เสียงพูดคุยกันแซ่เซ็น วิ่งเข้ามากระทบโสตประสาทรับเสียงของนารีขี้เมาคนหนึ่ง เธอยังคงอยู่ในห้วงนิทราจนลืมเวลาว่าทันทีที่ตื่นมา จะต้องรับผลกรรมที่ตัวเองได้ก่อไว้... แถมกรรมตัวใหญ่มากด้วย
‘ข้างห้องทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย หนวกหูชะมัด'
เมื่อรู้สึกตัวร่างกายจึงเริ่มขยับ มือที่เคยเท้าศีรษะเสียสมดุล ปล่อยหัวลงมาท้าทายแรงโน้มถ่วงจนหน้าผากฟาดเข้ากับโต๊ะดังโป๊ก เรียกสายตาหลายชีวิตที่อยู่รอบข้างหันมายังต้นกำเนิดเสียงเป็นทางเดียว
“โอ๊ย!” เธอยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบหน้าผากปอย ๆ แถมไอ้ความเจ็บที่แล่นเข้ามาก็ทำให้หญิงสาวตื่นเต็มตา
แต่เมื่อเปลือกตากระพือเปิดออก ยิ่งทำให้ความงัวเงียในตอนแรก หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะภาพตรงหน้า มันช่างน่าประหลาด ทั้ง ๆ ที่เจ้าหล่อนควรจะหลับสบายอยู่ในห้องของตัวเอง แต่ตอนนี้ ภาพที่เห็น กลับเป็นห้องเรียนวัยใส ซึ่งมันคุ้นตาแม้กระทั่งหน้าตาหลายชีวิตที่กำลังหันมามองเธอราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอม
เธอหลับตาลงพร้อมฟุบหน้าลงบนโต๊ะไม้ซึ่งดูแล้วน่าจะผ่านการใช้งานมาหลายรุ่น เปลือกตาที่เคยหลับปี๋ ตอนนี้ค่อย ๆ ลืมขึ้นต้อนรับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง แต่...
ทุกอย่างกลับยังเป็นภาพเดิม
ดวงตากลมโตพยายามปิดเปิดหลายรอบ หยิกแขนตัวเองอีกสักที แต่ความเจ็บมันก็ยังคงอยู่ เหมือนไม่ใช่ความฝัน แต่ทุกอย่างตรงหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องจริง แถมสภาพของตัวเองตอนนี้ ก็ไม่ได้ต่างจากหลายคนที่กำลังจ้องมองอยู่
ชุดนักเรียนรัฐบาลช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย มันพอดีตัว และคุ้นเคย ทั้งชื่อ นามสกุลของตัวเอง ยังคงปรากฏราวกับว่าเป็นชุดของตัวเองจริง ๆ แต่ ... เหมือนจะเป็นของตัวเองนี่สิ รอยรีดอัดกลีบตรงกระโปรงส่วนหน้า ซึ่งเธอใช้ไฟแรงเกินไปจนมันเบี้ยวเล็กน้อย กลับมาปรากฏเป็นกระโปรงซึ่งเธอสวมใส่อยู่ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะถูกทิ้งไปแล้วแท้ ๆ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!?!” เพกาสบถกับตัวเองเบา ๆ
เธอพยายามถามตัวเอง ทั้งชักจูงเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้มาให้คำตอบหลายข้อ ไม่ว่าจะกฎบ้าบออะไรที่เคยได้ยินมา หรือ ทฤษฎีต่าง ๆ ที่ดูงี่เง่าจนน่าตลก แต่สุดท้าย เพกาก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่ดี อีกทั้งหลายคนซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากัน แม้จะไม่ได้เจอมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครลืมหน้าเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งเรียนด้วยกันมาตลอด 3 ปีได้หรอก แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทุกคนยังดูเด็ก...เหมือนดั่งแต่ก่อน
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” เสียงหวานแสนจะคุ้นเคย เปรียบดั่งแสงสว่างที่เข้ามาสาดส่องในความคิดอันมืดมิดของเพกาก็เกิดขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปข้าง ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนสนิทที่ทั้งชีวิตเธอมีเพียงแค่คนเดียว... ปริม
“เธอโอเคมั้ย?” ปริมถามอย่างสงสัย เพราะคนข้างกายดูอาการแปลกไป จนรู้สึกขนลุก
ปริมมองเพกา เธอไม่ค่อยสนิทกับใครสักเท่าไหร่ และทุกครั้งที่เข้าห้องเรียน ที่ข้างเพกาก็มักจะว่างเสมอ กลายเป็นว่าหลายคาบเรียน ปริมมักจะเข้ามานั่งข้างเพกาตลอด คุยกันบ้างในบางครั้ง แต่คิดว่าไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะพูดคุยกันแบบปกติ
ทั้งคู่เหมือนกัน คือ ถูกกีดกันจากสังคมในห้องเรียน ปริมไม่ได้สนใจอะไร เลยคิดว่าจะนั่งข้างเพกาซึ่งมีประเด็นกับผู้ที่ ‘สถาปนาตน’ เป็นผู้นำของห้อง จนหลายคนเลือกจะไม่ยุ่ง เพราะหากเข้าตาเธอผู้นั้น ระยะเวลาที่เหลืออยู่ในโรงเรียนนี้ ไม่น่าจะราบรื่นอย่างที่คิดไว้ แต่สำหรับปริมแล้ว เพกาไม่ได้แย่ และรู้สึกสบายใจที่ได้นั่งข้างเธอกว่าคนอื่น ๆ เท่านั้น
เรียกได้ว่าตกกระไดพลอยโจนก็ได้ เพราะตั้งแต่ตัวเองมานั่งข้าง ๆ เพกา จากคนที่ไม่ค่อยมีคนคุยด้วยอยู่แล้ว ตอนนี้กลายเป็น 0 โดยสมบูรณ์
“ปริมเหรอ?” เพกามองรอบวงหน้าของเพื่อนรัก แววตาที่เคยสิ้นหวังไปช่วงหนึ่งตอนนี้เริ่มมีความหวังเข้ามาอีกครั้ง แต่พอมองสภาพของคนตรงหน้า ความสิ้นหวังก็ประเดประดังเข้ามาอีกครา “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!?”
เพกาลุกขึ้นพรวด ทำเอาเก้าอี้บุโรทั่งที่ใช้มาหลายรุ่นหงายหลังไปกองบนพื้นดังสนั่นจนเรียกสายตาของคนทั้งห้องอีกครั้ง
ตอนนี้อาการแฮงค์ทิพย์ (อาการแฮงค์ทิพย์: เกิดการเมื่อคืนดื่มอย่างหนักหน่วง แต่พอย้อนกลับมาในวัยที่ยังไม่สามารถดื่มได้ แต่สติสัมปชัญญะยังคงอยู่ในช่วงเวลาเดิม เลยทำให้คิดว่าตัวเองนั้น ยังคงมีอาการเมาค้างอยู่นั่นเองค่ะ พูดง่าย ๆ คิดไปเอง) กับความสับสนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า กำลังทำให้หัวของเธอแทบระเบิด ปริมเพื่อนสนิทที่ควรจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน กลายเป็นวัยสมัยละอ่อนม. ปลายไปเสียแล้ว
จนอดคิดไม่ได้เลยว่าตอนนี้... เธอเองก็คงไม่ต่างกัน
เพกามองไปรอบ ๆ ห้อง โดยไม่สนว่าตอนนี้ หลายชีวิตในห้อง กำลังมองเธอด้วยสายตาประหลาดแค่ไหน จนเจอกระจกอันเล็กเท่าฝ่ามือ ที่สาว ๆ หลายคนมักจะพกติดตัวไว้ เพื่อตรวจสอบความงามบนใบหน้า และความเรียบร้อยของทรงผม
คนไม่สนใจอะไรตอนนี้อย่างเพกา กระโจนเข้าหามันด้วยความร้อนรน จนเจ้าของแรร์ไอเท็มชิ้นนี้ถึงกับร้องกรี๊ดเสียงหลง และมันก็เป็นไปอย่างที่เธอคิด ใบหน้าของเธอดูอ่อนเยาว์ลงมาก ทั้งริ้วรอยซึ่งเธอพยายามเลเซอร์ ฟิลเลอร์ให้มันหายไป ตอนนี้มันไร้รอยขีดข่วนใด ๆ ทั้งสิ้น แถมยังมีผิวที่ตึงคอลลาเจลแบบไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมอีกต่างหาก
เท่านี้ก็ชัดแล้วค่า ตัวของเธอไม่ได้กลับมาในช่วงม . ปลาย แต่ตัวเธอต่างหากที่กำลังย้อนกลับมาเป็นตัวเองในช่วงม . ปลาย เฮอะ! บ้าบอสิ้นดี มันมีแต่ในนิยาย หรือไม่ก็เว็บตูนที่เธอเสียงค่าเหรียญไปไม่ยั้งเท่านั้น แต่พอมาเกิดขึ้นจริงแบบนี้ มันไม่เห็นจะโรแมนติกแบบที่อ่านมาเลยนี่หว่า!
แต่เรื่องมันก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ สินะ... หญิงสาวได้แต่ถามกับตัวเองแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ร่างกายค่อย ๆ ถอยออกห่างจากจุดที่เธอเคยอยู่เรื่อย ๆ เพื่อมองภาพตรงหน้าใช้ชัดเจนว่าตัวเองไม่ได้ฝัน แต่หากว่านี้คือความฝันจริง ๆ อย่างน้อยตอนนี้ขอให้เธอได้ตื่นขึ้น แม้ว่าการโดนไล่ออกจากงานเงินเดือนสูงลิบจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แต่การกลับมาในช่วงเวลานี้ ช่วงวัยแห่งฝันร้ายเช่นนี้ มันร้ายแรงยิ่งกว่า!
ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนในห้องเรียนมองเพกาเป็นตัวประหลาดที่กำลังสติแตก แถมเจ้าตัวเองก็ยังควบคุมสติของตัวเองไม่ได้เลยสักนิด ปวดหัวจนแทบจะระเบิดเข้าไปอีก
ร่างเด็กสาวตอนนี้เดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องเรียนของตัวเองอย่างช้า ๆ แต่ โชคดีที่เป็นเวลากำลังเริ่มต้นการเรียนการสอน เลยไม่มีครูผู้สอนออกมาทำให้ปวดหัวหนักกว่าเก่า แต่ห้องข้าง ๆ ของเธอ มีอีกห้องเรียนกำลังเริ่มเรียนแล้ว และที่สะดุดตามากที่สุด และยิ่งตอกย้ำการหนีความจริงของเธอให้ชัดขึ้นเข้าไปอีก
“รุ่นพี่”
จำได้ว่าเคยเลื่อนผ่านหน้าทามไลน์ และมีเพื่อนร่วมหลายคนแสดงความเสียใจกับการจากไปของเธอ แม้จะไม่ได้สนิท แค่ชื่อก็ยังจำไม่ได้ แต่ใบหน้าน่ารักแบบนี้ของเธอ เพกายังจำได้ดี ตอนนั้นยังนึกเสียดายว่าใช้ชีวิตยังไม่คุ้ม ก็ดันมาจากไปเพราะโรคร้ายเสียแล้ว แต่ตอนนี้เธอกำลังนั่งเรียนอยู่ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเสียไปตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ
คนไม่ยอมรับความจริงตรงปรี่เข้าไปมองหน้ารุ่นพี่สาวให้ชัดเจนมากขึ้น ทำเอารุ่นพี่ซึ่งเป็นเป้าหมายตกใจจนตัวแข็ง ไม่เพียงแต่เธอคนนี้คนเดียว แต่นักเรียนเกือบทั้งห้องก็ตกใจกับแขกมาใหม่ด้วยเช่นกัน แต่ใครจะสนเล่า ตอนนี้เพกาแค่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าใครจะอยู่ข้างหน้า หรือตอนนี้สถานะของตัวเองเป็นอย่างไรเธอไม่สนใจเลยสักนิด
‘ไม่ผิดแน่ รุ่นพี่คนนี้เสียไปแล้วจริง ๆ’ เธอให้คำตอบกับตัวเอง
“นี่ นักเรียน!” ร่างเด็กสาวถูกแรงกระชากให้หันไปตามเสียดุ “เข้ามาได้ยังไง ไม่เห็นเหรอว่าครูกำลังสอน... อยู่” นำเสียงอันแข็งกร้าวได้แผ่วลงเมื่อเห็น...
“ครูคะ...” ใบหน้าของเพกาตอนนี้อาบไปด้วยน้ำตาเต็มสองพวกแก้ม ยิ่งได้เห็นคนที่ไม่ควรอยู่บนโลกนี้ ก็เข้าใจทั้งหมด... ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ ในช่วงเวลานี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เพกาไม่อยากจะหวนคืนมามากที่สุด! “ทำไม... ฉันถึงมาอยู่ที่นี่คะ?”
เพการู้ว่าไม่มีใครสามารถตอบคำถามของเธอได้ ต่อให้เคล้นสมองมากแค่ไหน ก็ไม่มีคำอธิบายไหนทำให้เธอพอใจว่าทำไม เธอถึงมาที่นี่ มาทำไม และ... ทำไมต้องเป็นเธอ
เมื่อเห็นหญิงสาวที่เฝ้ามองมาเป็นเดือน กำลังมีพฤติกรรมแปลกไป แม้ใจอยากจะเฝ้าดูต่ออีกสักหน่อย แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถทำได้ เพราะสิ่งที่ต่อให้ตายอย่างไร เขาก็ไม่อยากเห็น... น้ำตาของหญิงอันเป็นที่รัก
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเฝ้ามองภรรยาแสนรัก ไม่ว่าเธอจะทำอะไร กลับตอนไหน หรือหงุดหงิดเวลาที่ชายแปลกหน้าเข้าไปใกล้ แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็เว้นระยะห่างจากเธอเสมอ เพราะในช่วงเวลานี้ มันเร็วเกินกว่าที่ทั้งคู่จะพบกัน และการเฝ้ามองเธอแบบนี้ ก็อาจจะได้คำตอบที่ค้างอยู่ในความสงสัย ว่าการจากไปของเพกา มันเกิดจากอะไรกันแน่
แต่กลับกลายเป็นว่า เพียงเห็นเธอร้องไห้ เขาก็มิอาจจะทนอยู่เฉยได้...
“เพ...” เสียงอันอ่อนนุ่ม มันสุภาพทุกครั้งที่ได้เอ่ยชื่อของภรรยาตน เขาในร่างเด็กมัธยมปลายวัย 18 รุดเข้าไปหาหญิงสาวซึ่งกำลังจวนเจียนจะหมดแรง ประคองร่างบางเอาไว้ในอ้อมอก “เกิดอะไรขึ้นเพ ใครทำอะไรเพ?” เขากระซิบตาม พร้อมคิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความเป็นห่วงปนสงสัย
เสียงทุ้มลึกอันอบอุ่นทำเรียกสติที่แตกสลายค่อย ๆ กลับเข้าที่ แววตาที่อาบไปด้วยของเหลวจ้องมองคนตรงหน้าอย่างงงงวย แต่แปลก... มันกลับรู้สึกปลอดภัยเหมือนเขาคือคนที่เธอสามารถพึ่งพิงได้ในเวลาแบบนี้ นิ้วเรียวยกขึ้นมาซับน้ำตาที่อาบแก้มเบา ๆ กลัวว่าแก้มนิ่มของเธอจะช้ำเพราะความหนักมือของตัวเอง “เพได้ยินพี่มั้ย?”
คำถามที่ต้องการคำตอบนี้ มันทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น แต่ก็คิดไม่ออกเลยสักนิดว่าเขาเป็นใคร เพกามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย และมีคำถามเกิดขึ้นมาอีกข้อทันที ทั้งคำพูดที่เหมือนว่าทั้งคู่จะสนิทกันมา และแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่...
“คุณ... เป็นใคร?” เสียงแผ่วเบาที่ลอดออกจากลำคอ จู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดลง ด้วยเสียงอันแสนอบอุ่นหรืออย่างไร มันเลยทำให้จิตใจอันว้าวุ่น และสมองอันปวดหนึบ ค่อย ๆ หยุดการทำงานลงไป
“เพ!!” ‘ซัน’ กระชับร่างสาวให้แน่นกว่าเดิม เมื่อรับรู้ได้ว่าหญิงสาวในอ้อมอก สติของเธอกำลังหายไป ตั้งแต่รู้จักกันมา เพกาของเขา ไม่เคยไม่สบายเลยสักครั้ง เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แข็งแรงมาก แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าอันซีดเผือดของเธอ มันทำให้คิดถึงเมื่อวันนั้นอีกครั้ง...
“ฟื้นสิเพ” ชายหนุ่มเขย่าร่างบางเบา ๆ พอเห็นว่าไม่ตอบรับ จึงช้อนร่างและอุ้มเธอออกจากห้องเรียนนี้ไป โดยไม่สนว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น หรือสายตาของคนร่วมห้องจะมองพวกเขาทั้งคู่แล้วจินตนาการไปในทางไหน สิ่งที่เขาสน... มีเพียงภรรยาของตัวเองเท่านั้น!
ภาพเหตุการณ์วันนั้น วันที่ชายหนุ่มเสียภรรยาที่รักไปตลอดกาล มันกลับมาฉายซ้ำในสมองอีกครั้ง หัวใจเขาบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก รู้ว่าเธอแค่หมดสติ ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตขนาดนั้น แต่ถ้าได้ลองผ่านเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้นมา ต่อให้เธอแค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยไม่พอให้ได้รู้สึก เขาก็ไม่ยอมปล่อยมันไปโดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอก