แสงแดดเจิดจ้าพุ่งปะทะแมกไม้ทะลุลงมา ก่อให้เกิดเป็นเงาจุดแต้มจาง ๆ ทาบทับบนดวงหน้างดงามหมดจด ม่านตาของเซียงฉินเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า พลันยกมือเล็กขึ้นมากำบังสายตาจากละอองแสง ผุดกายลุกขึ้นนั่งด้วยอาการสะลึมสะลือ
“ตื่นแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มนุ่มนวลหนึ่งดังมาจากบริเวณที่ไม่ห่างไกลมากนัก ครั้นพอได้สติ เซียงฉินก็พลันหันศีรษะไปมอง เห็นเป็นชายหนุ่มนิรนามกำลังนั่งปิ้งเผือกอย่างขะมักเขม้น
ควันขาวลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศ กลิ่นหอมของเผือกปิ้งตลบอบอวลไปทั่ว ถึงแม้ยามนี้จะถวิลหาเนื้อหมู เนื้อปลาฝีมือพ่อครัวที่จวนสกุลหลัวมากเพียงใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เผือกปิ้งตรงหน้าทำให้นางน้ำลายไหล แม้แต่ท้องยังส่งเสียงคำรามออกมา
“อื้ม ข้าตื่นแล้ว…หิวด้วย”
ใบหน้าของชายหนุ่มผุดรอยยิ้มจาง ๆ ภายใต้แสงอาทิตย์ดูเปี่ยมเสน่ห์และเปล่งประกายเป็นพิเศษ เขายื่นเผือกที่ปิ้งจนสุกแล้วไม้หนึ่งให้นาง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาปิ้งเผือกดิบในมือของตัวเองต่อ
เซียงฉินยิ้มจนคิ้วตาแย้มเป็นเส้นโค้ง ท่าทางดีอกดีใจเหมือนกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นก็มิปาน นางกัดชิมเนื้อเผือก ขณะเดียวกันก็ช้อนหน้าขึ้นมาชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยสายตาเลื่อนลอย…
แม่เจ้า! เขาเป็นเทพเซียนปลอมตัวลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าหรืออย่างไร?
ความเปล่งประกายเจิดจรัสนี้ เหมือนกับมีลำแสงแจ่มจ้านับล้านดวงแผ่กระจายออกมาจากร่าง
ด้วยเมื่อคืนฟ้ามืด นางจึงเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ไม่ชัดเจนนัก หากแต่ยามนี้ฟ้าสาง ทุกอย่างชัดเจนมาก…มากเสียจนแสบตา!
คิ้วรูปดาบพาดเฉียงสง่างาม ดวงตารียาวคมกริบ ผิวเนียนปานประหนึ่งนวลไข จมูกโด่งคมสัน ปากเหมือนแต้มชาด เครื่องหน้าของชายแปลกหน้าเหมือนผ่านการเสกสรรจากมือสวรรค์อย่างประณีต ไม่ว่าจะแยกจากกันหรือประกอบรวมกันก็ล้วนดูเหมาะสมสบายตา มองนาน ๆ ก็ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่ไม่น้อย…
ดวงตาของเซียงฉินเป็นประกายหยาดเยิ้มขณะครุ่นคิด
ดูจากท่าทางการก่อฟืนไฟที่คล่องแคล่วนั้นแล้ว เขาน่าจะเป็นคนร่อนเร่พเนจร เคยรู้จักแต่คนพเนจรที่พูดจนลิงหลับ ทว่าเขากลับนิ่งมาก นิ่งเหมือนกับหุ่นไม้ไร้ชีวิตจิตวิญญาณ เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ พอถ่านหมดก็สิ้นฤทธิ์ ค่ำคืนที่ผ่านมาเราพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ถามคำตอบคำ จากนั้นก็เงียบงันไม่กล่าวอันใดต่ออีก
แต่ช่างเถิด! ไม่ว่าชายแปลกหน้าผู้นี้จะเป็นคนเช่นไร เขาก็เป็นคนดี…ยามเมื่ออยู่กับคนดี จิตใจย่อมรู้สึกสงบและปลอดภัย พออิ่มท้องก็ลืมเรื่องเลวร้ายทั้งหมดไปจนสิ้น
นางส่ายศีรษะ ตบตีกับตัวเองในใจ…ไม่ได้ ๆ เซียงฉิน! เจ้านี่มันช่างใจง่ายเสียนี่กระไร รอให้เขาขี่ม้าพาไปส่งถึงที่หมายก่อนโน่น เจ้าถึงจะพูดชมเขาได้เต็มปาก
อาจเพราะสายตาที่ชอบจับจ้องของสวยงามอย่างโจ่งแจ้งของนาง ชายหนุ่มจึงรู้สึกตัว อดเพ่งสายตามองกลับอย่างครุ่นคิดมิได้
ครั้นพอจ้องตากันไปมาครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็โพล่งถามทำลายบรรยากาศประดักประเดิดเหล่านั้น "บ้านของแม่นางอยู่แห่งหนใด ข้าจะได้ไปส่งถูก"
เซียงฉินดึงสติตนเองกลับมา ใบหน้ามีสีแดงเรื่อผุดขึ้นจาง ๆ "จะ จวนข้าตั้งอยู่ในเมือง ติดกับคฤหาสน์กั๋วกงเขตเมืองหลวงฝั่งตะวันออก เอาเป็นว่า…พอใกล้ถึงแล้ว ข้าค่อยบอกทางเจ้าอีกทีก็แล้วกัน"
"เข้าใจแล้ว" เขาเอ่ยเสียงทุ้มและแผ่วเบา ใบหน้าคมคายนั้นราบเรียบ ไม่อาจจับกระแสอารมณ์ได้
หลังจากที่เก็บสัมภาระและข้าวของต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ แกะปมเชือกที่มัดไว้ ก่อนจะจูงม้าแก่สีน้ำตาลออกไปรอที่หน้าประตูใหญ่ของอาราม
เซียงฉินยืนทำท่าเงอะงะ ยกและวางขาลงอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่รู้จะก้าวขึ้นหลังม้าอย่างไรดี
ในชีวิตนางไม่เคยขี่ม้ามาก่อน ไม่ว่าจะภพนี้หรือภพก่อนหน้าก็ตาม ในยุคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ม้าวิ่งกลาดเกลื่อนตามท้องถนนเช่นนี้เสียเมื่อไหร่ หากไม่ใช่เจ้าของฟาร์ม มีคอกเลี้ยงม้าส่วนตัว ก็คงต้องเสียเงินลงเรียนหลักสูตรเฉพาะทาง แต่นักบัญชีตัวเล็ก ๆ อย่างนาง จะเรียนขี่ม้าไปเพื่ออะไร หากยามนั้นมีหลักสูตรยืนอัดตัวเองเป็นปลากระป๋องบนรถไฟฟ้าอย่างไรให้สุขใจ เซียงฉินผู้นี้คงรีบลงเรียนอย่างไวแทบไม่ต้องคิด!
ว่าแต่…ม้านี่สูงจัง จะขึ้นไปนั่งอย่างไรละเนี่ย?
ขณะกำลังขบคิดอย่างเคร่งเครียด จู่ ๆ เซียงฉินก็รู้สึกโหวงหวิวคล้ายดั่งถูกเหวี่ยงตัวลอยอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มที่ขึ้นไปรอบนหลังม้า ใช้แขนแข็งแกร่งฉุดร่างแบบบางขึ้นมาด้วยพละกำลังมหาศาล รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาแล้ว
ยามนี้นางอยู่ในท่านั่งไพล่ขา ด้วยเกรงว่าจะตกลงไป สองมือจึงโอบรัดต้นคอของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น จังหวะที่นัยน์ตาคู่งามสบประสานกับนัยน์ตาคมคายของชายหนุ่ม ห้วงเวลาก็พลันแข็งค้างทุกสิ่งอย่างหยุดเคลื่อนไหวในทันที
นี่เป็นเรื่องปกติ เขาช่วยนางขึ้นหลังม้า ถึงแม้จะด้วยท่าทางน่าละอายเช่นนี้ก็ตาม พร่ำปลอบตนเองในใจอย่างนั้น ทว่าพวงแก้มกลับแดงก่ำ หัวใจเต้นดังแทบจะทะลุออกมาจากโพลงอกเสียให้ได้…
ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งโอบกระชับเอวบาง มือหนึ่งกระตุกเชือกบังเ**ยน ม้าแก่ยกตัวสูงและส่งเสียงร้องลากยาวดังลั่น
ท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจายหลายตลบ อาชาสีน้ำตาลวิ่งตะบึงอย่างรวดเร็ว ลมกลางวันพัดเอาเสื้อคลุมของชายหนุ่มปลิวขึ้นมาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ใบหูของนางแนบชิดติดกับแผงอกกำยำ ได้ยินเสียงหัวใจของเขาดังตึกตักชัดเจนตลอดทาง
เวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวธรรมชาติเขียวชอุ่มที่เงียบสงบทั้งสองข้างทางก็กลายเป็นบ้านเรือนตั้งเรียงราย ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ บรรยากาศในตัวเมืองคึกคักไม่น้อย
ครั้นพอก้าวเข้าเขตคนพักอาศัย ม้าแก่สีน้ำตาลก็เหมือนจะรู้งาน พลันชะลอกีบเท้าม้า เปลี่ยนอิริยาบถจากรี่วิ่งปราดเปรียวมาเป็นสาวเท้าอย่างเฉื่อยชา
เซียงฉินกระตุกแขนเสื้อชายหนุ่มเบา ๆ พลางบอกทางเขาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วสดใส เมื่อรู้ว่าจะได้กลับบ้านจากที่เหี่ยวแห้งก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา
"นี่ ๆ ตรงไปอีกสักหน่อย ให้เจ้าข้ามสองสะพาน เห็นหอสุราเลี่ยงหลินให้เจ้าวนซ้าย วนขวา แล้วก็กลับมาวนซ้ายอีกที ใกล้ ๆ นั่นคือคฤหาสน์สุดหรูของซางกั๋วกง ข้าง ๆ นั่นคือ จวนของข้า…"
ชายหนุ่มปรายตามองนางเล็กน้อย กล่าวคำว่า "เข้าใจแล้ว" อีกเป็นหนที่สอง จากนั้นจึงดึงสายตากลับมามองเส้นทางเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ
หากจะกล่าวตามจริง เขาพูดคำว่า 'เข้าใจ' กี่หนแล้ว นางล้วนจำไม่ได้
ระหว่างเดินทางเกิดบทสนทนาสั้น ๆ
'ข้าเหนื่อย ช่วยหยุดพักใต้ต้นไม้ที…เข้าใจแล้ว'
'ข้าหิวน้ำ ช่วยแวะลำธารตรงนั้นที…เข้าใจแล้ว'
'ข้าปวดฉี่ ช่วยปล่อยข้าลงข้างทางด้วย…เข้าใจแล้ว'
ถ้อยคำนั้นถึงแม้จะดูเย็นชาไปเสียหน่อย แต่ทว่าเขาก็ไม่เคยปฏิเสธหรือขัดใจนางให้ต้องรู้สึกหงุดหงิด คนโดนเอาใจจึงอารมณ์ดีตลอดทาง
ชายหนุ่มควบม้าวิ่งเหยาะไปตามเส้นถนน ไม่ข้ามสะพาน ไม่วิ่งผ่านหอสุราเลี่ยงหลินและไม่วนซ้ายวนขวา อาชาวิ่งเหยาะ ๆ อ้อมรอบเมือง ผ่านศาลต้าหลี่ ผ่านสำนักศึกษา สถานที่ทั้งมวลล้วนตั้งอยู่ห่างไกลจากจวนสกุลหลัวทั้งสิ้น เซียงฉินนึกสงสัยจึงมุ่นคิ้วถาม ทว่าคำตอบที่ได้มา กลับทำให้นางปวดศีรษะมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
"ข้าไม่ได้เข้าเมืองมานาน ขออยู่อย่างนี้สักพักจะได้หรือไม่ วันนี้แผ่นดินยังไม่ถล่ม แน่นอนว่าจวนของแม่นางจะต้องอยู่ดี ไม่หายไปไหนเป็นแน่…"
เซียงฉินช้อนตามองแนวคางโค้งที่เป็นมุมงดงามของเขา ในใจเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ริมฝีปากที่แห้งนิด ๆ อ้าแล้วหุบหลายครั้ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด
สายลมนวลอุ่นพัดโชย ดอกพุดตานและดอกหอมหมื่นลี้ที่ปลูกไว้เต็มสองข้างทางกำลังเบ่งบานเต็มที่
หลังจากเดินวนเที่ยวเล่นครู่หนึ่ง อาชาก็หันเหทิศทางพานางกลับถึงจวนสกุลหลัวตามสัญญา
เซียงฉินกระโดดลงจากอานม้า ก่อนจะแหงนศีรษะขึ้นไปมองชายหนุ่มนิรนาม ใบหน้างามประดับยิ้ม "ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าบุญคุณครั้งนี้ ฟางฉีจะไม่ลืมเลือนเลย…"
รอยยิ้มของนางประดุจบุปผางามบานสะพรั่งที่ทำให้คนมองตกต้องอยู่ในภวังค์ กว่าชายหนุ่มจะคืนสติกลับมาได้ ก็เกือบจะพลาดกล่าวคำร่ำลากับนางแล้ว
"ต่อไปแม่นางจงระวังตัวให้ดี"
เซียงฉินส่งเสียงอื้มพลางส่งยิ้มละไม จากนั้นจึงค่อย ๆ หันหลังย่างเท้ากลับเข้าจวนไป
ชายหนุ่มเหม่อมองตามร่างแบบบางจนหายลับ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาอ่านป้ายแขวนหน้าประตูจวน ขยับริมฝีปากเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ
"แม่ นาง สกุล หลัว อย่างนั้นหรือ…"