6

1359 Words
แม้ซ่างเป่าเหลียนแสดงท่าทีอยากช่วยเหลือคนที่ได้รับพิษ ทว่านายทหารสามคน ต่างยืนยันจะจับตัวของสิงตู้เหยาไว้ ด้วยมันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เมื่อมีคนผิด พวกเขาก็จับไปลงโทษ เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง ยิ่งเกี่ยวพันกับอารักษ์คนใหม่ที่เดินทางมาจากเมืองหลวง ก็ต้องเร่งทำผลงาน ด้วยการปิดคดีให้เร็วที่สุด ทว่าซ่างเป่าเหลียนเมื่อคิดว่าจะทำสิ่งใด นางมุ่งมั่นมาก โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้อื่น คือเรื่องที่นางพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง อีกอย่างภาพสุดท้ายก่อนต้องนอนเป็นผักในโลกเก่า นางมีจิตมุ่งมั่นจะช่วยเหลือผู้อื่นจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งหมดคือวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา ยิ่งกว่านั้นโลกคู่ขนาน นางยังมีตัวช่วยเป็นกระเป๋าเครื่องมือทางการแพทย์ หญิงสาวหันไปทางสาวใช้ตน ถามด้วยน้ำเสียงเรียบหากจริงจัง “เสี่ยวเหยา มั่นใจหรือไม่ว่ามิได้ยุ่งเกี่ยวกับ อาหารหรือสิ่งใดในห้องครัว” สิงตู้เหยาในยามนี้ตาแดง มือไม่เย็นไปหมด ก่อนรวบรวมเสียงของตนเอ่ยกับซ่างเป่าเหลียน ด้วยรู้ว่าคงจะมีแต่คนผู้นี้ที่ช่วยเหลือนางได้ “โถ นายหญิง บ่าวไม่ใช่คนเหลวไหล หรือมีจิตใจเหี้ยมโหด อีกอย่างบ่าวยังอยากใช้ชีวิตจนได้ออกเรือนเจ้าค่ะ เช่นนี้คงไม่กล้าทำให้ตนเดือดร้อนแน่ๆ” การที่สิงตู้เหยาเรียกหญิงสาวว่า นายหญิง คือการให้เกียรติ และเป็นการยอมรับ ดังนั้นสิงตู้เหยายามนี้จึงเป็นคนของซ่างเป่าเหลียนเต็มตัว ยามนั้น คิ้วเรียวเสียงเลิกขึ้น มีรอยยิ้มประดับที่มุมปากของซ่างเป่าเหลียน แม้จะมองออกว่าสาวใช้กลัวความผิดจึงอ่อนข้อลงก็ตาม อย่างไรนางยังเด็ก การให้โอกาสคนย่อมพบทางประเสริฐในภายหน้า “บ่าวไม่ได้ยุ่งเกี่ยวสิ่งใด จะมีแค่เทียบยา แล้วก็สมุนไพรต่างๆ ที่นำไปเพื่อต้มน้ำแกงเท่านั้น และก็อยู่ในรถม้าของเราโดยตลอด คนที่จัดเตรียมไว้เป็นหมอในค่าย พวกเขาไม่กล้าประสงค์ร้ายต่อนายหญิงแน่” “ดี เช่นนั้น ย่อมทำให้ข้าเชื่อใจว่า มีผู้อื่นวางยาในอาหาร รวมถึงน้ำแกงถ้วยนี้ หรือไม่อาจไม่ใช่การปรุงในอาหาร แต่เป็นสิ่งอื่น!” แม้ซ่างเป่าเหลียนจะกล่าวเช่นนั้น แต่ฝ่ายทหารมิได้สนใจ ยังยืนยันจะจับกุมตัวสาวใช้ให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น หญิงสาวจึงต้องปกป้องคนของตน ในฐานะนายหญิง เรื่องนี้นางจะยอมหักไม่ยอมงอ “พี่ทหารทั้งสาม สามารถควบคุมตัวสาวใช้ข้าไว้ได้ แต่เรื่องนี้ข้าเป็นผู้เสียหายเช่นกัน ดังนั้นจนกว่าจะช่วยเหลือผู้ได้รับพิษให้พ้นอันตราย พวกท่านควรปิดล้อมที่นี่ ห้ามคนเข้าออกย่อมสมควรที่สุด ส่วนข้าจะพยายามดูแลผู้ป่วยให้” ซ่างเป่าเหลียนไม่ได้อวดฉลาดใด ๆ เพียงแต่ยามนี้ สัญชาติญาณของการเป็นแพทย์ห้องฉุกเฉินกลับคืนมาสู่ร่างกายนี้ อีกทั้งนางมองเห็นว่ามีหลายสิ่งที่ตนพอจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ “อาซ่ง จับตาดูให้ดี หากมีใครทำร้ายเสี่ยวเหยา... เจ้ารู้ใช่ไหมว่า จะต้องทำอย่างไร” โจวซ่งขมวดคิ้ว สีหน้าเข้มขรึม ไม่รู้ด้วยเหตุใด นี่คงเป็นครั้งแรกนับแต่สตรีผู้นี้ก้าวขึ้นรถม้าได้แสดงท่าทีเหมือนนายหญิงอย่างแท้จริง ชั่วขณะหนึ่งเขาอดคิดไม่ได้ว่า นานแล้วที่ตงเยี่ยหรง ไม่ได้มีสตรีที่ใบหน้างดงามล่มเมือง หากแฝงด้วยท่าทางที่เหมือนนางหงส์อยู่เคียงข้างกาย และนางผู้นี้เหมาะสมกับท่านแม่ทัพยิ่งนัก ซ่างเป่าเหลียนก้าวไปดูอาการคนได้รับพิษจากบะหมี่เป็ด อาการหนักสุดที่ไม่ได้สติคือ สตรีที่ผู้อื่นเรียกนางว่าไป๋ฮูหยิน นามว่ารั่วจิ้ง ภรรยาของอารักษ์ ที่เดินทางมาเมืองนี้ และเขาถือตราแทนฮ่องเต้ ในการตรวจสอบสิ่งต่างๆ แล้วบันทึกข้อมูลใช้ในการรายงานเรื่องราวของแคว้นเจียงหนาน “นางกลืนสิ่งใดลงท้องก่อนหน้านี้หรือไม่” สาวใช้ของไป๋ฮูหยินตัวสั่น หน้าซีด และตอบว่า “ไม่มีเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินบ่นว่าร้อน ไม่สบายตัว จิบน้ำชาไปบ้าง พอมาถึงโรงเตี๊ยมก็อยากกินบะหมี่เป็ดเลืองชื่อ นางกินไปได้สองสามคำก็เวียนศีรษะ แล้วสลบไปเลย ส่วนนายท่าน กับนายท่านรอง แค่ตักน้ำแกงเข้าปาก ต่างพากันอาเจียนออกมา” ซ่างเป่าเหลียนมองไปที่บะหมี่ และนางให้สาวใช้นางนั้น ยกมาใกล้ๆ ท่าทางที่ผู้อื่นเห็น คาดหมายว่านางจะตักชิมน้ำแกง หรือเส้นบะหมี่ พอหญิงสาวแค่ดมกลิ่น และท่าทางเหมือนรับรู้ได้ว่ามีพิษ จึงวางถ้วยบะหมี่ลง พร้อมมีเสียงคนโล่งอกไปตามๆ กัน “ช้าก่อนแม่นาง ด้านบนนั้นพวกข้าสั่งแบบแห้ง แต่มีอาการคลื่นไส้ โชคดีที่หลานชายเป็นคนตะกละ หยิบเนื้อน่องเป็ดกัดไปหนึ่งคำ ไม่ทันกลืนลงท้องก็คายทิ้ง” ชายวัยกลางคนบอก ยามนี้เขากำลังลูบหลังหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ท่าทางอิดโรยอยู่สักหน่อย “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาหารแล้วละ... แต่เป็นภาชนะที่ใส่บะหมี่ รวมถึงถ้วยน้ำแกงของข้าที่เสี่ยวเหยาต้มให้!” สิ่งที่หญิงสาวประกาศ ทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่นั้น มีหลายคนที่เริ่มแสดงพฤติกรรมน่าสงสัยให้เห็น “พี่ทหาร ได้ยินเช่นนี้แล้วพวกท่าน ยังไม่คิดปิดประตู ห้ามคนในออกจากโรงเตี๊ยมอีกหรือ” เสียงของนางทำให้เถ้าแก้โรงเตี๊ยมตื่นตัว พอๆ กับทหารทั้งสามนาย ฝ่ายหวังตันกลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าปฐมพยาบาล ส่วนสิงตู้เหยาถูกปล่อยตัว นางจึงไปขอเสื้อผ้าคนงานด้านหลังเปลี่ยนชั่วคราว แล้วเข้ามาเป็นลูกมือของซ่างเป่าเหลียน จากนั้นการช่วยเหลือคนก็เริ่มต้นขึ้น และนี่ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญของผู้ติดตามซ่างเป่าเหลียน ซึ่งจะส่งผลให้ภายหน้าทุกคน ยอมรับในความสามารถนาง จากนั้น ฉากกั้นก็นำมาวางไว้ โดยที่ซ่างเป่าเหลียนให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยนางในการดูแลไป๋ฮูหยิน และอีกฝ่ายค่อยๆ ได้สติกับคืน เมื่อซ่างเป่าเหลียนยื่นก้านสำลีที่มีแอมโมเนียให้ แล้วสั่งสิงตู้เหยานำไปอยู่ใกล้ๆ จมูกของรั่วจิ้ง “สิ่งนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้คนได้สติ ใช้สำหรับภายนอก ให้มันอยู่ห่างจากจมูกสักหนึ่งคืบ แล้วส่ายไปมาช้าๆ” สาวใช้เป็นคนฉลาด มีไหวพริบ ออกคำสั่งเพียงครั้งเดียว และทำให้ดู มือเล็กๆ ของนางก็เคลื่อนไหวก้านสำลีไปมาที่บริเวณรูจมูกรั่วจิ้ง “บ่าวทำถูกใช่หรือไม่เจ้าคะ ว่าแต่กลิ่นของมัน ทำให้ตาสว่างมาก บะ บ่าวขนลุกเลย เกิดมาไม่เคยรู้ว่า มีสมุนไพรสกัดเช่นนี้ด้วย” “ของพวกนี้ ข้าจัดเตรียมไว้ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น มีมูลค่าสูงมากนัก อีกอย่างต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ฝ่ายรั่วจิ้งเมื่อได้กลิ่นแอมโมเนีย นางค่อยๆ ลืมตา กระนั้นยังมีอาการวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง ด้วยมีสิ่งปนเปื้อนในอาหารและสาเหตุสำคัญสำคัญคือ นางตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าๆ ซึ่งเรื่องนี้สามียังไม่รู้ ! เมื่อซ่างเป่าเหลียนสัมผัสมือของรั่วจิ้ง แล้วจับชีพจรอีกฝ่าย ยามนั้น หลายสิ่งที่รั่วจิ้งกังวล และปกปิดไว้ส่งต่อมาถึงซ่างเป่าเหลียน สตรีคนนี้ถูกวางยาพิษด้วยสารสกัดปนเปื้อน โดยคนใกล้ตัวนาง เพราะอีกฝ่ายไม่อยากให้เรื่องที่นางตั้งครรภ์ถูกเปิดเผย ส่วนความสามารถที่เกิดขึ้นกับซ่างเป่าเหลียนนับว่าไม่ธรรมดา นางรับรู้ความคิดผู้อื่น ทั้งวินิจฉัยโรคได้ราวกับหมอเทวดา เพียงแค่จับชีพจร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD