เฮือก!
ร่างเด็กสาวลุกพรวดด้วยความหวาดกลัวที่มีเหมือสติจะแตกเสียตอนนี้ เม็ดเหงื่อผุดเต็มกรอบหน้า พร้อมทั้งร่างสั่นเทาไม่ยอมหยุด ทั้งภาพและความรู้สึก ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ และแล่นเข้ามาในสมองซ้ำไปมา น้ำตาร่วงเผาะอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเด็กน้อย ก้มลงซุกเข่า พร้อมกอดตัวเองเอาไว้ เพราะบางที มันอาจจะช่วยให้ความหวาดกลัวนี้ลดลงได้บ้าง
ตอนนี้เพกาเริ่มแยกไม่ออกแล้ว ว่าสิ่งที่เห็นมันคือเรื่องจริง หรือความฝันกันแน่ แต่ที่รู้สึก คือความเจ็บปวดที่แผร่ไปทั่วทั้งร่างตอนนั้น มันยังติดตึงอยู่ในห้วงความคิด หากเป็นความฝันจริง ความเจ็บนั้น ทำไมยังชัดเจนอยู่ถึงตอนนี้กัน
เด็กน้อยวัย 17 เริ่มเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ แม้ความจริงเธอจะอายุเกินไปไกลแล้ว แต่ที่เพิ่งพบเจอ คือความตายที่ไม่ว่าใครก็ตัวกลัว มันอดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเป็นเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ
กลัว กลัวเหลือเกิน
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกเต็มแรง ใบหน้าแสนอ่อนโยนตอนนี้กับตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น เพียงแค่จะมาปลุกลูกสาวเพราะเกรงว่าเธอจะนอนดึกจนขี้เกียจตื่น แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ ดวงใจของเธอ... กำลังร้องไห้จนสุดเสียง
“เพ เป็นอะไรลูก” ผู้เป็นแม่ทรุดตัวลวนั่งเคียงข้าง พร้อมลูบหลังเล็กปอย ๆ ให้เธอรู้สึกสงบลง
คนเป็นลูกไม่ได้ตอบอะไร กลับโผเข้ากอดร่างอันคุ้นเคย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแม่ สำหรับเพกาแล้ว มันช่วยให้ผ่อนคลายได้ดีจริง ๆ แต่สมองเจ้ากรรม ยังคงนึกถึงภาพที่เพิ่งพบพานไม่หยุด ยิ่งทำให้เด็กน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม จนคนที่อยู่ด้านล่าง และกำลังออกไปทำงาน ต้องขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ชายร่างใหญ่ ต้องให้ดูองอาจแค่ไหน แต่ได้เห็นลูกสาวร้องไห้หนักถึงเพียงนี้ มีหรือจะไม่ปวดใจตาม ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ตั้งแต่เมื่อวาน และมาวันนี้อีก เด็กน้อยของเขา ดูเปลี่ยนไป...
“เกิดอะไรขึ้น แม่?” คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ส่ายหน้า พร้อมลูบหลังเล็ก ที่ยังคงสั่นไหวไม่อยู่
“เพกา...” คนเป็นแม่ค่อย ๆ ผละลูกสาวออก และมองเธออีกครั้ง “เป็นอะไรไป บอกแม่ได้มั้ย?”
“เพ... เพฝันร้ายค่ะ”
เป็นฝันร้ายที่ดูเหมือนจริง ทั้งความเจ็บยังคงฝังลึกอยู่ในกายของเธอ และน้ำเสียงอันเย็นเหยียบ... ยังคงติดตรึงในความทรงจำไม่คลาย
“เคยได้ยินมั้ย ฝันร้ายจะกลายเป็นดี”
มือนุ่มแสนอ่อนโยนเกลี่ยซับน้ำตาอาบแก้มของเธออย่างเบามือ รอยยิ้มกรีดขึ้นบนใบหน้าแสนอบอุ่น แม่ของเพกายังของสวยสดงดงามถึงเพียงนี้ ช่างตาจากเวลาที่เธอจากมา ราวกับคนละคน
เหมือนว่าไอ้ความกลัวที่มีจะค่อย ๆ ลดลงบ้างแล้ว แต่ที่สงสัยก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร ภาพในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองใช่หรือไม่ หรือว่ามันเป็นแค่ความฝันเฉย ๆ แต่ที่แปลกก็คือ... ความเจ็บปวดเมื่อตอนนั้น ทำไมกัน... ถึงได้เจ็บสะท้านไปทั้งร่างได้ขนานี้ และเหมือนคนที่พอจะรู้เรื่องทั้งหมด จะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจาก
‘ว่าที่เจ้าบ่าวของฉัน!’
หากเป็นเมื่อก่อนน ให้ตายอย่างไรเพกาคนนี้ก็ไม่คิดจะทำอะไรที่มันน่าอายอย่างการแอบมองรู้พี่ผู้ชายเด็ดขาด! แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ไอ้ความอยากรู้มันคับแน่นอยู่ในอก และคนที่จะบอกเธอได้ตอนนี้ ก็คงมีแต่เขาเท่านั้น
คนที่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำส่วนไหนของเธอเลย จู่ ๆ ก็มาโลดเล่นในอดีตของเจ้าหล่อนหน้าตาเฉย... ไม่สิ หน้าตาหล่อ แต่ถึงจะสงสัยอย่างไร จะให้เดินนไปถามว่า ‘คุณเป็นใครคะ?’ มันก็ดูแปลกไปหมด สุดท้าย ก็มาจบด้วยการแอบมองแบบนี้
ส่วนคนโดนจ้องก็...
“เฮ้! ซัน น้องคนนั้นจ้องนายเหมือนจะเข้ามากัดเลยนะ” เด็กนักเรียนคนหนึ่งในห้อง ชี้มาที่เธอพร้อมกับเสียงหัวเราะจนอกกระเพื่อม
มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กหนุ่มหน้าตาดี จะมีเด็กสาวสักคนมาแอบมอง แต่สำหรับเพกามันไม่ใช่ แม้เขาจะหน้าตาดีจริง ๆ แต่ที่มาจ้องแบบนี้ ไม่ได้มีความรู้สึกเชิงชู้สาวแน่นอน!
จริง ๆ นะ ถึงหล่อก็เถอะ!
เด็กหนุ่มที่กำลังกระดกนมเข้ามา แทบสำลักออกมา เมื่อเห็นสายตาของภรรยาตัวน้อย กำลังจ้องมาที่เขาเหมือนอยากจะกัดจริง ๆ อย่างที่เพื่อนร่วมห้องว่า เห็นแบบนี้ก็แอบยิ้มไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่การถ้ำมองมันควรเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด พอเจอถ้ำมองจากเธอบ้าง... ก็รู้สึกดีเหมือนกันแฮะ
“สงสัยคงอยากจะถามเรื่องเมื่อวาน” เขาพึมพำกับตัวเอง พร้อมวางกล่องนมลงบนโต๊ะหินอ่อน ซึ่งเป็นบริเวณรวมตัวของนักเรียนประจำห้องก่อนจะมีการเข้าแถวตอนเช้าอยู่บ่อยครั้ง
ซันลุกขึ้น พร้อมตรงไปหาว่าที่ภรรยาของตัวเองในอนาคต แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าของ เพราะเจ้าหล่อนรีบเบนตัวหลบหลังต้นไม้ใหญ่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มของเขาซึ่งส่งให้... แค่เธอคนเดียว “เขินหรือไง?”
พอเห็นรอยยิ้มของคนปริศนาแล้ว เพกาก็แทบทำตัวไม่ถูก คนบ้าอะไรยิ้มได้ตลอดเวลาขนาดนี้ มือเล็กขึ้นรีบเอากระเป๋านักเรียนเพียงหนึ่งเดียว มาบังหน้าเอาไว้ แม้มันจะไม่ได้ช่วยบังอะไรก็เถอะ แต่อย่างน้อย ก็ช่วยให้เธอ ใช้บังใบหน้าเพื่อวิ่งหนีความอายได้
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ซัน น้องเขาหนีแกว่ะ”
‘เวลาเขินแล้ววิ่งหนี เป็นมาตั้งแต่มัธยมเลยสินะ’
ซันส่ายหัวเบา ๆ และกลับมานั่งที่ม้าหินอ่อน ดื่มนมต่อจนหมดพร้อมขมวดคิ้วมุ่น ตอนนี้เพกาต่างจากที่เขาเฝ้าดูมามากเกินไป ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยเผชิญหน้าเขาครั้งหนึ่ง เพกาไม่กล้าจะเงยหน้ามองหน้าเขาด้วยซ้ำ แต่ดูวันนี้สิ เธอกล้ามาแอบดูเขาแบบโจ่งแจ้ง เหมือนเพกาคนที่เคยรู้จักไม่มีผิด
‘ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องลองหยั่งเชิงดูสักครั้งก็แล้วกัน’
เพกากึ่งเดินกึ่งวิ่งแทบหายใจไม่ทันมาถึงห้องที่ปรึกษาของตน ห้องนี้เป็นห้องที่พักของเล่านักเรียนในการดูแลจะมารวมตัวกัน ทำการบ้านบ้าง พูดคุย รวมไปถึงการโฮมรูมหลังเข้าแถวเคารพธงชาติ เป็นกิจกรรมที่โคตรจะไร้สาระ แม้เพกามีอายุล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังหาประโยชน์จากการเข้าแถวในตอนเช้าสมัยเรียนไม่ได้เลย
“นี่ปริม” เพกาหันไปหาคนที่อยู่ก่อนแล้ว และยังนั่งปั่นการบ้านที่ยังไม่เสร็จอยู่ “แกรู้จักคนที่พาฉันไปห้องพยาบาลมั้ย?”
“ก็พอรู้”
“ใคร?”
“ทำไม?”
“ตอบมาก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
“ขอทำการบ้านเสร็จก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
‘จะยอกย้อนอะไรขนาดนั้น’
“ถ้าอยากรู้เดี๋ยวผู้ทันทุกเหตุการณ์คนนี้จะเล่าให้ฟังเองครับ”
การปรากฏตัวของผู้มาใหม่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เขามาพร้อมกับสมุดการบ้าน และปากกาหนึ่งแท่ง ยึดเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าของสองสาว ก่อนจะปรับทั้งตัวเองและเก้าอี้มาทางพวกเธอ พร้อมนั่งลงด้วยรอยยิ้มอันน่าหมั่นไส้
“นายรู้จักคนคนนั้นเหรอ เฟียส?”
“ละเอียดยิบ” ผู้มาใหม่ทำท่าภาคภูมิใจกับการรู้แจ้งของเขาเต็มที่ และแบมือมาตรงหน้าเพกา “แต่ก่อนอื่น ขอดูการบ้านภาษาอังกฤษก่อน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังแบบไม่ตกหล่นเลย”
ทั้งปริมและเฟียสมองหน้าเพกาอย่างคาดหวัง ส่วนคนโดนคาดหวังก็ควักสมุดการบ้านส่งให้ทั้งคู่ตะลุมบอนลอก ย้ำว่าลอก ด้วยความเร็วแสง
เรื่องเรียนของเพกาทำได้ดี และจบด้วยเกรดที่สวยงามจนสามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ไม่หนำซ้ำยังฉุดกระชากลากปริมไปด้วยอีกคน ส่วนเฟียสนั้น เป็นเพื่อนที่บังเอิญเรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ประถม จนมัธยมต้นก็ยังอยู่ห้องเดียวกัน พอมัธยมปลาย เพกาก็ไม่สามารถสลัดเฟียสให้หลุดได้ แต่ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดคุยด้วยกันได้ทุกเรื่อง
ในระหว่างรอทั้งปริมและเฟียสจัดการกับธุระของตัวเองให้เสร็จ เธอลองกวาดสายตาไปรอบห้อง ทุกคนในตอนนี้อยู่ในช่วงมัธยมปลาย ที่เต็มไปด้วยความฝันและความคาดหวัง เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนควรจะมีความสุข และสนุกกับมันให้ได้มากที่สุด แต่สำหรับเธอ มันคือช่วงเวลาที่เธอเกลียดที่สุด เกลียดตัวเอง และเกลียดเธอคนนั้น
แพรวา...
แต่พอลองมองดี ๆ ก็ไม่เห็นเธอคนนั้นอยู่ในห้อง รวมทั้งอีกสองคนที่สนิทกันด้วย แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เห็น ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากเห็นเธอคนนั้นตลอดไป
“เสร็จหรือยัง?” เพกาถามทั้งคู่
“เรียบร้อย” เฟียสตอบอย่างมั่นใจ พร้อมเตรียมตัวเล่าเรื่องทุกอย่างที่เพกาอยากรู้
จากการเล่าเรื่องของเฟียส คร่าว ๆ แบบตัดเรื่องปรุงแต่งออกก็คือ เขาคนนั้นชื่อซัน ย้ายมาเรียนตั้งแต่เดือนก่อน ไม่รู้สาเหตุว่าย้ายมาเพราะอะไรทั้ง ๆ นี่ก็ใกล้จะหมดเทอมแล้ว แต่คิดว่าซันผู้นี้ ต้องรวยแน่นอน เพราะเขามาพร้อมกับรถคันใหม่ของโรงเรียน แถมยังมีเปียโนหลังใหม่ที่บริจาคเข้ามาอีก
“วันก่อนฉันเห็นมีคนไปสารภาพรักแต่โดนเมินสนิททันที ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ยกใหญ่”
“...”
“ว่าแต่นะเพ... เธอเป็นอะไรกับรุ่นพี่ซัน เขาถึงได้อุ้มเธอไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้น”
“เฟียส” เพกาหลุดออกจากห้วงความคิด แล้วหันไปสบตาเด็กหนุ่มตรง ๆ
“เมื่อกี้นายเล่าเรื่องของใครมา?”
“พี่ซันไง”
“ใช่... แล้วถ้าฉันรู้จักพี่ซันอะไรนั่น นายจะมานั่งเล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟังมั้ย?”
“กะ... ก็นั่นสินะ แหะ ๆ ลืมคิดไปเลย” เฟียสยิ้มแหย พร้อมเกาหัวแก้เขิน
เพกาถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกเดินออกไป ทิ้งให้อีกสองชีวิตนั่งงงกับการเปลี่ยนแปลงไปของตัวเองเอาไว้ทั้งแบบนั้น ปกติเธอจะไม่ค่อยต่อปากต่อคำสักเท่าไหร่ เรื่องสบตากันตรง ๆ กับเฟียสนี่เลิกคิดไปได้เลย แต่ดูตอนนี้สิ เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“เพกามันไปโดนตัวไหนมา เธอรู้บ้างมั้ย?” เฟียสหันไปถามปริมที่นั่งหน้างงไม่ต่างจากเขา
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันชอบเพกาแบบนี้มากกว่านะ ดูไม่น่าเบื่อดี”
“ว่าแต่...” เฟียสพยายามเปลี่ยนเรื่อง “การบ้านคณิตศาสตร์ของเธอเสร็จหรือยัง ขอดูหน่อย”
ปริมยิ้มให้เฟียสอย่างอ่อนโยน และชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “นายคิดว่าฉันฉลาดขนาดนั้นมั้ย?”
“ก็... ขอโทษนะที่คาดหวัง”