เมื่อได้มองภรรยาสุดที่รักกำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ภาพจำอันแสนสุขก็หลั่งไหลเข้ามาในสมอง ฉายมันซ้ำเหมือนภาพหนังที่ไม่เคยลืมเลือน ไม่รู้ว่าที่เขามายังเวลานี้มันเพราะอะไรกันแน่ แต่กลับรู้สิ่งที่ต้องทำชัดเจน ณ ที่แห่งนี้ ตอนนี้ ยังคงมีภรรยาสุดที่รักอย่างเพกาอยู่ ชายหนุ่มจะต้องหาสาเหตุมันให้ได้ ว่าการจากไปของเธอ มันเพราะอะไรกันแน่!
2ปีก่อนซันและเพกาจะแต่งงานกัน
“ขอโทษค่ะ”
ทันทีที่ประตูห้องบานใหญ่เปิดออก หญิงสาวในชุดขาวก็สไลด์ตัวเองคุกเข่าก้มหัวติดพื้นเปล่งวาจาขอโทษออกมาทันที โดยไม่ต้องรอผู้ชี้ชะตาตัวเองเป็นคนเอ่ย และหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าการกระทำเช่นนี้ มันจะช่วยให้คนใหญ่คนโตได้เห็นใจพนักงานตัวเล็ก ๆ อย่างเธอบ้าง
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้จริง ๆ หากว่าทางนั้นไม่ลวนลามฉันก่อน ฉันก็ไม่มีทางทำตัวเสียมารยาทกับลูกค้า VIP เด็ดขาดค่ะ!!”
“เออ...”
“การไล่ฉันออกก็เป็นอีกวิธีที่ฉันควรจะได้รับ แต่ท่านลองคิดดูสิคะว่าการที่ฉันออกไปจะช่วยอะไรได้ อย่างน้อยก็ช่วยนึกถึงความรักต่อองค์กรของฉันบ้างเถอะค่ะ ฉันทำงานที่นี่มานาน ผลงานของฉันไม่ช่วยให้ลดโทษได้เลยเหรอคะ?”
“คือ...”
“ฉันยังมีบ้านต้องผ่อน แม่ที่ต้องเลี้ยงดู และแมวอ้วนอีกหลายตัวที่นอนหงายพุงรอฉันซื้ออาหารส่งไปให้ หากฉันตกงานสักคน ที่บ้านต้องเดือดร้อนหลายชีวิตแน่นอนเลยค่ะ”
“ช่วย...”
“รบกวนช่วย...”
“ช่วยฟังที่ผมจะพูดก่อนได้มั้ยครับ”
เสียงทุ้มต่ำแต่กลับไม่คุ้นหูเรียกสติให้คนที่แทบจะสิงกับพื้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองสถานการณ์ทันที เจ้าของเสียงเดินมาย่อตัวตรงหน้าเธอช้า ๆ และสุภาพ พร้อมส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้คนสำนึกผิด อย่างกับว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
“เออ... คุณเป็นใครคะ?”
เพกาถึงกับหน้าเหวอหลังจากได้เห็นหน้าใครก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คือเขาโคตรหล่อ เป็นไปไม่ได้ที่คนมีเบ้าหน้าฟ้าประทานเดินไปมาในบริษัทแล้วเธอจะไม่รู้ หรือว่าตนเองนั่นแหละที่เข้าห้องผิด หมดกัน สคลิปที่เขียนไว้ตลอดการเดินทางจากคอนโดฯ มาถึงที่ทำงาน รวมทั้งชุดขาวนี่ด้วย อุตส่าห์ทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร แต่กลับแสดงผิดคนเสียได้
“อ่า~ จริงสิ ผมเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วัน ไม่แปลกที่คุณจะไม่รู้จักผม” เขาประคองร่างที่ดูเหมือนสติหลุดให้ยืนขึ้นประจันหน้ากับเขา จะได้ไม่ต้องเสียสุขภาพเข่า “ผมเพิ่งกลับมารับตำแหน่งรองประธานของที่นี่ หลังจากไปดูแลสาขาที่เวียดนามมา 3 ปี...”
“...?”
“ผม สิชล หรือเรียกว่า ‘ซัน’ ก็ได้ครับ”
“คะ?”
“ครับ?” ซันเอียงคอมองคนตรงหน้า เธอยังเบิกดวงตากว้างค้างกับเรื่องที่เพิ่งได้ทราบเมื่อครู่ไม่หาย ทำเอาคนซึ่งมองอยู่ทั้งใกล้และไกลต่างขำออกมาเบา ๆ “เอาเป็นว่า เรื่องของคุณผมเป็นคนดูแลเองนะครับ”
“...” เพกายังคงค้างอยู่ที่ ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของชื่อ ยศ หรือตำแหน่งใด ๆ แต่คงจะเป็นใบหน้าเรียวได้รูป และดวงหน้าอันทรงเสน่ห์คู่นั้นที่จับจ้องเธอมากกว่า
‘แม่คะ เขาหล่อมากค่ะแม่’
“อย่างที่คุณบอก ฝ่ายนั้นเป็นคนลวนลามคุณก่อน คุณเองก็ต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ดังนั้นคุณไม่ผิดครับ ไม่จำเป็นต้องลาออก”
“เอ๊ะ?”
“ไม่ต้องออกครับ” ซันยิ้มเจิดจ้าจนตาคนเห็นแทบบอดตอบกลับคนทำหน้างงตรงหน้า และกำลังจะหันกลับไปยังเก้าอี้ตัวเดิม ซึ่งตอนนี้มีงานหลายอย่างบนโต๊ะเขาต้อนรับการรับตำแหน่งอีกมากมายที่ต้องจัดการ แต่ก็ต้องหยุดความคิดทุกอย่างลงเพราะตอนนี้กำลังมีภาพที่ไม่น่าเชื่อปรากฏ
เพกาทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสอง
“เอ่อ...”
“แง่!!...”
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เก็บอารมณ์เก่งแค่ไหน ก็ต้องตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทั้งนั้น ขณะนี้ มีหญิงสาววัยใกล้จะเลขสามนั่งแหกบ้างร้องไห้ลั่นอย่างไม่เกรงใจสายตาว่าใครจะมอง แถมคนที่มองยังเป็นว่าที่ประธานบริษัทคนต่อไปอีกต่างหาก แต่จะว่าเธอก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้ความเครียดที่แบกเอาไว้หลายชั่วโมงได้ถูกยกออกไปแล้ว
สำหรับซัน แม้จะมองว่าเรื่องของเพกามันเล็กน้อยสำหรับเขามา แต่พอเห็นสภาพของเธอตอนนี้แล้ว ความคิดนั้นก็หายไปทันที สำหรับเขาที่โตมาได้รับการเลี้ยงดูที่ดีและสนับสนุนเขามาโดยตลอด ไม่มีทางรับรู้ความรู้สึกแบบนี้ได้อย่างเด็ดขาด
“คะ... คุณเพกาครับ”
ซันพยายามจะปลอบแต่ก็ไม่รู้จะปลอบยังไง แค่จะหากระดาษทิชชูยังลุกลี้ลุกลนจนมาดนิ่ง ๆ ในตอนแรกหายไปหมด เลยทำให้อีกคนที่มองดูห่าง ๆ กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่
“คุณพิพัฒน์มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ อึก...!!” เพกาพูดพลางปาดน้ำตาที่แก้มลวก ๆ มองไปยังคนเฝ้าดูเหตุการณ์ทุกอย่างจากมุมห้อง
“ตั้งแต่แรกเลยครับ”
“โห... แง่~” กลายเป็นว่าร้องหนักกว่าเดิม
คุณพิพัฒน์ ปกติเป็นคนที่ใครหลาย ๆ คนเกรงกลัว เพราะเป็นเลขาฯ ของท่านประธานโดยตรง ตอนนี้มารับหน้าที่ผู้ช่วยชั่วคราวของว่าที่ประธาน เพราะนอกจากจะเป็นเลขาฯ และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของว่าที่ประธานด้วย เรียกได้ว่า มรดกของบริษัทแพคคู่!
เพกาเคารพคุณพิพัฒน์มาก เป็นพนักงานที่ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็สามารถจัดการได้หมด หากเธอหาทางออกเรื่องงานไม่เจอก็สามารถปรึกษากับเขาได้โดยไม่ต้องนึกถึงเรื่องตำแหน่งใด ๆ เป็นคนที่คนทั้งบริษัทเห็นหน้าบ่อยจนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า คุณพิพัฒน์นั่นแหละคือประธานบริษัท
“ซับน้ำตาสักหน่อยนะครับ เมคอัพเลอะหมดแล้วครับ” ท่านรองฯ ยื่นทิชชูให้เพกาอย่างกังวล ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีใครมานั่งแหกปากร้องไห้ต่อหน้าเขาแบบนี้มาก่อน เลยไม่รู้จะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไรต่อดี ตอนนี้ทำได้แค่ยิ้มแห้ง และปลอบเธออย่างเบามือ
“คุณสิชลคะ อึก! ฉันคิดมาตลอดทั้งวัน ว่ายังไงก็ต้องโดนไล่ออกแน่ ๆ เพราะฉันทำให้ทางบริษัทเสียหายไปเยอะมาก แม้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองจะไม่ผิดเลยก็ตาม ฮือ ๆ ...”
“...”
“ฉันไม่คิดว่าคนใหญ่คนโตอย่างคุณจะเห็นหัวฉันด้วยซ้ำ แต่พอคุณพูดว่าฉันไม่ผิดและเข้าข้างฉันแบบนี้แล้ว... แง่!~...”
“เอ่อ...”
“มันก็อดตื้นตันใจไม่ได้นี่คะ ฉันพยายามหยุดร้องไห้แล้ว แต่ทำยังไงก็ไม่หยุดสักทีค่ะ แง่!~...”
“มะ... ไม่เป็นไรนะครับ”
ซันทำอะไรไม่ถูก เพราะเมื่อยิ่งปลอบก็เหมือนว่าคนโดนปลอบจะร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีก ตอนแรกใช่ว่าจะไม่ให้เธอรับผิดชอบ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว จะใจดำได้อย่างไร จากรูปการณ์แล้ว ดูยังไงเธอก็ไม่ใช่คนเริ่มก่อน โชคยังดีที่มีคลิปจากกล้องวงจรปิดในร้านเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นจะใช้คลิปเหตุการณ์จิกวิกของเธอเพื่อแบล็กเมล์ท่านลูกค้าเจ้าปัญหา ก็ดูจะโหดร้ายกับเธอเกินไป
มือแสนอุ่นค่อย ๆ ลูบหลังแม่สาวเจ้าน้ำตาด้วยความเบามือ อย่างที่แม่ผู้จากไปคอยทำให้เขาเสมอเวลาโดนพ่อดุ และหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าหล่อนคลายความอึดอัดในใจและเลิกร้องไห้สักทีเถอะ!!
เพราะชายหนุ่มตอนนี้ ก็ทำตัวไม่ถูกแล้วเช่นกัน
ครั้งแรกที่เขาและเธอได้เจอกัน มันดูเรียบง่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องการ เจอใครสักคนที่รัก อยู่ด้วยกัน สร้างชีวิตและครอบครัวด้วยกัน ซันกับเพกาก็ด้วย พวกเขาเจอกัน ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกัน และได้ใช้ชีวิตด้วยกัน เหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างฝันแล้ว
แต่ก็ใช่ว่าความฝันนี้ จะมีเพียงฝันดีอย่างเดียว...
เพกาจากไปอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่มีสัญญาณอะไรบอกล่วงหน้า ไม่สามารถจับหรือหาเบาะแสของฆาตกรได้เลย ซันที่ต้องแบกความทุกข์นี้ไว้แทบจะเป็นบ้า คนที่เขารักมากที่สุดได้จากไป... อย่างไม่มีวันกลับคืน
แต่เหมือนสวรรค์จะยังเห็นใจเขาอยู่ เลือกมอบโอกาสครั้งใหม่ให้ได้กลับไปยังอดีต ซึ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องยังไงกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นเธอผู้เป็นที่รักได้หายใจ เคลื่อนไหว ได้มีชีวิต แม้ว่าเขาจะทำได้แค่มองก็ตาม...
กลับเข้าสู่ช่วงเวลาปัจจุบัน... ที่ไม่ปัจจุบัน
ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในระบบประสาทการรับรู้นั่นก็คือ หนาว ทำให้ร่างของเด็กสาวค่อย ๆ ขยับตามความรู้สึกที่เพิ่งตื่นขึ้น เปลือกตาค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ รับแสงและลมที่จ่อหน้าเธอจนต้องหลบ เพราะตอนนี้มีลมจากแอร์คอนดิชั่นตัวใหญ่ตกมาที่เธอแรงมาก
เพกากระถดตัวขึ้นนั่ง พร้อมยึดผ้าขึ้นห่มตัวเองจนเหลือแค่หัวโผล่ออกมา แต่เมื่อเห็นอีกคนที่นั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ดวงตาที่งัวเงียอยู่ก็เบิกโตเพราะตกใจ ตั้งแต่เกิดมายันอายุจะเลขสาม ไม่เคยมีโมเมนต์ที่จะมีใครเฝ้าไข้จนฟุบหลับอย่างกับในละครหลังข่าวมาก่อน แม้แต่พ่อหรือแม่ของเธอเอง ยังปล่อยให้เจ้าหล่อนนอนซมกับพิษไข้เพียงลำพังออกจะบ่อย
แถมยังจับมือเธอซะแน่นอย่างกับกลัวว่าเธอจะลอยหายจากเขาไป...
เมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่รอคอย เด็กหนุ่มอายุ 18 จึงได้ตื่นขึ้นมามองหน้าเด็กสาวทันที “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เออ... คือ...”
“ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า? บาดเจ็บตรงไหนอีกมั้ย? หรือรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่า? มีแผลถลอกหรือรอยฟกช้ำตรงไหนมั้ย? บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปหายามาให้”
ซันรัวคำถามชุดใหญ่จนคนถูกถามตอบไม่ทัน ไม่รู้จะตอบข้อไหนก่อนดี หรือเธอนั่นแหละที่ต้องออกตัวถามคำถามเขาก่อน เพราะชายหนุ่มในร่างวัย 18 คือคนแปลกหน้า ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน แต่ความรู้สึกกับไม่ได้กลัว หรือระแวงเขาเลยสักนิด กลับรู้สึกสบายใจเมื่อตื่นขึ้นมาและเจอเขาเป็นคนแรก
“คือ... มะ ไม่มีค่ะ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ” เธอตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว คนที่เป็นห่วงอยู่นานก็โล่งใจจนเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะทรุดลงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม สายตายังคงจับจ้องเธออยู่แบบนั้น... สายตาของความห่วงหา แสนคิดถึง นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเธอ และสัมผัสกายนิ่ม ๆ แบบนี้
แต่พอเป็นร่างนี้อย่างกับว่าตัวเขากำลังพรากผู้เยาว์อยู่เลยนี่สิ
ส่วนเพกาตอนนี้ร่างกายแข็งไปแล้ว เพราะสายตาคู่นั้นยังจับจ้องเธออย่างไม่วางตาของเขา แม้ว่าจะเป็นเด็กมัธยมปลายก็ตาม แต่จ้องแบบนี้ สัมปชัญญะในวัย 27 ก็แอบหวั่นไหวได้นะคะ!!