ตอนที่ 9
“นี่ แก ยังจะมาพูดเล่นอีก ต่อไปแกจะจ่ายค่าเสียหายให้ฉันเท่าไหร่ในฐานะที่พ่อของแกกับฉันก็ช่วยกันคิดเรื่องนี้เหมือนกัน อุตส่าห์วาดหวังให้แกได้แต่งงาน” มารดาเผยไต๋เรื่องแผนการ พร้อมกับบ่นแล้วบ่นอีก
พีรียาจึงได้ทราบความจริง ว่ามารดาก็มีส่วน รู้เห็นเป็นใจ “พ่อกับแม่ก็แต่งไปเองสิคะ หนูไม่มีอะไรจะให้หรอก แต่ที่หนูขอ คือ ขอความเป็นโสดของตัวเองเอาไว้ หนูยังไม่อยากปีนลงจากคานง่ายๆหรอกค่ะ เพี๊ยชคิดว่า มันยังไม่ถึงเวลา” หล่อนเถียงข้างๆคูๆเอ่ยเหตุผลยืนยัน
“อ้อ ไหนล่ะ แฟนแก คนที่ว่า ที่แกอุปโลกน์ขึ้นมา อย่านึกว่าจะตบตาฉันได้นะ แกนี่ชักเหลวไหลใหญ่จริงๆนะยายเพี๊ยช ฉันเป็นแม่แก ไม่นึกเลยว่าแกจะหักหน้าแขก หักหน้าพ่อแม่ได้ขนาดนี้ ”
น้ำเสียงของคุณนภาพรคาดคั้นและเอาจริง เมื่อมารดาเอ่ยพูดสีหน้าของคนฟังนิ่งสลดไปชั่ววูบ เห็นดังนี้เหมือนกับท้าทายนัก พีรียาเลยเงยหน้าตอบเสียเอง
“อ๋อ มีแน่ค่ะ คูณแม่อยากเจอเดี๋ยวนี้ไหมคะ หนูจะพามาเลย เขาใกล้จะถึงบ้านเราแล้ว คุณแม่จะต้อนรับไหมคะ”
พีรียาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานเหมือนคนกระตือรือร้น ไม่ได้หวาดวิตกเช่นนางเลย แต่เรื่องนี้ก็ทำให้คุณนภาพรหนักใจ พอที่จะฉุดความโกรธได้อย่างมากอีกครั้งถึงขนาดเอ่ยโพล่งเสียงเข้มเพราะความอับอายครั้งนี้ออกมาว่า
“ฮึ ลองกล้ามาสิ ฉันจะไล่มันออกจากบ้าน ถ้าขืนมันเหยียบข้ามธรณีประตูหน้าบ้านฉัน แกนะแกยายเพี๊ยช นังลูกสาวไม่รักดี”
คุณนภาพรยังฟูมฟายน้ำตาด้วยคำนั้น ฟังจากน้ำเสียงของมารดาแล้วขึ้นเสียงด้วยอารมณ์รุนแรง
ทำให้พีรียาหยุดนิ่งอึ้งอีกครั้ง จะว่าด้วยอะไรก็ตามในวันนี้ หล่อนได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปแล้ว และก็ได้โทร.นัดชายหนุ่ม จากน้ำเสียงของเขาเอ่ยตอบกลับว่า
“ผมใกล้จะมาถึงแล้วนะ ผมควรจะต้องทำยังไงบ้าง ” น้ำเสียงนั้นยังราบเรียบเหมือนเคย
พีรียาก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆพาตัวเองมาหยุดที่ริมระเบียงหลังบ้าน เพราะเป็นคนตัดสินใจให้เขาที่นี่เองจึงต้องพูดกับเขาดีๆ ยังไงเสียแขกเหรื่อกลุ่มดังกล่าวก็อันตรธานไปจากบ้านแล้วหญิงสาวร่างระหงกำลังใช้ความคิด แม่ของหล่อนเงียบไปเฉยๆ กลายเป็นคนที่ไม่พูดไม่จา ในสิ่งที่ยายเพี๊ยชทำนั้นรุนแรงมากหรือ? ก็เพราะว่าหล่อนก็ทำในสิ่งที่ปกป้องตัวเองไว้ขนาดมารดาบังเกิดเกล้า ท่านยังทำหน้ายี้ใส่เหมือนจะรับไม่ได้ แล้วก็เดินเลี่ยงออกไปทางด้านอื่นด้วยพีรียากำลังหาคำตอบให้เขาอยู่พอดี กำลังจะตอบปัณรุจน์
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ”
มีเสียงตอบหลุดจากปากของเขา ทำให้หล่อนได้ยิน และขณะที่ได้ยินนั้น คือเสียงล้อรถแล่นบดไปตามถนน
“ผมถามคนขับแล้วเขาว่าอยู่ใกล้แฟชั่นไอร์แลนด์ ”
พีรียาตัดสินใจทันทีเมื่อรู้สึกว่าใกล้มาถึงจริงคำภาวนาของเธอเป็นผล
“งั้นรอเพี๊ยชที่ศูนย์การค้านั่นแหละค่ะเพี๊ยชจะออกไปเดี๋ยวนี้”
ครั้นต่อมาก็มีเสียงหนึ่งทักทายด้วยเสียงหวานๆมาจากทางเบื้องหลัง
“ปัณรุจน์ ”
เขาจึงเบือนหน้าหันไปมองยิ้มวาบ น้ำเสียงนี้จำได้
“คุณเพี๊ยช” หญิงสาวยิ้มให้เขาแต่รอยยิ้มนั้นดูแห้งๆชอบกล
“ขอบใจนะคะ ที่ช่วยอุตส่าห์มาตามสัญญา”
พีรียาเอ่ยพร้อมกับแนะนำ อยากจะดึงตัวเขาไปอีกทางด้านหนึ่ง ซึ่งดูแล้วโล่งปราศจากใครอยู่บริเวณนั้น น่าจะเป็นแถวซุ้มไม้ประดับที่ทางศูนย์การค้าจัดตกแต่งให้เป็นสวนรื่นรมย์ สำหรับลูกค้าที่แวะมาพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อที่หล่อนจะได้คุยกับเขาให้ถนัดชัดคำ
“เอ คุณ ช่วย มาทางนี้หน่อยสิคะ ตามฉันมา ฉันมีเรื่องที่จะคุยด้วย ” หล่อนชี้แจงบอกเรียบๆ
ชายหนุ่มทำตามสิ่งที่หล่อนเอ่ย ถึงกระนั้นคิ้วหนาเข้มของเขาก็ขมวดตาม น้ำเสียงของพีรียาเย็นๆเรียบๆบ่งบอกความรู้สึกว่าหล่อนไม่สบายใจมากกว่า
“จะพาไปบ้านคุณหรือไงครับ ”
ไม่รู้จะพูดอะไร พอนึกคำนี้ได้จึงเอ่ย
หากแต่พีรียานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตอบ เมื่อรู้สึกว่า เวลานี้ ได้หมดเรื่องหนักใจไปเปลาะหนึ่งแล้ว
“ไม่ค่ะ ตอนนี้ไม่แล้ว เพี๊ยชจัดการกับแขกเหรื่อนั่นได้แล้ว ทุกคนยินยอมออกไปจากบ้าน กลับบ้านเขา”
คนฟังยิ่งงง งั้นที่เธอชวนเขามาที่นี่ล่ะ มันยังไงกันแน่ หรือให้มาเก้อ
“อ้าว งั้นก็ดีแล้วนี่ครับ และมันก็คงหมดหน้าที่ของผม ”
ได้ฟังแล้วเตรียมตัวจะลุกขึ้น เขาเอ่ยเรียบ ร่างสูงโปร่งกำลังลุกขึ้นยืน และเขาจ้องสายตามาที่หล่อนเงียบๆ
“เอ้อ คุณมีเรื่องอะไรจะพูดอีกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มี งั้นผมจะขอตัว ”
พีรียาจ้องใบหน้าของเขาจึงรีบตอบหรือว่าเขากำลังน้อยใจ เพราะน้ำเสียงนั้นบ่งชัด
“ไม่หมดค่ะยังมีอีกมากฉันอยากจะคุยกับคุณอีกหลายคำ แล้วคุณก็ยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้ด้วยค่ะ เพราะฉันยังไม่อนุญาต ”
แต่พีรียายังรั้งตัวเขาไว้คิดว่าเขาต้องอยู่ช่วยเธออีก เพื่อรับหน้ากับมารดาของเธออีกหน
แล้วคราวนี้ปัณรุจน์ตกใจไม่น้อยทีเดียว
“อ้าว แล้วทำไม ต้องให้คุณอนุญาต”
แต่ก็ซ่อนสีหน้าอมยิ้มไว้ในใจ
“ก็เพราะฉันอยากคุยกับคุณ”หล่อนตอบไม่ตรงคำถาม และคงไม่อยากตอบ
เขาเลยถามต่อ “ว่าแต่อะไรเหรอฮะ ที่คุณบอกว่า อยากจะคุยกับผมด้วย ”
เมื่อเป็นดังนั้น เธอจึงเอ่ยนะนำ อยากให้เขาเข้าไปคุยข้างใน และไม่อยากที่จะให้เขาต้องใจร้อนแบบนี้
“ ใจเย็น แล้วเข้าไปในร้านอาหารก่อนเถอะค่ะ ไปทานอาหารกัน เอ้อ ฉันจะขอเลี้ยงคุณอีกมื้อ ”
ปัณรุจน์มองหน้าเธอแวบหนึ่งแล้วตอบ
“โอ ไม่ต้องครับ รบกวน คุณเปล่าๆ เพราะถ้าเสร็จแล้ว ผมก็จะได้ลากลับ”
***************************
“แหมก็คุณอุตส่าห์เดินทางไกลมานี่ค่ะเราเตี๊ยมกันไว้แล้ว อุตส่าห์มาเป็นแฟนอุปโลกน์ของฉัน แต่ขอโทษเถอะค่ะ เรื่องมันผ่านไปโดยที่ฉันไม่ต้องให้คุณออกแรง คือคุณพ่อคุณแม่ฉันรู้เรื่องแล้ว แต่ฉันไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ กลัวท่านรู้ความลับที่ปิดไว้ เพราะฉันบอกแล้ว ฉันยกคำนี้มาอ้างกับพ่อแม่ ดูสิคะวันนี้ผลงานของฉันล้วนๆ ดีเหมือนกันที่ทางฝ่ายนั้นเดือดปุดๆขึ้นมา จ้องหน้าจ้องตาฉันเขม็งเลย แล้วก็ลุกจากโต๊ะ พากันปึงปังเดินออกไป หน้าตาไม่มีรอยยิ้มสักนิด ถึงแม้ฉันรู้ว่าฉันทำผิด แต่ฉันก็จำเป็นต้องทำ ”