ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!
เสียงตึงตังพลันดังขึ้นอีกครั้ง เซียงฉินที่พิงกำแพงผล็อยหลับไปครู่ใหญ่ ตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดผวา
ครั้นพอหันไปมองยังต้นเสียง ก็เห็นประตูขยับไหว คล้ายกับกำลังมีใครสักคนพยายามจะเข้ามา นางรีบวิ่งหนีไปหลบซ่อนด้านหลังพุ่มไม้ สอดตามองออกไปด้วยความระมัดระวัง
ประตูที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรง เพียงไม่นานก็พังทลายลง เงาดำขมุกขมัวสายหนึ่งเคลือบคลานเข้ามา ก่อนจะปรากฏเป็นร่างของบุรุษชุดดำสูงโปร่งผู้หนึ่ง
“แม่นาง ข้ามาช่วยแล้ว” เขาตะโกนเสียงเข้มมาทางนาง
เซียงฉินบังเกิดความสองจิตสองใจ ไม่รู้ว่าจะออกไปเปิดเผยตัวตนดีหรือจะหลบซ่อนตัวอยู่อย่างนี้ อย่างไหนจะปลอดภัยกว่ากัน ยามนี้เชื่อใจใครไม่ได้อีกแล้ว
“หากในนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ ข้าจะกลับออกไป อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
ดวงตาของเซียงฉินทอประกายวูบด้วยความตื่นตระหนก วาจานั้นช่างหลักแหลมยิ่งนัก หากเขาออกไป ผู้ใดจะช่วยนางกันเล่า!
“ช้าก่อน!”
บุรุษชุดดำทำทีจะเดินกลับออกไป ทว่าเสียงเล็กใสปานกระดิ่งเงินเอ่ยยั้งไว้ ฝีเท้าจึงหยุดชะงัก หันกลับมายืนตำแหน่งเดิม
เซียงฉินค่อย ๆ เดินก้าวขาออกมาจากพุ่มไม้ เนื้อตัวสั่นเทาเป็นลูกนก
“ออกมาเสียทีสินะ” ชายหนุ่มระบายยิ้มบาง ๆ แสงอาทิตย์อัสดงทาบทับใบหน้าคมคายเกิดมิติเงาดำจาง ๆ หลายส่วน ทว่าเซียงฉินตาพร่ามัว มองใบหน้าเขาไม่ชัดเจนเท่าไรนัก เห็นเพียงจมูกโด่งสูงประกอบกับริมฝีปากที่ไม่บางหนาและไม่เชิดรั้นเท่านั้น
“ขะ ข้าจะไม่ถามว่าท่านเป็นใคร แต่ท่านช่วยพาข้าออกไปจากที่นี่จะได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มทอดถอนใจออกมาเบา ๆ ใบหน้านิ่งงันสุดประมาณ
เซียงฉินไม่อาจคาดเดากับท่าทางคลุมเครือเช่นนั้นได้ มิสู้ลองถาม “ว่าอย่างไร ตกลงท่านจะช่วยข้าออกไปจากที่นี่หรือไม่?”
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้า เอ่ยช้า ๆ ด้วยท่าทางสงบราบเรียบ “แต่แม่นาง…ม้าของข้ามันเหนื่อยแล้ว เดินทางพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน”
“วะ ว่าอย่างไรนะ?” ดวงตาคู่งามของเซียงฉินพลันเบิกกว้างโตด้วยความตื่นตระหนก
ไหนว่าจะเข้ามาช่วยอย่างไรเล่า หากไม่พาออกไป คนผู้นี้จะทำอะไร? ทำมิดีมิร้ายกับข้าอย่างนั้นหรือ…
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เซียงฉินอดคิดเป็นอย่างอื่นเสียมิได้
เขาเอ่ยเสริม “ยามสนธยาใกล้จะค่ำมืดแล้ว หากฝืนเดินทางไป ม้าแก่ของข้าอาจทำให้แม่นางลำบาก”
นัยน์ตาสีอำพันของเซียงฉินจับจ้องไปที่ท้องฟ้า แล้วก็เป็นดังเช่นเขาว่า ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสว ยามนี้กลายเป็นสีม่วงประกายทอง อีกประเดี๋ยวก็คงจะมืดสนิท แต่จะให้ข้าอยู่กับชายแปลกหน้าทั้งคืน อย่างนี้มันจะดีหรือ?
“แม่นางไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นคนดีมีศีลธรรม หากคิดจะช่วยผู้ใดแล้ว ข้าไม่มีวันผันเปลี่ยนความคิด” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ขณะกำลังเดินลากไม้มาก่อกองไฟอย่างชำนิชำนาญ
ชิ! ทำเป็นพูดไป คนดีมีศีลธรรม…เพียงลมปาก ใครก็พูดได้
เซียงฉินเดินดุ่ม ๆ ไปนั่งข้างกองไฟ มองดูเขาอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงไม่นาน นางก็อดไม่ได้เลียบเคียงถาม “ท่านเป็นใคร แล้วมาจากที่ใด?”
ชายหนุ่มเหลือบตามองเซียงฉิน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “ไหนแม่นางบอกว่าจะไม่ถามที่มาของข้า”
เซียงฉินขมวดคิ้วมุ่น “ก็ตอนนั้นข้าไม่อยากรู้ แต่ตอนนี้ข้าอยากรู้ หากท่านไม่อยากตอบ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน”
“ข้าไม่บอกนามกับคนแปลกหน้า” เขาตอบกลับเสียงเรียบ
เซียงฉินเบะปาก เบิกตาใส่เขาอย่างเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน
เฮอะ! ไม่บอกก็ไม่บอก คิดว่าข้าอยากรู้มากนักหรือ?
กองไฟจุดติดพอดี เปลวไฟสีส้มลุกโชนสว่างวาบ ควันขาวค่อย ๆ ลอยตัวเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ไอร้อนแผ่กระจายทั่วทุกสารทิศ ร่างกายที่สัมผัสกับหยาดน้ำค้างยามค่ำคืนจึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันใด
ชายหนุ่มนิรนามหยิบหัวเผือกในย่ามสีเทาของตนขึ้นมาเสียบไม้แล้วจึงย่างไฟ เซียงฉินจ้องมองเผือกหอมดวงตาเป็นประกาย นางที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่บ่าย ถึงกับต้องโอดครวญออกมา “ข้าหิว…คนแปลกหน้า ท่านแบ่งข้าด้วยได้หรือไม่?”
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ก่อนจะส่งเผือกหัวหนึ่งให้นาง
เซียงฉินฉีกยิ้มดีใจ ครั้นพอยื่นมือรับเผือกมาไว้กับตัว นางก็ไม่รีรอใช้มือลอกเปลือกออกและกัดชิมเนื้อเผือกอย่างเอร็ดอร่อยทันที
“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นแม่นางผู้หนึ่งเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าประตู คล้ายจะเข้าไปแต่ก็ชั่งใจ นางเดินวนเวียนอยู่อย่างนั้นราว ๆ หนึ่งก้านธูป สุดท้ายก็นั่งรถม้าออกไป ข้าที่ผ่านมาเห็นพอดีจึงคอยสอดแนมอยู่ห่าง ๆ เมื่อรู้ว่ามีคนถูกขังอยู่ในนี้ จึงรอเวลาเข้ามาช่วย เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้”
"เผิงฟานเยว่!" สองมือที่กำแน่นของเซียงฉินสั่นเครือ รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
"ชื่อแซ่ของสตรีผู้นั้นหรือ? " เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ใช่! นางแสบนัก ทำไมกันนะ ความทรงจำของข้าถึงไม่มีเรื่องราววีรกรรมของนาง มีแต่เรื่องราวดี ๆ เพื่อนรักเพื่อนร้ายแท้ ๆ ฟางฉีคงจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเสแสร้งพวกนี้"
ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่อัดแน่น เซียงฉินพร่ำระบายออกมาไม่หยุดยั้ง
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจในวาจานางแม้แต่น้อย
"เลิกคบไปเถิดคนเช่นนั้น"
น้ำเสียงราบเรียบเคร่งขรึมดึงเซียงฉินออกมาจากภวังค์ ประโยคนี้ช่างมีอานุภาพรุนแรงจับใจคนฟัง นัยน์ตาสีดำขลับเปล่งประกายที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มนิรนามเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง
เขาที่บอกว่าจะไม่เล่าอะไร แต่จู่ ๆ ก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยปากถาม ช่างเป็นคนที่น่าแปลกประหลาดเสียจริง ๆ!
“อื้ม เข้าใจแล้ว" เซียงฉินผงกศีรษะหงึกหงัก กล่าวต่ออีกว่า "อย่างน้อย ๆ ข้าก็ยังเคราะห์ดี หากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมอย่างไรแล้ว”
ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ ในใจบังเกิดความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์อยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยเย้าหน้าตาย "แม่นางเชื่อคนง่ายเกินไปแล้ว ข้าอาจเป็นคนไม่ดีกว่าที่คาดคิดก็ย่อมได้"
"อะไร? เชื่อคนง่าย? นี่ท่านจะกลับคำอย่างนั้นหรือ? " เซียงฉินหยิบกิ่งไม้เล็ก ๆ ขึ้นมาชี้ไปที่หน้าของอีกฝ่าย ร่นตัวถอยหลังด้วยท่าทีตระหนกลนลาน
สีหน้าท่าทางของนางดูจริงจังก็จริง ทว่าอาวุธน้อย ๆ นั่น กลับทำให้ชายหนุ่มอดมิได้หัวเราะเสียงดัง
"ฮ่า ๆ ๆ …"
"นี่ท่าน!"
ยามเมื่อรู้ว่าถูกกลั่นแกล้ง เซียงฉินก็หน้าเจื่อน รู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่พอมาคิดดูอีกที อาวุธนี่ก็น่าขันเสียจริง ๆ เมื่อคิดว่าเขาคือคนแปลกหน้า ประเดี๋ยวก็จากลากันแล้ว นางจึงหัวเราะออกมาอย่างขาดสำรวม
ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่เขาพูดคุยกับนาง นับประโยคได้เสียด้วยซ้ำ ทว่านางกลับรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ท้องฟ้าพร่างพราวด้วยดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ หลังจากรับประทานหัวเผือกจนเสร็จสิ้น ร่างกายที่อ่อนล้าก็โหยหาที่พักพิง เซียงฉินนอนเอนกายบนพื้น ส่วนเขานอนพิงต้นไม้สูงใหญ่ใกล้ ๆ นาง จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว