"เจ้าคัดอักษรอะไรของเจ้า…ฟางฉี ขี้ริ้วขี้เหร่จนดูมิได้"
สุ้มเสียงเคร่งขรึมน่าเกรงขามนั้นมาจาก 'ฮูหยินหลัว' ที่กำลังเชิดคอยกสูงดุจดั่งหงส์ สายตาแหลมคมเพ่งมองกระดาษที่ประคองในฝ่ามือด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ทุกท่วงท่าและอิริยาบถของนางแฝงด้วยความเย่อหยิ่ง สง่าสูงส่งตามแบบฉบับของสตรีชนชั้นสูงที่ออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างเป็นธรรมชาติ จนมิอาจบรรยายได้
ยามนี้เซียงฉินทำอะไรมิได้นอกจากฉีกยิ้มเจื่อน ๆ ยอมรับคำต่อว่าจากมารดาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ตั้งแต่ข้ามมิติย้อนเวลามา ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ย่างเข้าเดือนที่สองไปแล้ว
หลัวฟางฉีคนเดิมคือ คุณหนูสูงศักดิ์ในจวนสกุลหลัว
เซียงฉินในร่างใหม่ก็คือ คุณหนูสูงศักดิ์ในจวนสกุลหลัว
หลัวฟางฉีใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับตำราเรียน เพียบพร้อมและงามสง่า
นางก็ย่อมไม่ต่าง หากได้รับโอกาสในการมีชีวิตอยู่แล้ว แม้จะยากลำบากเพียงใด ก็ต้องผ่านพ้นไปให้จนได้
"ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยสบาย ไร้เรี่ยวแรงอ่อนล้า จับพู่กันตวัดไม่มั่นคง เป็นความผิดของข้าแล้ว" เซียงฉินคว่ำปากเอ่ย แสดงสีหน้าท่าทางให้ดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฮูหยินหลัวหรี่ตามองบุตรสาว ไม่ค่อยอยากจะเชื่อคำพูดเหล่านั้นเท่าใดนัก "เจ้ายังดูปกติดี หาข้ออ้างเป็นเด็กไปเรื่อย ไม่มีความอดทนแม้แต่น้อย"
ความพยายามที่คล้ายแก้วอำพันใสของเซียงฉินหล่นลงพื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ วิธีนี้ใช้กับมารดาไม่ได้ผล ดูเหมือนนางจะเคร่งครัดมาก กว่าที่คิด เซียงฉินนะเซียงฉิน เจ้าคิดน้อยเกินไปแล้ว
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังแทรกขึ้น เสียงนั้นมาจากพี่สาวคนกลางของนาง…หลัวฟางจู และสหายคนสนิทสกุลเผิง นามว่า 'เผิงฟานเยว่'
พวกนางล้วนมีใบหน้าพริ้มเพราสมวัย สดใสราวกับบุปผาแรกแย้ม หลังจากนั่งฟังเซียงฉินชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว หัวเราะออกมาอย่างหลุดสำรวม
เซียงฉินไม่ได้รู้สึกโกรธ ข้ออ้างของนางฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย หากแต่รู้สึกอับอายเล็กน้อย "พวกท่านทั้งสองขำอะไรกัน? "
"ฮ่า ฮ่า…ข้าเปล่าหัวเราะเจ้าเสียหน่อยฟางฉี" แม้ขณะพูด หลัวฟางจูก็ยังขำไม่หยุด
ฟานเยว่ที่ครองสติได้ก่อน อมยิ้มบาง ๆ เขยิบกายเข้าไปเอ่ยกระซิบที่ข้างริมหูของเซียงฉิน "เจ้าก็รู้ว่าฮูหยินเป็นเช่นไร กล่าวว่าฝีมือตก ยังดูน่าเชื่อถือกว่าป่วยไข้เสียอีก"
จังหวะที่มือเล็กของฟานเยว่สัมผัสที่แขนของเซียงฉิน แสงสว่างวาบสายหนึ่งก็พลันฉายเข้ามาในหัวสมอง
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ในสวนกลางจวนสกุลหลัว นางกับเผิงฟานเยว่หัวเราะเริงร่า จิบน้ำชาพลางพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ฟานเยว่มักนำขนมหวานมาให้ หยิบยื่นไมตรีอยู่เป็นนิตย์ ด้วยนิสัยที่เข้ากับคนง่าย กิริยามารยาทงามอ่อนหวาน ทำให้ทุกคนในสกุลหลัวชมชอบนาง โดยเฉพาะพี่ใหญ่…หนุ่มนักรบเจ้าสำราญ แววตาหยาดเยิ้มที่เขาจ้องมองฟานเยว่นั้น ดูเหมือนจะลึกซึ้งและสนิทสนมกับนางมากเป็นพิเศษ
ครั้นพอมาประมวลเหตุการณ์ในใจ ก็พอเข้าใจได้ว่า เผิงฟานเยว่ผู้นี้จะต้องเป็นสหายคนสนิทที่ดีต่อหลัวฟางฉีมากคนหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี การเดินทางแม้ยากลำบากแต่จะไม่โดดเดี่ยวแม้แต่น้อย หากมีสหายที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง นางคงเหมือนกับเว่ยอี เพื่อนแท้ของข้าในภพภูมิเดิม จากที่จิตใจเหี่ยวเฉายามนี้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
ครั้นพอฟางฉีได้สติ มุมปากก็พลันระบายยิ้ม มองฟานเยว่และพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจ
เซียงฉินรี่เข้าไปบีบนวดแขนมารดา พูดจาออดอ้อนขอความเห็นใจ "ท่านแม่…ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะฝึกฝนให้มากกว่านี้ จะไม่ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นกังวลอีก"
สิ้นเสียง สายตาของฮูหยินหลัวก็พลันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า "เช่นนั้น เจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด วันนี้พอได้แล้ว"
เซียงฉินฉีกยิ้มกว้าง ครุ่นคิดใคร่ครวญในใจ แท้ที่จริงแล้วมารดาเป็นคนจิตใจดี หากแต่เข้มงวดเพราะอยากให้บุตรสาวได้ดี นางหันไปขยิบตาซุกซนให้พี่สาวและสหาย รอยยิ้มแจ่มจ้าส่งคืนกลับมา เซียงฉินปฏิญาณกับตนเองว่า จะเรียนรู้และปรับตัวให้เป็นคุณหนูสกุลหลัวที่สมบูรณ์แบบให้จนได้
"ฟางฉี ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า"
เสียงใสหวานไพเราะปานกระดิ่งเงินของฟานเยว่ ทำให้สองเท้าที่กำลังเยื้องย่างของเซียงฉินพลันหยุดชะงัก นางหันหลังกลับมามองและพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจ สำหรับสหายคนสนิท เพียงมองตาก็ย่อมรู้ ไม่จำเป็นต้องถามอันใดอีกแล้ว
วันนี้ผู้คนเต็มจวน พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาจากออกรบ มีสหายติดตามมาอีกราว ๆ สี่ห้าคน ด้วยเกรงว่าฟานเยว่จะมีเรื่องสำคัญมาก เซียงฉินจึงจูงมือพานางไปนั่งพูดคุยที่ศาลาริมน้ำ
รอบ ๆ ศาลา บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบและเย็นสบาย
จิงชิงยกกาน้ำชามาวางบนโต๊ะไม้เตี้ย จากนั้นจึงค่อย ๆ ล่าถอยและเดินกลับออกมา
ไอร้อนขมุกขมัวม้วนตัวลอยขึ้นมาจากถ้วยชา เซียงฉินใช้ริมฝีปากแดงชุ่มชื้นเป่าไล่ความร้อน ค่อย ๆ จิบดื่ม "ชาดอกกุ้ยฮวารสชาติหวานล้ำ มีสรรพคุณช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ดื่มเสียหน่อย เจ้าจะได้อารมณ์ดี"
ฟานเยว่ผงกศีรษะเบา ๆ มุมปากระบายยิ้ม ทว่าดื่มน้ำชาไปได้เพียงสองอึก นางก็พลันวางถ้วยชาลง จากนั้นจึงเอี้ยวตัวหันไปคว้ากล่องไม้สีแดงกล่องหนึ่ง ส่งยื่นให้เซียงฉิน
"นี่อะไรหรือ? "
ฟานเยว่เปิดฝากล่องไม้สีแดงเนื้อเกลี้ยงเกลาที่ถูกสลักเสลาอย่างวิจิตรออก ในนั้นมีขนมโก๋สอดไส้หลากสี เนื้อโปร่งใสราวกับอัญมณี รูปลักษณ์น่าทานอย่างยิ่ง
"นี่…ขนมโก๋ที่เจ้าชอบ ข้าทำมาให้เจ้า"
"ฟานเยว่ เจ้าช่างดีกับข้าเหลือเกิน" เซียงฉินคลี่ยิ้มละไม คว้าขนมโก๋ขึ้นมากับชิมคำเล็ก ๆ กลิ่นหอมหวลพุ่งขึ้นมาปะทะปลายจมูก ตลบอบอวลอยู่ในริมฝีปาก คล้ายดั่งกำลังลอยล่องอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น
ฟานเยว่หลุบตา อมยิ้มน้อย ๆ "เซียงฉิน เจ้าพูดเกินไปแล้ว"
"ข้าพูดจริง ๆ ฝีมือเจ้าไม่ธรรมดา หากเปิดร้าน จะต้องขายดี คนทั่วทั้งเขตแคว้นต้าเว่ยต้องมารุมซื้อขนมของเจ้าเป็นแน่" เซียงฉินเบิ่งตาโตเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ขณะที่สองแก้มแดงเปล่งปลั่งยังคงเคี้ยวตุ้ย ๆ ไม่หยุด
ฟานเยว่ก้มหน้าจนต่ำ มือเล็กดันกล่องแดงขยับเข้าไปใกล้เซียงฉินกลบเกลื่อนอาการขัดเขิน "เช่นนั้น เจ้าก็กินเยอะ ๆ เลย กินให้หมดนี่"
ที่นางกินเยอะหาใช่เพราะหิวโหยหรือรักษามารยาท เซียงฉินชมชอบขนมโก๋ที่ฟานเยว่ทำมาให้จริง ๆ แม้จะเป็นเพียงขนมธรรมดา ทว่าน้ำใจนางกลับทำให้เซียงฉินรู้สึกพิเศษ ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
"นี่ ฟางฉี วันพรุ่งนี้เราออกไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านเจ้าประจำดีหรือไม่? "
"อื้ม เอาสิ!" เซียงฉินขบคิดเสร็จก็กล่าวตอบทันที "ข้าอยู่แต่จวน เบื่อ ๆ อยู่เหมือนกัน เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีแต่แบบซ้ำ ๆ สีขาว สีชมพู แล้วก็วนมาสีขาว สีชมพูอีก…น่าเบื่อจะตายไป"
วาจาของเซียงฉินทำให้ฟานเยว่บังเกิดความรู้สึกสงสัย นางยิ้มเหยเก เอ่ยถามกลับ "แต่เจ้าก็ชอบเสื้อผ้าสีอ่อน ๆ อยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าเคยบอกข้า สีชมพูกับสีขาวคือตัวตนของเจ้า"
สิ้นเสียงเอ่ย เซียงฉินก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ นี่ข้าเผลอไผลเป็นตัวเองอีกแล้ว หากเป็นเช่นนี้บ่อยเข้า มีหวังคนจะต้องเข้าใจผิด คิดว่าข้าเป็นคนสองบุคลิก สติฟั่นเฟือนไปแล้วเป็นแน่
"ฤดูกาลยังผันเปลี่ยน นับประสาอะไรกับใจคนเล่า ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา"
ฟานเยว่มุ่นคิ้วอย่างงุนงง เอ่ยถาม "เจ้าหมายความว่าอย่างไร? "
เซียงฉินคลี่ยิ้มตอบ "ข้าที่เคยชมชอบสีขาว สีชมพู บัดนี้ความคิดผันเปลี่ยนรู้สึกตื่นเต้นกับสีแดง สีเขียว หรือว่า…สีดำเสียแล้ว"
สีหน้าของฟานเยว่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด นางไม่เข้าใจในวาจาของสหายเลยสักน้อยนิด เพียงผงกศีรษะตามน้ำไปอย่างนั้น
เซียงฉินหันหน้าหนี ลอบพรูลมหายใจยาวอย่างโล่งอก กล่าวรำพันกับตนเองในใจว่า
เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว…