‘ไม่-ต้อง-ยุ่ง’
เธออ่านปากน้องสาวที่กำลังทำปากพะงาบๆ ทีละคำแบบไม่มีเสียงบอกกับเพื่อนใหม่ของเธอ
‘เพียะ!’
“โอ๊ย! รัญเจ็บนะพี่รส” หิรัญญิการ์ร้องโอดครวญที่ถูกพี่สาวฟาดฝ่ามือเข้ามาที่แขนอย่างจัง
รสสุคนธ์กอดอกมองน้องสาว “เมื่อกี้เธอทำอะไร พี่เห็นนะ”
คนโดนพี่สาวจับได้ได้แต่ฉีกยิ้มเจื่อน
“ขอโทษพี่หมอช้างเขาเดี๋ยวนี้เลย”
คเชนทร์สบสายตากลมโต ใบหน้าหล่อตี๋ประดับด้วยรอยยิ้ม การกระทำของหญิงสาวเมื่อสักครู่เขาเห็นเต็มๆ ตา ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร พลางยกมือขึ้นกอดอกเลียนแบบพี่สาวของเธอด้วยความนึกสนุก
หิรัญญิการ์เห็นท่าทางกวนประสาทของคนตรงหน้าแล้วต้องกำมือเพื่อระงับความขุ่นเคือง
“ยัยรัญ” เสียงพี่สาวเร่งคำสั่ง
มือเรียวยกขึ้นไหว้แบบขอไปที เดิมทีเธอจะต้องไม่ชอบหน้า ตามคำยั่วยุของร้อยโทปราบดาที่เขาจะมาแย่งพี่สาวเธอ แต่ตอนนี้เธอเกลียดขี้หน้าเขาจริงๆ แล้ว
“ขอ-โทษษษ!” ขอโทษด้วยน้ำเสียงต่ำและไม่เต็มใจ
คเชนทร์ยิ้มขำ แต่ก็ยกมือขึ้นรับไหว้คำขอโทษหญิงสาว
“ยัยเด็กคนนี้นี่” รสสุคนธ์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ มือที่จะยกขึ้นหมายจะตีน้องสาวอีกครั้ง ต้องชะงักเมื่อข้อมือของเธอถูกมือหนาจับไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือโทษน้องเขาหรอก” คเชนทร์เอ่ยบอก
หิรัญญิการ์ตาโตเมื่อเห็นว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังจับมือถือแขนพี่สาว จึงรีบเอื้อมมือออกไปปัดมือใหญ่ออกจากข้อมือพี่สาวทันที
คเชนทร์หรี่ตามองคนปัดมือเขาออก แล้วต้องส่ายหน้าช้าๆ
หิรัญญิการ์มองเมินคุณหมอหนุ่มไปที่พี่สาว “ไปเถอะพี่รส รัญอยากกลับไปหาพี่สนแล้ว”
รสสุคนธ์พยักหน้าให้น้องสาว แล้วหันไปพูดกับคเชนทร์ “ยังไงรสรบกวนด้วยนะคะหมอช้าง”
คเชนทร์ยิ้มตอบรับ ก่อนหันหลังเดินนำไปที่รถยนต์ของตัวเอง
หิรัญญิการ์เดินตามแรงจูงมือของพี่สาว สายตาจับจ้องแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าอย่างเอาเรื่อง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ สีขาวลดความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง ก่อนจะจอดนิ่งหน้าอาคารพาณิชย์สองคูหาสามชั้น ดวงตาคมกริบเพ่งสายตาผ่านกระจกรถออกไปอ่านชื่อป้ายร้านในใจ ‘Love Stories Wedding Studio’
หิรัญญิการ์ที่นั่งอยู่เบาะหลังเปิดประตูลงจากรถก็เห็นพี่ชายยืนเอามือไขว้หลังรอท่าอยู่ก่อนแล้ว คนมีความผิดติดตัวเลยได้แต่ทำตัวเล็กตัวลีบ
“ไม่ต้องมายิ้ม”
สนฉัตรตีหน้าขรึมให้น้องสาว ก่อนหน้านี้เขาได้รับสายด้วยน้ำเสียงร้อนรนจากมารดาว่าหลานสาวสุดที่รักยังไม่กลับบ้าน
หญิงสาวที่ตอนแรกยิ้มหวานให้พี่ชายเป็นอันต้องหุบยิ้มฉับพลัน จากนั้นจึงเดินเข้าไปกอดเอวพี่ชายไว้อย่างออดอ้อน
“พี่สนจ๋า”
สนฉัตรก้มหน้าลงมองน้องสาวที่แสดงทีท่าออดอ้อนก็ไม่กล้าจะเอ่ยดุด่าต่อ ยกแขนขึ้นโอบไหล่ไว้ด้วยความหายห่วงระคนโล่งใจ
รสสุคนธ์ลงจากรถแล้วเดินอ้อมหน้ารถมาหยุดยืนมองสองพี่น้องกอดกันแล้วส่ายหน้า คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องเป็นแบบนี้
‘สนฉัตรแพ้ลูกอ้อนยัยตัวแสบอีกตามเคย’
คเชนทร์เองก็ลงจากรถเช่นกัน เขามองหญิงสาวตัวแสบที่ตอนนี้พออยู่กับผู้ชายที่เธอกอดเอวอยู่กลับกลายเป็นคนละคนกันเลย
สนฉัตรเพิ่งสังเกตว่ารถยนต์ที่น้องสาวและพี่สาวนั่งมาไม่เคยเห็นมาก่อน และยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของรถลงจากรถมายืนอยู่ต่อหน้า
“สน นี่คุณหมอช้าง หมอคนใหม่ของโรงพยาบาล เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ น่ะ”
รสสุคนธ์ที่เห็นว่าน้องชายฝาแฝดของตนมองคเชนทร์อย่างสำรวจ จึงเอ่ยแนะนำทั้งสองให้ได้รู้จักกัน
แล้วหันไปหาคเชนทร์ “หมอช้างคะ นี่สนฉัตร น้องชายฝาแฝดของรสเองค่ะ”
คเชนทร์ผงกศีรษะกลับเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสนฉัตรผงกศีรษะส่งให้ก่อน ซึ่งที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก เพราะเขาอายุเท่ารสสุคนธ์ นั่นหมายความว่าสนฉัตรก็ต้องรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับหมอช้าง เรียกผมว่าสนเฉยๆ ก็ได้ครับ” สนฉัตรทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ครับคุณสน” คุณหมอหนุ่มเองตอบรับกลับอย่างผูกมิตรเช่นกัน
“ส่วนยัยตัวแสบคนนั้น...”
สายตาคมกริบ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองไปยังคนที่ถูกพี่สาวขนานนามว่า ‘ยัยตัวแสบ’
“รัญ หิรัญญิการ์ น้องสาวคนเดียวของรสเองค่ะ” รสสุคนธ์พูดจบก็ส่งสายตาเป็นคำสั่งให้น้องสาวยกมือไหว้ผู้ใหญ่
หิรัญญิการ์ยกมือไหว้คเชนทร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่กล้าดื้อดึงอีก เพราะความผิดของเธอตอนนี้มากโขพอสมควร
รสสุคนธ์มองน้องสาวอย่างเหนื่อยใจ ก่อนลากสายตาสบสายตาน้องชายฝาแฝด
“ฝากจัดการต่อด้วยนะสน รสต้องรีบกลับไปอยู่เวรต่อแล้ว”
สนฉัตรพยักหน้ารับอย่างรู้กัน แต่เขาจะทำตามคำสั่งพี่สาวไหมนั่นก็อีกเรื่อง
หิรัญญิการ์เห็นว่าพี่สาวจะกลับแล้ว จึงออกจากอ้อมแขนพี่ชาย เดินไปกอดพี่สาวไว้เหมือนที่อ้อนพี่ชาย “ขอบคุณนะคะ รัญรักพี่รสนะ”
รสสุคนธ์กอดตอบน้องสาวด้วยความรักใคร่ ดันตัวน้องสาวออกด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างดึงหมวกแก๊ปออกจากศีรษะของน้องสาวอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไร
เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลค่อยๆ ร่วงลงมาทิ้งตัวสยายเต็มกลางแผ่นหลังบอบบาง หลังจากที่หมวกแก๊ปถูกถอดออก เจ้าของเส้นผมยาวสวยสะบัดหน้าสองสามทีไล่เส้นผมที่ยังค้างอยู่บนศีรษะให้ตกลงมา มือเล็กข้างหนึ่งยกขึ้นลูบผมหัวเองไปด้วย
‘ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ’
คุณหมอหนุ่มถูกความสวยกระแทกอกข้างซ้ายเต็มเปา ปากนิด จมูกหน่อยบนดวงหน้าสวยหวานนั้นดูลงตัวแบบไม่ปรุงแต่ง ไร้ซึ่งหมวกแก๊ปบดบังความงดงาม
ตาคมกริบจ้องไม่กะพริบ ลมหายใจเริ่มสะดุดสติสัมปชัญญะที่เคยมีเต็มเปี่ยมคล้ายถูกฉุดไปฉับพลัน จังหวะหัวใจเริ่มเต้นระรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองได้ชัดเจน
มือหนายกขึ้นวางทาบหน้าอกข้างซ้ายตัวเองไว้ราวกับกลัวว่ามันจะกระเด็นกระดอนออกมาเต้นข้างนอก
“เมื่อไรจะเลิกแต่งตัวแบบนี้สักที เห็นแล้วขัดตา” รสสุคนธ์ไม่ชอบสไตล์การแต่งตัวของน้องสาวคนนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
หลายครั้งที่เธอผ่านร้านเสื้อผ้า มักจะแวะซื้อชุดสวยๆ ติดมือกลับมาฝากน้องสาวทุกครั้ง ด้วยหวังว่าจะได้เห็นน้องสาวเป็นเด็กผู้หญิงสวยหวาน เรียบร้อยบ้าง แต่ดูเหมือนจะยากเย็นเสียเหลือเกินสำหรับน้องสาวคนนี้ของเธอ
หิรัญญิการ์ยู่หน้ากับคำพูดของพี่สาว แต่ไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่าความรู้สึกเฉยๆ
“พี่ไปแล้วนะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ มองตามหลังพี่สาวเดินไปขึ้นรถ แล้วลากสายตามาหยุดตรงคนที่เอาแต่จ้องหน้าเธอไม่หยุด จึงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาไปหนึ่งที หันกลับอย่างไว วิ่งไปเกาะแขนพี่ชายเดินเข้าร้าน
“น่ารักกก” เสียงทุ้มละมุนครางเสียงแผ่วเบา มองแผ่นหลังเล็กของแม่มดตัวน้อยที่ร่ายมนต์สะกดรัก ปักอกแกร่งเข้าเต็มเปาเข้าทันใด ด้วยแววตาของคนตกหลุมรักจนยากจะถอน มือยังลูบอกแกร่งแผ่ความอุ่นซ่านป้อยๆ
...นี่เขาเรียกว่าพรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลใจให้เขามาพบกับรักแท้หรือเปล่านะ
กว่าจะรู้สึกตัวกินเวลาไปหลายนาที คเชนทร์ถึงได้กลับเข้ามานั่งในรถแล้วขับพารสสุคนธ์กลับไปส่งที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นเขาจึงกลับบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลเพียงสามกิโลเมตรเท่านั้น
เมื่อรถยนต์เข้ามาจอดในโรงจอดรถของบ้านปูนชั้นเดียว ตั้งในพื้นที่รอบรั้วห้าร้อยตารางเมตร หน้าบ้านปูด้วยสนามหญ้า
ขณะที่กำลังจะลงจากรถนั้น สายตาคู่คมกลับเหลือบไปเห็นหมวกแก๊ปของแม่มดตัวน้อย พี่สาวของเธอน่าจะลืมเอาไว้ มือหนาเอื้อมไปหยิบขึ้นมาถือไว้
เขามองหมวกแล้วต้องยิ้มบางๆ ภาพใบหน้าสวยหวานยังติดตรึงในใจ นานมากแล้วที่ไม่เคยรู้สึกถึงอาการหัวใจเต้นแรง เพราะใครสักคน นานมากจนเขาก็เผลอลืมเลือนความรู้สึกนี้ไปเลย จนได้มาพบกับหิรัญญิการ์อีกครั้ง