หลัวลี่ลี่เริ่มเรียกร้องอย่างคนไร้หนทางเลือก นางพยายามแล้วที่จะไม่คิด แต่ยิ่งได้ใกล้ชิดยิ่งยากหักใจ
เฉินเจียหมิงเอ็นดูและใส่ใจนางมาก เขาไม่เคยปฏิเสธความชิดใกล้ที่นางมอบให้พร้อมความรู้สึกนี้ของนาง
นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลัวลี่ลี่ไม่อาจห้ามใจไม่ให้รักเขา
ความสนิทสนมของเรายามอยู่ธารกำนัลต่อสายตาผู้อื่นหากมองผิวเผินย่อมเป็นเพียงการหยอกเอินเฉกพี่ชายน้องสาวทั่วไป แต่หากเพ่งมองอย่างจับสังเกตจะเห็นว่าไม่ใช่
เพราะนางมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายเสมอ และเฉินเจียหมิงก็มักจะมองเหม่อมิละจากเช่นกัน
หลัวลี่ลี่มองใบหน้าหล่อเหลาอย่างหมายมาดมากขึ้น
บิดาของหลัวลี่ลี่คือหลัวอี้ฮุยซึ่งเป็นตระกูลวาณิชย์
มารดาของหลัวลี่ลี่คือหลูเย่ปินเป็นน้องสาวแท้ๆ ของหลูหยี่หลิงซึ่งก็คือมารดาของเฉินเจียหมิง
เมื่อหลูเย่ปินตาย หลัวอี้ฮุยที่ต้องเดินทางต่างเมืองเป็นนิตย์จึงไม่ค่อยอยู่เรือน เป็นเหตุผลให้หลูหยี่หลิงนำมาใช้กับน้องเขยที่นางไม่ชอบหน้า ดึงตัวหลานสาวมาดูแลเอง
และแน่นอนว่าหลัวลี่ลี่เต็มใจอย่างยิ่ง
นางปรารถนาอยู่จวนขุนนางใหญ่มากกว่าบ้านพ่อค้า ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการเป็นภรรยา ว่านางต้องการเพียงใด...
“นะพี่เจียหมิง ท่านแค่รับปากให้ข้าเป็นอนุ ท่านรู้ดีว่าข้าคิดเช่นไรต่อท่าน ตามใจข้าแค่นี้ไม่ได้เชียวหรือ?”
เฉินเจียหมิงถอนหายใจ “เอาล่ะๆ เจ้าอย่าโวยวาย และอย่าพูดเหลวไหลอีก เดี๋ยวใครมาได้ยินจะแย่ มานี่มา ให้ข้าดูหน่อยว่าเปียกตรงไหน ข้าเช็ดให้”
สาวน้อยอมยิ้มน่ารัก แอ่นกายให้เขา “ตรงนี้เจ้าค่ะ”
กิริยานี้ผิดแผกจากตอนที่อยู่ข้างนอกดั่งฟ้ากับเหว
ชั่วขณะนี้เฉินเจียหมิงมัวแต่สนใจเพียงเนินอกขาวๆ ของหลัวลี่ลี่ และสาวน้อยก็สนใจเพียงฝ่ามือร้อนๆ ของเขา ไหนเลยจะล่วงรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าการยับยั้งชั่งใจ
“พี่เจียหมิง”
หลัวลี่ลี่เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน
“หืม...”
เขาขานเสียงนุ่ม ความร้อนรุ่มเริ่มก่อตัว
“ข้าพูดจริงนะเจ้าคะ ข้ายินดีเป็นอนุของพี่เจียหมิง ไม่หวังสูงกว่านั้น ข้าจะอยู่อย่างเจียมตัวตั้งใจปรนนิบัติท่าน ข้าจะเบ่งเบาภาระพี่เว่ยซิน มอบความสุขให้ท่านทุกราตรี”
วาจานางใจกว้างดุจมหาสมุทรอ่อนโยนดุจสายน้ำ จะมิให้เป็นการละลายบุรุษจนใจอ่อนยวบยาบได้อย่างไร
เฉินเจียหมิงสูดลมหายใจเข้าอกลึก ซึมซับทุกวาจานี้เอาไว้พิจารณาอย่างดี ในขณะที่สายตาคมก็มิละจากเนินอกที่เริ่มพ้นสาบเสื้อจนหมิ่นเหม่เห็นความอวบอิ่มรำไร
“เอาเป็นว่าข้ารู้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเกินไป รอให้ข้าแต่งงานก่อน ตกลงไหม?” เสียงเขาเริ่มทุ้มพร่า
หลัวลี่ลี่ได้ฟัง ใบหน้าขาวนวลจึงประดับรอยยิ้มยินดีอย่างเอียงอาย เผยความสุขเฉกคนมักน้อยที่ทำให้คนมองต้องรู้สึกเอ็นดูในความเจียมเนื้อเจียมตัวที่น่าสงสารนี้ ย่อมเป็นความสงสารที่ก่อตัวเป็นความรักได้ในภายหลัง...
ภรรยาเอกกับอนุแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจนก็จริง ทว่าท้ายที่สุดแล้วยังต้องดูว่าหัวใจบุรุษอยู่ที่ใด
ยามนี้ทั้งฐานะและสภาพครอบครัวของหลัวลี่ลี่ย่ำแย่อย่างยิ่ง ยอมเป็นอนุไปก่อน แล้วค่อยขยับฐานะขึ้นเรื่อยๆ ขอเพียงกุมหัวใจเฉินเจียหมิงไว้ในมือก็พอ
สาวน้อยแหงนหน้า กะพริบตากลมโต ส่งเสียงสดใส “ท่านพี่เจียหมิงรับปากลี่เอ๋อร์แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มสุภาพ “อืม...”
หลัวลี่ลี่จึงยืดตัวยื่นใบหน้าขาวเนียนกระจ่างใสอย่างคนไม่ตั้งใจยั่วเย้าให้เฉินเจียหมิง
“เช่นนั้น ท่านพี่เจียหมิงจุมพิตสัญญาได้ไหมเจ้าคะ” สุ้มเสียงอ่อนหวานแต่เร่งเร้าอย่างยิ่ง
กิริยาใจกล้านี้คือความน่ารักน่าชังเฉพาะตัวของนาง ยามได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองกับเฉินเจียหมิง
ควรชิดใกล้หรือถอยห่าง บางอย่างในใจตีกันวุ่นวายจนสับสนปนเป ทว่าท้ายที่สุดอาจเพราะกลิ่นหอมกายสาว หรือริมฝีปากอิ่มกับสายตาที่เชิญชวนอย่างเหนียมอายก็สุดรู้
แววตาคมเริ่มเข้มลึก เฉินเจียหมิงหายใจไม่ทั่วท้อง ฝ่ามือที่มีผ้าซับน้ำตรงเนินอกอวบบัดนี้ผ้าหายไป มือใหญ่เริ่มสัมผัสเนินเนื้อละเอียดก่อนลูบไล้อย่างเบามือโดยไม่รู้ตัว
สาวน้อยไร้ท่าทีขยับหลีกหรือขัดขืน ปล่อยให้ความหยุ่นนุ่มเนียนลื่นแทรกซึมเข้าปลายนิ้วอุ่นร้อน ส่งผ่านไปถึงท้องน้อยแน่นตึง จนบางอย่างตื่นตัวแข็งขึง
ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงครางเสียงต่ำในลำคอ
“น้องลี่...”
ใบหน้าหล่อเหลาขาวจัดค่อยๆ ก้มต่ำอย่างลืมตัว ไม่ช้าก็ประชิดใบหน้านวลนุ่ม ริมฝีปากประกบปิดแนบแน่น
เริ่มต้นด้วยการไล้เลียแผ่วเบาอย่างลังเลเผลอไผล หากแต่ไม่นานกลับเพิ่มความดุดันขึ้นเรื่อยๆ ร้อนแรงมากขึ้น
ปลายลิ้นอุ่นชื้นเริ่มสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากนาง หยอกเย้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กเนิ่นนาน
ไหล่บางถูกมือใหญ่กอบกุมก่อนจับกดติดกำแพงห้อง เสียงบดจูบดังผสานเสียงลมหายใจที่เริ่มหอบกระเส่าเร่งเร้า ทั้งเอาแต่ใจและเร่าร้อน
บุรุษหนุ่มแน่นเลือดลมมักสูบฉีดพลุ่งพล่านโดยง่ายย่อมมิอาจต้านทานเสน่หานวลนาง การปลุกปั่นเล็กน้อยล้วนปั่นป่วนท้องน้อยได้ไม่ยาก
เฉินเจียหมิงตวัดแขนอุ้มหลัวลี่ลี่เข้าห้องด้านใน ปลายทางคือเตียงนอน เมื่อถึงเตียงกว้างร่างอรชรถูกวางลง เขาขึ้นคร่อมปลดสายคาดเอวของนางออกอย่างเร่งร้อน เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบลื่นจึงคลายตัวอย่างให้ความร่วมมือ เผยผิวขาวนวลเนียนละเอียดละออล่อลวงใจชาย
ใบหน้าบุรุษฝังแน่นที่เนินเนื้อหยุ่นนุ่ม ดูดเม้มส่วนอ่อนไหว ร่างใหญ่คร่อมทับร่างเล็กเอาไว้แนบแน่น ความแข็งขึงเหยียดขยายอย่างต้องการประกาศกร้าวความเป็นชายกำลังเบียดชิดโคนขาอ่อนซึ่งกำลังเปียกชื้นฉ่ำพร้อม
หญิงสาวฉลาดพอที่จะไม่ให้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งในยามนี้ นางแอ่นอกยกกายป้อนยอดถันชูชันใส่อุ้งปากเขา แต่ฝ่ามือกลับยื้อเส้นผมนุ่มลื่นของเขาไว้อย่างมีชั้นเชิง
“อา...พี่เจียหมิง หยุด...หยุดก่อนเจ้าค่ะ”
เฉินเจียหมิงพลันชะงัก เงยหน้าขึ้นมองนางใต้ร่าง
“น้องลี่...” เขาครางเสียงต่ำพร่าขณะปรับลมหายใจ เพียรสะกดกลั้นอารมณ์ร้อนรุ่มสุดกำลัง
“เจ้าบอกว่า ...ทำได้”
หลัวลี่ลี่รีบยกมือป้องหน้าอกตนเอง เนื้อตัวสั่นเทา น้ำใสเอ่อคลอดวงตา สุ้มเสียงน่าเวทนาชวนเสน่หา
“ข้าขอโทษ...แต่ข้า ...ข้ายังไม่พร้อมเจ้าค่ะ” นางอ้ำอึ้งกล่าวต่ออย่างเขินอาย “แต่ถ้าข้าได้แต่งกับท่าน ในคืนเข้าหอ ท่านจะทำอย่างไรกับร่างกายข้าย่อมได้ทั้งสิ้น หลังจากนั้น ตลอดไป ทุกส่วนของข้า เป็นของท่านชั่วชีวิต ข้า...ข้าพูดจริงๆ เจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มมองคนน่าเอ็นดูยิ้มๆ ก้มหน้าซับจูบน้ำตาให้นางเบาๆ
“อืม...ข้าผิดเองที่ใจร้อนเกินไป”
เขาถอนกายร้อนผ่าวออกจากร่างงามลุกจากเตียงอย่างนึกเสียดาย เดินมาก้มหยิบอาภรณ์ที่เขาเหวี่ยงไว้ที่พื้นขึ้นตรงหน้ายื่นให้หลัวลี่ลี่
“ใส่ผ้าเถิด”
สาวน้อยยังคงหน้าแดง นางหัวเราะพูดหยอกเสียงใส “ชุดนี้เปียกแล้วนี่นา พี่เจียหมิงลืมเสียแล้ว?”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้ม เพราะความร้อนรุ่มแท้ๆ ทำคนหลงลืมง่ายดาย
“ข้าจะไปหยิบชุดใหม่ให้แล้วกัน”
จบคำพลันหันซ้ายหันขวามองหาเสื้อผ้าในห้องแห่งนี้ ความสนิทสนมคุ้นเคยที่มีแต่เดิม บัดนี้สนิทชิดเชื้อเกินคำว่าญาติพี่น้องมากล้น คนสองคนมองตากันยิ้มๆ