เคยหรือไม่กับการที่เราจับมือชายคนรักอยู่แต่จู่ๆ เขากลับสลัดทิ้งไปกะทันหันอย่างไร้เหตุผล เคยหรือไม่ยามที่เขานั่งคุยกับเราแต่สายตากลับเอาแต่มองไปทางสตรีอีกคน
ทั้งๆ ที่เราทั้งสองเป็นถึงคู่หมั้นคู่หมาย มีสัญญาใจ มีความรู้สึกตรงกันมาโดยตลอด
ท่าทางลังเลไม่แน่ใจ แววตาโลเลไม่แน่นอน คืออะไร
เขากำลังเลือกไม่ถูกใช่ไหม?
หากใช่ คนถูกเลือกเช่นนางไยมิใช่เป็นฝ่ายเลือกเอง
ไป๋เว่ยซิน
ภายในสวนร่มรื่นของสกุลเฉิน แว่วเสียงหัวเราะดุจระฆังเงินของสตรีดังแผ่วมาตามสายลม คลอเคล้าเสียงขบขันทุ้มต่ำของบุรุษได้น่าอย่างชม
แม่นางน้อย ไป๋เว่ยซิน หยุดยืนเพื่อรับฟังนิ่งๆ สายตาแลเห็นชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของเสียงระรื่นหูนั้น พวกเขากำลังให้อาหารปลาอยู่ในศาลากลางบึง ท่าทางทั้งคู่แลดูสนิทสนมกลมเกลียว
ไป๋เว่ยซินแค่นยิ้มบาง แววตาเผยความเหยียดหยัน เมื่อเห็นชัดเจนถนัดตาว่าฝ่ายชายนั้นคือคู่หมั้นของนาง ส่วนฝ่ายหญิงคือญาติผู้น้องของเขา
เฉินเจียหมิง และ หลัวลี่ลี่
ทั้งสองเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องย่อมสนิทสนมกันก็ย่อมใช่ เพียงแต่หากไป๋เว่ยซินยังเป็นคนเดิมมิใช่คนที่ถูกวิญญาณของผู้หญิงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมาสิงร่าง ก็คงมองไม่ออกเสียที ว่าในความสนิทสนมตามประสาญาติพี่น้องนั้นมีสิ่งใดแฝงอยู่
เดิมทีหากเป็นไป๋เว่ยซินคนเก่า การมาเยือนบ้านของคู่หมั้นหนุ่มย่อมกระทำการอย่างเอิกเกริก แจ้งให้เขารู้ตัวล่วงหน้าเพื่อที่จะได้มารอรับนางที่ประตูจวน
แต่ไป๋เว่ยซินคนปัจจุบันมิใช่
การเข้ามาเยี่ยมเฉินฮูหยินหลูซื่อมารดาของอีกฝ่ายในวันนี้ นางมาอย่างเงียบๆ เพื่อจะได้มีโอกาสเห็นอะไรดีๆ หญิงสาวเลือกซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้กลายร่างเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติเขียวขจีอย่างเงียบงัน
ก่อนหน้านี้เมื่อสองเดือนที่แล้ว ทุกครั้งที่ไป๋เว่ยซินอยู่พูดคุยกับคู่หมั้น ญาติผู้น้องที่มาพำนักอยู่ชั่วคราวในบ้านของเขาก็มักจะออกมาทักทายชวนปราศรัยยื่นไมตรี
“ลี่เอ๋อร์อยู่ในเรือนคนเดียวเหงาเหลือเกินเจ้าค่ะ เมื่อเห็นพี่สาวมาจึงนำน้ำชากับขนมมาให้ญาติผู้พี่กับพี่สาว ให้ลี่เอ๋อร์นั่งคุยด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
วาจาออดอ้อนกิริยาน่ารักน่าชังแฝงความเว้าวอนเฉกแม่นางน้อยผู้โดดเดี่ยวน่าสงสารเช่นนั้น คู่หมั้นหนุ่มจึงยิ้มรับอย่างอบอุ่น ปฏิเสธไม่ออกแม้ครึ่งคำ
“มาเถิด มานั่งด้วยกัน ข้าจะปล่อยให้ญาติผู้น้องทนอุดอู้อยู่ในห้องหับได้อย่างไร จริงหรือไม่เว่ยซิน?”
ปลายประโยคเขาหันมาถามคู่หมั้นสาวอย่างเอาใจใส่ แสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจที่มีต่อญาติผู้น้องชัดเจน
ไป๋เว่ยซินให้นึกเอ็นดูญาติผู้น้องผู้นี้ของคู่หมั้นนัก ไหนเลยจะคิดอันใดให้ลึกซึ้งว่า ‘คู่รักคู่หนึ่งกำลังนั่งคุยกัน สตรีอื่นไม่ควรเข้ามา’ นางจึงมอบความสนิทสนมกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ภายหลังนางจึงได้รู้ว่าแท้จริงเฉินเจียหมิงกับหลัวลี่ลี่ที่อยู่จวนเดียวกันตลอดสองเดือนนี้ พวกเขาได้คุยกันทุกวัน ได้สบตากันแทบจะทุกเวลาด้วยซ้ำ ตัวติดกันยิ่งกว่าพี่น้อง
มีเพียงคู่หมั้นอย่างไป๋เว่ยซินที่อยู่อีกบ้าน ซึ่งนานๆ นางจะได้คุยกับชายหนุ่มสักครา แต่กลับถูกแทรกกลางเวลาที่ได้เจอกันทุกครั้งอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
จนไป๋เว่ยซินนึกแคลงใจในความไม่น่าจะเป็นไปได้นี้
ท้ายที่สุด ด้วยสายตาแห่งชัยชนะที่เต็มไปด้วยความเยาะหยันของหลัวลี่ลี่ที่ลอบส่งมาให้ยามที่นางนั่งคุยกับคู่หมั้นโดยมีอีกฝ่ายนั่งคั่นกลาง ทำให้นางเริ่มมั่นใจในบางสิ่ง
ไป๋เว่ยซินเลือกปรึกษามารดา ทว่ากลับได้คำตอบอย่างฉุนเฉียวจากบิดาที่บังเอิญเข้ามาได้ยิน
“เจ้าคิดมากเกินไปหรือไม่ ทำตัวงี่เงาได้อย่างไร ไม่เชื่อใจคู่หมั้นเช่นนี้ใช้ได้ที่ใด”
ความผิดทุกข้อกล่าวหาถูกโยนใส่หน้าไป๋เว่ยซิน
บิดาเสียงขรึม “เฉินเจียหมิงมีความสัมพันธ์เกินเลยกับญาติผู้น้องจริงแล้วอย่างไร เขายังคงเหมือนเดิมกับเจ้า ไม่ได้ออกปากขอถอนหมั้นให้เจ้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง หน้าที่ของเจ้าก็แค่ปิดตาข้างหนึ่ง ภายหน้าหากเขาต้องการรับอนุก็ล้วนทำได้ทั้งสิ้น เจ้าแค่ต้องยอมรับให้ได้”
ก่อนออกจากห้อง บิดายังชี้นิ้วสั่งการอย่างเด็ดขาดว่า “แล้วอย่าได้ไปตีโพยตีพายหรือโวยวายในจวนเฉินเชียว ทำตัวให้เป็นปกติให้ดีที่สุด หากเขารู้ว่าเจ้าคิดไม่ซื่อกับเขา รู้ว่าเจ้ารู้ทันเขาทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องญาติผู้น้องคนนั้น ทุกอย่างอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จงจำไว้ ความสัมพันธ์ต้องไปต่อจะสั่นคลอนมิได้ การหมั้นหมายต้องรักษาเท่าชีวิต ทำตัวแสร้งว่าโง่งมบ้างจึงจะดี”
บิดากล่าวมาตั้งมากมาย ล้วนมีเป้าหมายในสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเท่านั้น ไหนเลยจะมีความรู้สึกของบุตรสาว ซ้ำร้ายกว่านั้น มารดายังเห็นด้วยกับบิดาทุกประการ
ไป๋เว่ยซินจึงรู้สึกอัดอั้นคับแค้นใจจนล้มป่วยนอนซม เรียกว่าตรอมตรมคงไม่ผิดอะไร นางนอนนิ่งไม่ขยับไม่ลุกขึ้น
กระทั่งนอนติดเตียงอยู่หลายวัน เศร้าซึมจนสาวใช้ยังนึกห่วงใยสุดหัวใจ
เฉินเจียหมิงรู้ข่าวว่าคู่หมั้นป่วยก็ส่งยาและของบำรุงมาให้มากมาย
เพียงแต่ตัวเขามิได้มา ด้วยเหตุผลว่าต้องร่ำเรียนและช่วยงานบิดาทุกวัน
ท้ายที่สุดด้วยความทุกข์ระทมและน้อยเนื้อต่ำใจจนทนไม่ไหว ไป๋เว่ยซินจึงส่งคนไปแจ้งเฉินเจียหมิงในเช้าวันรุ่ง ให้เขามาเยี่ยมนางสักครา
ทว่าเฉินเจียหมิงกลับเลือกไปเดินเล่นและซื้อของกับญาติสาวที่ตลาดก่อน กว่าจะมาเยี่ยมคู่หมั้นอย่างไป๋เว่ยซินก็ล่วงเข้ายามเซิน[1]
เฉินเจียหมิงมาพร้อมหลัวลี่ลี่
รอบกายของพวกเขามีบรรยากาศอันบริสุทธิ์สดใสเฉกมิตรสหายโอบล้อม ไม่มีเรื่องชู้สาวสักกะผีก
หลัวลี่ลี่น่ารักร่าเริงเรียกไป๋เว่ยซินว่าพี่สาวทุกคำ เฉินเจียหมิงอมยิ้มอบอุ่นตลอดเวลา ถามไถ่อาการป่วยของไป๋เว่ยซินอย่างห่วงใยทุกคำ ทั้งสองยังมีข้าวของที่ซื้อมาฝากไป๋เว่ยซินหลายชิ้น แสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจท่วมท้น
มีเพียงคนโง่เท่านั้นถึงจะหลงเชื่อ
และไป๋เว่ยซินผู้นี้ที่เพิ่งเข้าร่างมาไม่มีทางเชื่อสักนิด
ไม่ผิด! ไป๋เว่ยซินคนเก่าไม่อยู่เสียแล้ว...
นางรู้สึกโดดเดี่ยวจึงเลือกตัดขาดได้อย่างเด็ดเดี่ยว
ไป๋เว่ยซินคนปัจจุบันซึ่งมีวิญญาณของสาวจากยุคศตวรรษยี่สิบเอ็ดให้รู้สึกเวทนาและครั่นคร้ามในคราเดียวกัน คุณหนูในห้องหอผู้นี้ อ่อนแอเปราะบาง ทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยแท้ เพียงแต่กลับตัดสินใจได้เฉียบคมเกินหยั่ง
ทั้งหมดคือเรื่องราวเมื่อสิบวันที่แล้วก่อนที่เหม่ยหลินจะมาสิงร่างของไป๋เว่ยซิน
และกลายเป็นไป๋เว่ยซินเต็มตัวโดยไม่มีใครผิดสังเกต
ยามนี้ หลังพุ่มไม้ ไป๋เว่ยซินยังคงยืนนิ่งเงียบงัน ลอบสังเกตคู่หมั้นตนกับญาติสาวผู้น้องของเขาอยู่เช่นนั้น
พวกเขายังคงมองหน้าส่งยิ้มและหยอกเย้าสนิทสนม มือของทั้งคู่สัมผัสกันหลายครั้งยามหยิบอาหารโปรยให้ปลา จากนั้นยังหยุดชะงักมองตากันนิ่งนาน
สตรีก้มหน้าขวยเขิน บุรุษก้มมอง แววตาหยอกเอิน
บรรยากาศรอบกายคล้ายมีเพียงกันและกันเท่านั้น
ไป๋เว่ยซินแค่นยิ้มในใจ จากความทรงจำของร่างเดิม นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินวาจาของเฉินเจียหมิง ที่บอกรักเพียงไป๋เว่ยซิน รักอย่างนั้น รักอย่างนี้ รักสุดหัวใจ จะมีเพียงกันและกันตลอดไป จับมือจนแก่เฒ่าผมหงอกขาว
ชั่วขณะนั้น หญิงสาวพลันคิดถึงคำพูดของบิดาที่ว่าหากนางทำตัวรู้มาก จับได้คาหนังคาเขาว่าเฉินเจียหมิงแอบมีสัมพันธ์กับหลัวลี่ลี่ ยามนั้นทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีก
ไป๋เว่ยซินหรี่ตา เมื่อคนเคยบอกว่าหากเราบังเอิญพบเห็นคนรักนอกใจไปมีความสัมพันธ์คลุมเคลือกับคนอื่น เราต้องครองสติเก็บอาการไม่โวยวายตีโพยตีพาย เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งเหตุผลให้คนรักสบโอกาสเลิกราและทิ้งเราไป ไม่หวนคืน หากฝืนไว้ได้ ทุกสิ่งจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แน่นอนว่านางต้องการให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้!
ไป๋เว่ยซินตัดสินใจเดินออกจากหลังพุ่มไม้ ตรงเข้าไปหาสองชายหญิงในศาลาทันที
ผู้มาใหม่ไม่ใส่ใจว่าพวกเขาจะรับรู้ถึงการมาของนางหรือไม่ ยิ่งไม่สนใจว่าพวกเขาจะต้อนรับหรือผลักไส
หญิงสาวเอื้อมมือจับกระชากไหล่หลัวลี่ลี่จนตัวหมุนแล้วตบฉาดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายดังเพียะ
ใบหน้าสาวน้อยพลันสะบัดเพราะแรงตบ พวงแก้มยังไม่ทันซับสีแดงรื่อ ไป๋เว่ยซินก็ตบอีกครั้ง
เสียงเพียะดังลั่น หลัวลี่ลี่หน้าหันแทบล้มทั้งยืน
“พี่สาวไป๋!”
“เว่ยซิน!”
[1]ยาม เซิน เท่ากับเวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น.