองก็ไม่กล้าหือกับแม่ซะด้วย อะไรที่แม่บอกว่าต้อง หล่อนก็ว่าต้องเสมอ เพราะไม่บ่อยหรอกที่แม่จะออกคำสั่ง
“ดื่มน้ำหวานเย็นๆ ก่อนนะ จะได้สดชื่นขึ้น แล้วตังค์จะกินข้าวเลยไหม หิวหรือเปล่า”
“กับข้าวเสร็จแล้วเหรอแม่”
“เสร็จแล้วสิ แม่กะเวลาตังค์จะถึงบ้าน เสร็จก่อนตังค์มาเมื่อกี้นี้เอง ถ้าตังค์หิวแล้วแม่จะได้ไปจัดโต๊ะกินข้าว”
“งั้นตังค์ไปช่วยแม่”
“ไม่ต้องเลย นั่งอยู่นี่แหละ”
“โธ่แม่จ๋า... ตังค์หายแล้วจริงๆ ให้ตังค์ไปช่วยนะจ๊ะ ตังค์อยากอยู่กับแม่”
หล่อนลุกขึ้นไปกอดรอบเอวแม่ทำเสียงออดอ้อนสุดฤทธิ์ให้แม่ยอม เพราะถ้าแม่เสียงแข็งขึ้นอีก หล่อนคงเป็นฝ่ายยอมแน่ๆ
“อื้อ... แต่ถ้าไม่ไหวต้องบอกแม่นะ”
“จ้ะ”
เมื่อเข้าไปในครัว นับตังค์ก็เห็นสำรับอาหารถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วโดยมีฝาชีครอบไว้กันแมลงรบกวน
“ตังค์ไปคดข้าวนะ ของแม่เอาแค่ครึ่งทัพพี เดี๋ยวแม่ยกกับข้าวไปเอง”
“จ้ะแม่”
หล่อนมองแม่ที่ยกถาดอาหารครอบฝาชีไปที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ไม่ไกล พลางรีบคดข้าวเพราะอยากกินกับข้าวฝีมือแม่จะแย่อยู่แล้ว โดยเฉพาะของโปรดของหล่อนที่แม่จะทำในทุกครั้งที่กลับบ้านก็คือน้ำพริกกะปิกับชะอมลวกทั้งก้านให้หล่อนรูดเด็ดเอาเอง แค่คิดน้ำลายก็สอ หล่อนต้องได้เติมข้าวจานที่สองแน่ๆ
ทว่าสิ่งที่คิดกลับไม่เป็นดังนั้นเพราะทันทีที่แม่เปิดฝาชีครอบกับข้าวออก กลิ่นของน้ำพริกกะปิกับกลิ่นของชะอมลวก รวมทั้งสะตอผัดกุ้งซึ่งเป็นเมนูโปรดของหล่อนอีกอย่างหนึ่งก็โชยมาเข้าจมูก
นับตังค์ชะงัก ไม่กล้าหายใจ มือทาบปิดจมูกและริมฝีปากของตัวเอง หัวใจเต้นตึกตักพร้อมๆ กับน้ำลายที่ขึ้นมาสออยู่ในปาก
“ตังค์! เป็นอะไรลูก”