“ข้อเสนอเหรอ อะไร” ท่านรองฯ ถามด้วยความหวั่นใจอีกครั้ง
“ผมจะแต่งก็ได้ เพื่อรักษาหน้าพวกคุณและพ่อกับแม่ แต่ผมมีระยะเวลาซึ่งไม่บอกว่านานแค่ไหน แฝดน้องต้องแต่งเข้าบ้าน อยู่ที่นี่ จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง อยู่ไถ่โทษที่พี่สาวทำเลวกับผมไว้ แต่จะบอกเอาไว้อย่าง แฝดน้องจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่ผมเคยให้เจิดจรัสเป็นอันขาด แยกห้องนอนได้ตามสบาย เพราะผมไม่แตะต้องอยู่แล้ว ผมมีเงินเดือนให้ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างไม่ใช่ในฐานะเมีย ถ้ารับไม่ได้ อีกสองวันผมจะเป็นคนประกาศบนเวทีเองว่าเจ้าสาวหนีงานแต่ง” ข้อเสนอของสิงหราชทำเอาทุกคนอึ้ง พูดไม่ออก แต่มันคือทางแก้ปัญหาที่ทุกคนหยิบยื่นให้กับเขาเอง
“ทำไมจะรับไม่ได้ ยังไงก็แต่งแทนที่สาวแล้วย้ายมาอยู่กับคุณสิงในฐานะภรรยาแทนอยู่แล้ว แค่ไม่ได้ยุ่ง เท่านี้ก็ดีแล้วค่ะ ถ้ายุ่งสิแปลก คุณสิงไม่ได้ชอบแฝดน้อง” คุณนายจรัสดาวเป็นคนตอบแทนสามี
“ใช่ แต่อย่าลืมว่าเจิดเป็นคนทำผมเจ็บ คนที่หน้าเหมือนเจิดก็ยิ่งมาเพิ่มความโกรธให้กับผมอยู่ดี ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น พี่สาวทำให้ผมเกลียดเท่าไหร่น้องก็คงเหมือนคนคนเดียวกัน ไม่ต่าง” ฟังเขาพูดเถอะน่ากลัวเสียเหลือเกิน เหมือนเป็นคำขู่ว่าคนน้องไม่รู้จะต้องเผชิญอะไรบ้าง
“อารู้ว่าคุณสิงโกรธมากค่ะ ได้แต่ขอโทษสักร้อยครั้งพันครั้ง”
“เวลาคงทำให้ผมดีขึ้นมั้งครับ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรมาช่วยได้ นางฟ้าเทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้”
“อย่างน้อยลูกก็ยอมเพื่อรักษาชื่อเสียงเรา” มารดาบอกอีกครั้ง
“รักษาชื่อเสียงเหรอครับ หึๆ มันก็แค่หน้ากากที่เบื้องหน้าอยากจะให้ทุกคนชื่นชมยินดี แม้เบื้องหลังจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของผม แต่ใครจะสน ผมต้องรักษาใจตัวเอง แล้วอย่าคิดว่าเจิดจ้าจะช่วยได้” สิ้นคำสิงหราชก็ลุกเดินออกไปจากห้องรับแขกทันที พร้อมกับทิ้งอารมณ์ขุ่นๆ เอาไว้ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับไปเต็มๆ และต่อให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็เถอะเจอเหตุการณ์นี้แทบจะทำให้โดนเด็กๆ ถอนหงอกได้ง่ายๆ แถมยังต้องก้มหน้ารับคำต่อว่าต่อขานอีก
“สิงเป็นคนใจร้อน ใจร้าย โดยเฉพาะเวลาโกรธเขาไม่ไว้หน้าใคร ต้องยอมรับว่าท่านรองกับคุณนายเป็นฝ่าย... ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เราเป็นพ่อแม่ยังเสียใจและผิดหวังเลย ไม่คิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ช็อกแบบนี้”
“เฮ้อ เรายอมรับนะพ่อเลี้ยง ก่อนมาก็กลัวมาก กลัวจนไม่รู้จะแก้ไขยังไง ต่อให้เราเป็นคนมีชื่อเสียงแต่เรารู้จักคุณสิงเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นใคร พ่อเขาเป็นใคร เท่าที่คุยกันรู้เลยว่าโกรธมาก พาลเกลียดเลยล่ะมั้ง” ท่านรองบอกพลางถอนใจอีกครั้ง
“แล้วหนูจ้าล่ะ คุยกันว่ายังไง ทำไมถึงยอม”
“ยังไม่ได้คุยหรอกครับ แค่บอกว่ามาช่วยแก้ปัญหาแทนพี่หน่อย รอให้ผู้ใหญ่คุยธุระกันเสร็จเสียก่อนแล้วค่อยมาตกลงกันอีกที แต่ถ้ารู้ว่าต้องแบกรับอะไรแบบนี้คงช็อกเหมือนกัน”
“นี่ยังไม่ได้บอกเหรอคะว่าจะให้มาแต่งแทน” แม่เลี้ยงถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ยังครับ เอ่อ ยัยจ้านั่งรออยู่บนรถ พ่อเลี้ยงให้คนไปตามก็ได้นะ”
“ถึงว่า เห็นมีคนนั่งอยู่ งั้นให้เด็กไปตาม” พ่อเลี้ยงบอกอีกครั้ง ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกคนรับใช้ ให้วิ่งไปตามเจิดจ้า ลูกสาวอีกคนของท่านรองฯ ลงมาจากรถ หญิงสาวเดินสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก้มหน้า มือประสานกันเอาไว้ ใจเต้นแรงด้วยความวิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าภายในห้องรับแขกนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผู้ใหญ่มีวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างไร แต่ก็อดเดาไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับเธอด้วยหรือเปล่า ไม่งั้นคงไม่ให้มาด้วยเป็นแน่
“คุณจ้ามาแล้วค่ะ” คนรับใช้กล่าว ทุกคนจึงได้หันไปมอง เจิดจ้าจึงได้ยกมือไหว้แล้วเดินผ่านพ่อเลี้ยงเสือและแม่เลี้ยงเข้าไปนั่งข้างพ่อแม่ตนเอง
“ถึงเวลาแล้ว เรามีเรื่องจะคุยกับลูก” คุณนายจรัสดาวเอ่ยขึ้นก่อน
“คุยกับจ้า แล้วจ้าต้องช่วยอะไรเหรอคะ” เจิดจ้าถามเสียงหม่น
“พ่อคุยกับทางคุณสิงแล้ว เรื่องงานแต่งคงดำเนินต่อไป”
“จ้าไม่เข้าใจ แล้วจ้าเกี่ยวอะไรคะ งานแต่งจะดำเนินไปได้ยังไงในเมื่อเจิดไปแล้ว”
“หนูจ้า เข้าพิธีแทนหนูเจิดได้ไหมลูก” แม่เลี้ยงเป็นคนบอก เท่านั้นแหละเจิดจ้าถึงกับช็อกไปชั่วขณะ
“เข้า! เข้าพิธีแทน! ทำไมพ่อกับแม่ไม่ได้บอกล่ะคะ” เจิดจ้าเค้นเสียงถามด้วยความตกใจ
“ก็กะว่าจะรอคุยกับคุณสิงให้รู้เรื่องก่อน เผื่อเขาจะไม่รับ” บิดาตอบ
“แล้วไงคะ เขารับหรือยังไง” เจิดจ้าหันมาถามบิดาพร้อมกับจ้องหน้าจนตาแดงก่ำ
“แค่แต่งในนามนะลูก คิดเสียกว่ากู้หน้าแทนพี่ได้หรือเปล่า ไหนจะพ่อแม่ ไหนจะพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง งานมันพังไม่ได้เราต้องแก้ปัญหากันไปแบบนี้ก่อน” มารดาช่วยอธิบาย ซึ่งมันยังไม่มีประโยชน์อะไร
“เจิดหนีตามผู้ชาย แล้วให้จ้าออกหน้ารับแทนแบบนี้เหรอคะ เพียงเพราะเห็นว่าเป็นแฝดจึงแทนกันได้เหรอคะ เจิดเป็นคนหักหลังเขานะ” เจิดจ้าต่อว่าพี่สาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ก็เพราะแบบนี้ ถึงขอร้องให้ลูกช่วย คุณสิงยอมช่วยแล้วเหลือแต่หนูคนเดียว”
“จ้าไม่ใช่เจิด คนละคนกันแต่งแทนไม่ได้ค่ะ เป็นเจ้าสาวแทนไม่ได้ คุณลุงคุณป้าทำไมถึงเห็นดีเห็นงามกับพ่อแม่ล่ะคะ” เธอว่าพลางหันมาตำหนิพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงอีกต่างหาก
“ป้าเข้าใจหนูนะ หนูเสียสละให้ผู้ใหญ่ในงานชื่นชมสักครึ่งคืนได้ไหมลูก ดีกว่าให้เขาเอาเราไปด่าทอไม่จบไม่สิ้น เราจะเจอหน้าใครไม่ได้ไปอีกนาน”
“ทำไมหนูต้องมาบอกแบกรับ คุณสิงก็ไม่ได้อยากแต่งกับหนูเลย”
“แต่พี่เขาก็ตกลง แค่ในนาม” มารดาให้ความเห็นอีกครั้ง
“แม่คะ หนูจะไม่... ไม่เป็นตัวแทนใคร ใครทำอะไรไว้ก็ให้คนนั้นมารับ เพราะหนูไม่รู้ว่าตัวหนูจะทำให้คุณสิงโกรธเกลียดเป็นสองเท่าหรือเปล่า” ข้อนี้เธอรู้ดีกว่าสิงหราชทั้งโกรธทั้งเกลียดพี่สาวของเธอแล้วล่ะ
“แต่งเข้าบ้าน อยู่กันคนละห้อง ดูแลกันแบบเจ้านายกับลูกจ้าง พี่เขาจะไม่ยุ่งกับหนู”
“มันควรเป็นอย่างนั้นค่ะแม่ คนไม่ได้รักกัน จะยุ่งกันได้ยังไง”
“สรุปว่าหนูตกลงไหมลูก” พ่อเลี้ยงเสือกล่าวย้ำอีกครั้ง
“ไม่ค่ะ ผู้ใหญ่ไม่แคร์คุณสิงและไม่แคร์หนูเลย ใช่สิหนูสำคัญที่สุดก็ตอนนี้ ตอนอื่นๆ หนูก็แค่ตัวประกอบ เป็นเงาอยู่ก้นครัวไม่เคยสำคัญอะไร ขอโทษด้วยค่ะ” พูดจบเจิดจ้าก็ลุกหนีไปแบบไม่ล่ำลาแต่อย่างใด
พ่อแม่ก็ได้แต่อ้าปากค้างไปอีกแล้ว ครั้นจะเรียกเอาไว้พ่อเลี้ยงก็ยกมือห้ามเสียก่อน
“ไม่เป็นไรท่านรองฯ หนูจ้ายังรับไม่ทัน ดูอย่างเจ้าสิงเถอะ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นั่น ให้เวลาหนูจ้าหน่อยก็แล้วกัน รอให้ใจเย็นลงค่อยคุยอีกที”
“แต่นี่ก็ใกล้ถึงวันแล้ว แค่สวมชุดแต่งงานแทนพี่เอง” คุณนายจรัสดาวให้ความเห็น
“มันไม่ใช่แค่หรอกค่ะคุณนาย ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง หรือชีวิตของคนคนหนึ่งที่ไม่ได้รักใคร ไม่มีแฟน โสด แล้วอยู่ๆ ต้องมาทำหน้าที่แก้ผ้าเอาหน้ารอดแทนคนอื่นแบบนี้ เวลาอื่นมักไม่มีใครเห็นค่า เพิ่งจะมาเห็นค่าก็วันนี้ เป็นใครก็น้อยใจ และรู้สึกไม่อยากจะช่วยเหลือใครด้วยซ้ำ” แม่เลี้ยงบอกอีกครั้งเพราะอดีตก็เคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้
“กลับไปคุยกับหนูจ้าก่อนก็ได้ ภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ยังดีเพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่ทันการณ์” พ่อเลี้ยงให้ความเห็น
“งั้นเดี๋ยวเรากลับก่อนดีกว่านะพ่อเลี้ยง จะคุยกับลูกให้รู้เรื่อง อย่างน้อยมันก็คงไม่นาน แค่ระยะเวลาสั้นๆ คงยอมแหละ” ท่านรองฯ ให้ความเห็น แต่หากความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ใช่แค่สั้นๆ ก็ได้ ใครจะรู้
“ก็ได้แต่หวังอย่างนั้น อย่าให้งานต้องพังเลย เราสู้กับจำนวนคนนับพันไม่ไหว” พ่อเลี้ยงบอกอีกครั้ง
“บางทีแม่คิดว่าเราเห็นแก่ตัวเกินไป ห่วงชื่อเสียง ห่วงหน้าตาจนลืมไปกว่าลูกทั้งสองจะรู้สึกยังไง”
“ครึ่งคืนน่ะแม่ ครึ่งคืนที่ต้องยืนยิ้มให้คนเห็น แค่นั้น พ่อขอแค่นั้น” พ่อเลี้ยงหันมากล่าวกับภรรยา
“แม่จะไม่ออกความเห็นเรื่องนี้แล้ว ขอตัวนะคะ ส่งท่านรองฯ กับคุณนายตรงนี้เลยก็แล้วกันค่ะ สวัสดีค่ะ” แม่เลี้ยงบอกเสียงเบาก่อนจะยกมือไหว้ แล้วลุกออกไปจากห้องรับแขกในทันที ทิ้งให้สามีเป็นผู้รับหน้าแทน
“เฮ้อ!!! งั้นเราก็ต้องกลับ ได้ความว่ายังไงแล้วจะโทรมาบอกนะครับพ่อเลี้ยง” ท่านรองฯ กล่าว
“ได้ครับ” ว่าแล้วทุกคนก็พากันออกไป
โดยมีพ่อเลี้ยงไปส่งถึงหน้าบ้าน พลางมองเข้าไปในรถอีกครั้ง อดนึกเป็นห่วงคนในรถไม่ได้ ให้ตายสิ มันไม่ใช่หน้าที่ของเจิดจ้า แต่ต้องให้เธอช่วยจริงๆ พ่อเลี้ยงคิดและมองตามกระทั่งรถแล่นออกจากหน้าบ้านจนลับตา
“เฮ้อ!!! หลายสิบปีต้องมีเรื่องให้ปวดหัวแบบนี้สักครั้งหนึ่งสิน่า” พ่อเลี้ยงเอ่ยพลางถอนใจด้วยความเครียด ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน แต่คิดว่าคงคุยกับลูกชายตอนนี้ไม่ได้ คนกำลังร้อนมีแต่จะสุมไฟใส่ เอาเป็นว่าอย่างไรเสียสิงหราชก็รับปากแล้วคงไม่ผิดคำพูดหรอกกระมัง