บทที่ 6 ชั่วขณะที่หวั่นไหว

1597 Words
ย่างเข้าฤดูหนาวยามอู่อากาศเย็นสบาย แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้เซียงฉินรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จิงชิงออกไปจ่ายตลาด นางจึงถือโอกาสออกไปสำรวจตลาดด้วย เพลารถม้าประจำสกุลหลัวหยุดชะงักและจอดตรงรอบนอกของตลาดตะวันออก เซียงฉินได้ยินเสียงจอแจจากทางด้านนอก หัวใจพลันโลดแล่นราวกับมีลูกกวางวิ่งพล่านไม่หยุด ก้าวขาลงจากห้องรถม้าได้ก็รีบจูงมือจิงชิงเดินเข้าไปในตลาดทันที ตลาดในยุคโบราณมีเสน่ห์และน่าหลงใหลบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ นางเหมือนกำลังท่องเดินอยู่ในความฝัน ภาพในจินตนาการยามเมื่อเคยอ่านนิยายโบราณปรากฏชัด ฉากตลาด บ้านเรือน ผู้คนครึกครื้น คล้ายดั่งกำลังแทรกตัวให้ผสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมอยู่อย่างไรอย่างนั้น เซียงฉินเดินแทรกกลุ่มคน แวะชมร้านค้าข้างทางอย่างเบิกบานสำราญใจ ข้าวของทุกอย่างล้วนเป็นแบบโบราณสมัย ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือแม้แต่อาหารก็ยังเป็นของต้นตำรับ ที่หากินได้ยากในยุคปัจจุบัน นางผู้คลั่งไคล้วัฒนธรรมเก่าแก่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่คือดินแดนสวรรค์ แม้ถนนเส้นหนึ่งจะยาวไกลเพียงใดก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย "จิงชิง เจ้ามีอะไรแนะนำข้าหรือไม่? " คำถามนี้ออกจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อยสำหรับคนที่พักอาศัยอยู่ในเขตนครหลวงแคว้นต้าเว่ยตั้งแต่กำเนิด จิงชิงขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางถาม "แนะนำเรื่องอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู? " "อาหารอะไรอร่อย? ที่ไหนน่าไป? หรือร้านไหนที่ข้ามักจะไปเป็นประจำ" จิงชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนคลี่ยิ้มตอบ "อาหารประจำฤดู ข้ามแม่น้ำไปยังวัดเสี่ยวตงซาน ตรงข้างสะพาน มีร้านหมูย่างเลิศรสเจ้าหนึ่ง เป็นร้านของขุนนางอาวุโสห้องเครื่องเก่าที่ออกมาทำการค้าขาย นำเอาเครื่องปรุงต้นตำรับแท้จากเจียงหนานมาผสมผสานกับเนื้อหมูธรรมดาพื้นบ้าน ย่างบนเตาถ่านร้อน ๆ สูตรลับเฉพาะนี้รสชาติอร่อยและลงตัว คุณหนูจะต้องชอบแน่ ๆ เจ้าค่ะ" เซียงฉินนึกภาพตามในหัว ลอบกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก นางดึงแขนเสื้อบ่าวสาวเบา ๆ พลางส่งสายตาออดอ้อน "จิงชิง…ได้โปรดพาข้าไปที่นั่นที" ที่ ร้านหมูย่างควันขาวลอยโขมง กลิ่นหอมของเนื้อหมูหมักเครื่องปรุงโชยมาตามสายลม เตะปลายจมูกคนหิวโหย ชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารส่งเสียงร้องดังจ๊อก ๆ ไม่หยุดยั้ง ทันทีที่เสี่ยวเอ้อร์นำหมูย่างเสียบไม้ไผ่มาวางบนโต๊ะ เซียงฉินก็ไม่รีรอหยิบขึ้นมากัดชิมอย่างว่องไว หมูย่างหมักซีอิ๊วเนื้อหนานุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติกลมกล่อมแทบจะละลายในปาก เซียงฉินหลับตาเคี้ยวช้า ๆ รู้สึกเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่เหนือชั้นเมฆ ราวกับกำลังขึ้นสวรรค์ เนื้อหมูแทรกมันเล็กน้อยไม่เค็มไม่เลี่ยนจนเกินไป นุ่มละมุนเคี้ยวเพลินยากเกินจะหักห้ามใจ เพียงชั่วพริบตาเดียวหมูย่างกว่าสิบไม้ก็หายเกลี้ยง… เซียงฉินยกมือ หันไปพูดกับชายชราด้วยรอยยิ้ม "เถ้าแก่ ข้าขอเพิ่มอีกยี่สิบไม้…ไม่สิ ๆ สามสิบไม้" ริมฝีปากบางของจิงชิงเผยอออกและแข็งค้าง ลูกตาดำเลื่อนมองไม้เสียบหมูย่างกับนายหญิงสลับกันไปมา เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก "คะ คุณหนูจะกินหมดหรือเจ้าคะ? " "กินหมดสิ! หมูนี่อร่อยจะตาย ให้สั่งมาอีกร้อยไม้ข้าก็ไหว" เซียงฉินยิ้มตอบอย่างมั่นใจ "ตะ แต่คุณหนูเจ้าคะ" จิงชิงพยายามห้ามปราม แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เสี่ยวเอ้อร์นำหมูย่างเสียบไม้มาเพิ่ม เซียงฉินก้มหน้าก้มตาสวาปามหมูย่างตรงหน้าอย่างไม่สนใจอะไรอีก "กินเข้าไปเยอะอย่างนั้น หากเจ้าอ้วนขึ้นมา ไม่มีผู้ใดแต่งงานด้วย แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน" เซียงฉินชะงักค้าง รู้สึกเหมือนความสุขกำลังหลุดลอยไป ยามหิวโหยไม่ทันได้สังเกตว่านั่นเป็นเสียงของบุรุษ ครั้นพอช้อนตามองเห็นหานซวี่กำลังยิ้มมองมา ไม้ไผ่เสียบหมูย่างก็พลันล่วงหลุดจากมืออย่างไม่รู้ตัว "พี่หาน!" เซียงฉินแน่นิ่งราวกับหิน มองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ ลมพัดตีเข้าใบหน้าวูบหนึ่งจึงได้สติ รีบสอดส่ายสายตามองหาจิงชิงทันที "ข้าไล่นางกลับไปแล้ว" มุมปากของหานซวี่ยกขึ้นน้อย ๆ ขณะเอ่ย "ไล่กลับไปแล้ว? " เซียงฉินเบิกตาโตถาม หานซวี่ตอบว่าใช่ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า "ข้าเพิ่งกลับมาจากดูกิจการในเขตมณฑลซือโหร่ว เห็นเจ้าโดยบังเอิญก็เลยเดินเข้ามาทักทายเสียหน่อย" พอได้ฟังเช่นนั้น หัวสมองของเซียงฉินก็พลันแจ่มชัดขึ้นมา… จริงสิ! สกุลจื่อนอกจากจะรับราชการแล้ว ยังเปิดเป็นโรงหมอยาวนานตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น กระจายสาขาอยู่ตามเขตแคว้น มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย บุตรชายคนโตอย่างเขา ไม่ทำอะไรก็เหมือนกับนอนอยู่บนกองเงินกองทอง ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ๆ "ช่วยงานกิจการย่อมดี ข้านึกว่าท่านแอบมาเที่ยวเล่นเสียอีก" "ฉีฉี…เจ้าน้อยใจที่ข้าไม่มีเวลาพาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างนั้นหรือ? " หานซวี่พูดหยอกเย้าพลางส่งสายตาหวานซึ้งเปล่งประกาย เซียงฉินก้มหน้าหลุบตาอย่างเก้อกระดาก รีบเอ่ยแก้ต่างทันใด "ชะ ใช่ที่ไหนกันเล่า เหตุใดถึงโยงเข้าเรื่องนั้นไปได้" "ฮ่า ๆ ๆ " หานซวี่อดกลั้นไม่อยู่ เอามือกุมท้องหัวเราะเสียงดังก้อง จังหวะหนึ่งเหลือบตาไปเห็นเซียงฉินนั่งทำหน้าบูดบึ้ง จึงรีบย้ายมานั่งฝั่งเดียวกันกับนาง ก่อนจะตวัดแขนใหญ่แข็งแกร่งโอบรัดต้นคอบางระหง พลางกล่าว "นี่ ฟางฉี เจ้าอย่าโกรธข้าไปเลยนะ" ใบหน้าของเซียงฉินแดงก่ำ หลุบตามองพื้นกลบเกลื่อนอาการเก้อเขิน เขาพูดและกระทำกับนางอย่างไม่คิดอะไร ทว่าหารู้ไม่ อีกฝ่ายหัวใจกำลังสั่นระรัว ประการหนึ่งที่นางต้องจำใส่ใจ สตรีกับบุรุษไม่ควรใกล้ชิดกันมากเกินไป ถึงแม้จะสนิทสนมมากเพียงใดก็ตาม "ฟางฉี…ข้าคงมีเรื่องบางอย่างต้องปรึกษาเจ้า" ดวงตาของเซียงฉินทอประกายวูบ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เรื่องอันใดหรือ…” หานซวี่โน้มหน้ากระซิบที่ข้างริมหูนาง เอ่ยอย่างช้า ๆ “เจ้าว่า…แม่นางชุดขาวที่ยืนตรงสุดปลายถนนโน่น กำลังสนใจข้าอยู่หรือไม่?” แม่นางชุดขาวอย่างนั้นหรือ? ห้วงอารมณ์ของเซียงฉินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว นางทอดสายตามองออกไป… ตรงสุดปลายถนน มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวนวลสะอาดตา ตัวเล็กบางน่าทะนุถนอม ในมือของนางถือสิ่งของบางอย่างคล้ายถุงหอมใบเล็ก เดินเยื้องย่างวนไปมาช้า ๆ เซียงฉินเห็นดวงหน้าของนางไม่ชัดเจนนัก ทว่าดูจากเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นประกอบกับอากัปกิริยาอ่อนช้อยก็พอจะคาดเดาได้ นางคือสตรีในอุดมคติของหานซวี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เซียงฉินเบ้ปาก ตอบอย่างคลุมเครือ “นางมองออกไปนอกถนน หาได้มองท่านเสียหน่อย” หานซวี่เขยิบกายเข้าไปใกล้ ก่อนจะโอบกระชับคอนางแนบแน่นขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนกอดกันก็มิปาน “เจ้าดูดี ๆ สิ นางหันมามองข้า สัญญาณเช่นนี้มีหรือบุรุษอย่างข้าจะคาดการณ์ผิด” “ขะ ข้าไม่รู้” เซียงฉินสะบัดตัว จนหลุดออกจากแขนอันหนาแข็งแกร่งของเขา หานซวี่คลี่ยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ "รอดูเถิด…อีกไม่นาน แม่นางผู้นั้นจะต้องหันมายิ้มให้ข้า” เซียงฉินส่ายศีรษะระอาอับจนคำพูด จากที่มั่นใจว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้น แต่แล้วหญิงสาวร่างบางชุดขาวก็ค่อย ๆ หันศีรษะมองมาที่หานซวี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็พลันยืดอกผายกว้าง เหยียดตรงเหมือนลำไผ่ ตีหน้าขรึมหล่อเหลาเพื่อให้นางประทับใจ นางยิ้มมา เขายิ้มกลับ นางโบกมือไปมา เขาโบกมือตาม ทว่านางไม่ได้สื่อสารกับหานซวี่ แต่เป็นบุรุษหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต่างหาก เซียงฉินส่งเสียงพรืดและหัวเราะออกมาเสียงดัง หานซวี่รู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังหล่นแตกเป็นเสี่ยง ๆ "ฮ่า ๆ ๆ พี่หาน ท่านยิ้มและโบกมือให้ผู้ใดกัน อากาศธาตุอย่างนั้นหรือ" “นี่เจ้า! กำลังล้อเลียนข้าอยู่หรือ…” หานซวี่กดเสียงต่ำถาม เซียงฉินฟุบกับโต๊ะหัวเราะจนตัวงอ แม้จะพยายามกลั้นขำ แต่สุดท้ายก็หลุดขำออกมาอยู่ดี "ฮ่า ๆ ๆ …พี่หาน ท่านนี่ตลกจริง ๆ " หานซวี่เห็นนางยิ้มหัวเราะเช่นนั้น อดไม่ได้ยิ้มหัวเราะตาม รอยยิ้มบนใบหน้าสะคราญโฉมสว่างสดใสประดุจบุปผางามที่ผลิบานในวสันตฤดู นัยน์ตากระจ่างของเขาไม่ละไปจากนางแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งจ้องมองยิ่งเคลิบเคลิ้มหลงใหล จู่ ๆ ในใจก็เบิกบานขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD