10 กล้า กลัว

2261 Words
-KEY TALK- “ทำอะไรให้จีนทานครับป้า” ผมถามแม่บ้านที่กำลังวุ่นอยู่ในครัว “คุณคีย์…” “ว่าไงครับ ทำอะไรให้จีนทาน” “คุณหนูจีนเธอทานง่ายค่ะ และทานแค่เมนูนี้เมนูเดียว นั่นไงคะ ป้าเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ตอนนี้กำลังจะทอดไข่ดาว อีกเดี๋ยวจะไปตามคุณหนูจีนลงมาทาน” แม่บ้านหันหน้าไปมองจานกับข้าวที่เพิ่งจะทำเสร็จผมจึงหันมองตาม กะเพราไก่กรอบกับไข่ดาวงั้นเหรอ “เดี๋ยวผมไปตามจีนเองครับ” “คุณคีย์ทานพร้อมคุณหนูจีนเลยไหมคะ” “ครับ” ผมตอบและเดินมายังห้องของปู่ ซึ่งในห้องนี้มีผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นของผมเธออยู่ด้วย ปู่ของผมเอ็นดูเธอ ส่วนหนึ่งคงเพราะเธอคือหลานสาวของเพื่อนรัก และอีกส่วนคงเพราะจิลลาเธอน่ารัก แต่ผมไม่กล้าจะรัก “หนูก็รักคุณปู่ แล้วก็รักพี่หมอคีย์มากค่ะ รักมาก” เสียงนี้เป็นเสียงของจิลลา เธอกำลังบอกกับปู่ของผมว่ารักผม เมื่อก่อนผมเชื่อว่าเธอรักผมมาก ผมรู้สึกได้ แต่เดี๋ยวนี้คำว่ารักของเธอ ผมเชื่อไม่ลงยังไงไม่รู้ “ทานยาหรือยังครับปู่” ผมเดินเข้ามาในห้องของปู่ เพราะถ้าไม่เดินเข้ามามันก็จะดูเหมือนผมแอบฟัง “หนูจีนจัดการเรียบร้อยแล้ว นี่ปู่ก็ว่าจะพักกลางวันสักหน่อย เรื่องรูปเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อได้ไหมหนูจีน” ปู่หันหน้าไปถามจิลลา “ได้แน่นอนค่ะ พักผ่อนเยอะ ๆ นะคะคุณปู่ จีนเป็นห่วงคุณปู่น้า…” น้ำเสียงของเธอหวานมากครับ เวลาจิลลาพูดกับปู่ของผม ช่างแตกต่างกับเวลาพูดกับผมอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันเป็นปี ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหม แต่ความรู้สึกของผมมันบอกแบบนั้น เธอไม่หวานกับผมเหมือนอย่างที่เธอเคยทำ สิบนาทีต่อมา… “ไปกินข้าวกัน แม่บ้านเตรียมไว้แล้ว” ผมคว้ามือของจิลลามาจับไว้ และกระซิบบอกเธอด้วยเสียงแผ่วเบา เนื่องจากผมไม่อยากส่งเสียงรบกวนปู่ที่เพิ่งจะหลับไป จิลลายอมเดินตามผมมาอย่างง่ายดาย คงเพราะเธอเกรงใจปู่ของผมมั้งครับ ที่คิดแบบนั้นเพราะท่าทางของเธอไม่ได้มีความไยดีผมสักนิด เป็นผมที่กลัวว่าเธอจะทิ้ง กลัวว่าเธอจะไปเป็นของคนอื่น ทั้งที่บางทีผมก็รำคาญเธอ รำคาญนิสัยงี่เง่า เซ้าซี้ เอาแต่ใจ แต่พอคิดว่าเธอจะไปเป็นคนของผู้ชายคนอื่น ยิ้มให้ผู้ชายคนอื่น บอกรักผู้ชายคนอื่น ผู้ชายคนอื่นมีสิทธิ์ในร่างกายของเธอทุกอย่าง ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา หงุดหงิดยิ่งกว่าเวลารำคาญที่เธองี่เง่า เอาแต่ใจ จิลลาเธอต้องเป็นของผมคนเดียวสิ! คำว่ารักของเธอต้องมีให้ผมคนเดียว เหมือนคำว่า ‘รัก’ ของผมที่จะมีให้เธอคนเดียวเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้น ซึ่งมันคงไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน “ชอบเหรอ” “อะไรคะ” จิลลาเงยหน้าขึ้นมามองผม เธอคงสงสัยว่าผมหมายถึงอะไร “ข้าวที่กินอยู่น่ะ ชอบเหรอ แม่บ้านบอกว่าเรากินประจำ กินซ้ำแค่เมนูเดียว” ผมขยายความเพิ่ม “ไม่ถึงกับชอบหรอกค่ะ แต่ไม่อยากกินอย่างอื่น ขี้เกียจคิด” “…” แค่ของกินก็ขี้เกียจคิดเหรอวะ หรือที่จริงแล้วเธอหมายถึงอย่างอื่น การเจอกันครั้งนี้ของผมกับเธอมันช่างห่างเหินซะเหลือเกิน เหมือนเธอรัก แต่ก็เหมือนจะไม่รัก หรือเรื่องราวที่เธอลืมเลือนมันจะกลับมาแล้ว? หนึ่งชั่วโมงผ่านไป… ผมกับจิลลาเราแยกกันหลังจากที่กินข้าวเสร็จ บนโต๊ะอาหารเราก็ต่างคนต่างเงียบครับ ผมถามเธอถึงตอบ ถามคำตอบคำ ตอนนี้ผมก็อยู่ห้องผม ส่วนเธอก็หายเข้าไปในห้องของเธอ “กูว่าจีนรู้แน่เลยว่ะ” ผมพูดกับปลายสาย (รู้เรื่องไหนวะ เรื่องมึงนอกกาย แอบเอาผู้หญิงไปเรื่อย หรือเรื่องนั้น…) ไอ้พุกมันถามกลับมา “จีนรู้เรื่องนั้นเมื่อ 5 ปีก่อน หรือจะเรื่องที่กูนอกกายด้วยวะ” ผมเริ่มสับสน เริ่มจะปวดหัว (ไอ้เหี้ยคีย์ มึงกำลังเครียด มึงใจเย็น ๆ ยังไงเมียมึงก็รักมึง) “แต่จีนไม่เหมือนเดิม” (น้องมันอาจจะเหมือนเดิม เพียงแต่มึงนั่นแหละที่ไม่เหมือน…) “ไม่ จีนไม่ใช่จีนคนเดิม ทำไงดีวะ ถ้าจีนรู้เรื่องเมื่อ 5 ปีก่อน” ผมลูบหน้าด้วยความเครียด ถ้าเรื่องนี้เป็นอย่างที่ผมคิดมันคงแย่มากแน่ ๆ (ถ้าเป็นแบบนั้นมึงจะทำยังไงได้ แต่กูว่ามึงอย่าเพิ่งคิดไปถึงนู่นเลย บางทีจีนอาจจะแค่มีคนอื่น หรือไม่ก็คงโกรธที่มึงไม่กลับมาหาเป็นปี ไม่โทรหา ไม่สนใจไยดี ทั้งที่มึงก็มีเวลาทักคุยกับพวกกูตลอด แล้วยังมีเวลาทำอย่างว่ากับผู้หญิงของมึงทุกคน) “ก็ตอนนั้นกูยุ่ง กูเครียด แล้วกูก็ไม่อยากคุยกับคนเอาแต่ใจแบบจีน” (ก็ใช่ไง แล้วมึงจะยังไง จะเอาอะไรอีก จีนก็ไม่งี่เง่า ไม่เอาแต่ใจใส่มึงแล้วไม่ใช่เหรอ หรือมึงรักจีนไปแล้ว) “…” (ถ้ามันพูดยาก แล้วก็กลัวว่าเมียจะหนีถ้าความจำนั้นกลับมา มึงก็ตะล่อมทำเมียไปสิ รอบนี้ก็เบามือหน่อย) “พูดเหี้ยอะไรของมึงไอ้พุก แค่นี้ไอ้ค×ย” ผมกดวางสายอย่างไว ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะขอความคิดเห็นกลายเป็นว่าไม่ได้อะไรที่มีประโยชน์สักอย่าง เพราะอดีตผมเคยเลวกับผู้หญิงคนนี้มาก ๆ ปัจจุบันมันจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมไม่อยาก ‘รักเธอ’ ผมนั่งถอนหายใจออกมาอย่างเคร่งเครียด ไม่ว่าจะความผิดไหน ผมก็ไม่อยากให้จิลลารู้ -ห้องจิลลา- เวลา 14.23 น. “จัดการกับข่าวให้กูหน่อยนะมึง” เสียงเหมือนเธอกำลังพูดกับใครสักคน ผมที่เปิดประตูเข้ามาจึงเดินเข้ามาเงียบ ๆ ส่วนเธอก็ยังไม่รู้ตัวว่าผมเดินเข้ามา (…) “เอ้า ได้ไงวะ แม่งเหี้ยว่ะ” ทำไมคำหยาบของจิลลาถึงมากมายขนาดนี้วะ (…) “กูเห็นแล้วไง ไม่ว่ามันตั้งใจจะทำให้กูเห็น หรือมันไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยออกมาหรือเหี้ยอะไรก็ช่าง มันอยากลองดี เดี๋ยวได้เจอดี แอบกินอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ เสร่อนัก” (…) “เออ เดี๋ยวกูคุยกับ… แป๊บนะมึง” เสียงสนทนาหยุดลงเมื่อผมก้าวเดินเข้ามาสวมกอดเธอไว้ “พูดคำหยาบอะไรมากมายขนาดนี้” ผมหอมที่แก้มและกระซิบถามแผ่วเบา “พี่หมอคีย์มา แค่นี้ก่อนนะป๊อก” (…) “อืม ๆ เดี๋ยวจีนโทรไปเคลียร์ ป๊อกก็เกริ่นไว้หน่อยนะ” (…) “อืม รู้แล้ว ขอบใจ” จิลลาเธอกดวางสาย จากนั้นเธอก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนพยายามเก็บอารมณ์หงุดหงิดไว้กับตัว “คุยกับใคร ทำไมดูหงุดหงิด” ผมต้องเป็นฝ่ายถามเมื่อทุกอย่างมันเงียบ “เพื่อนค่ะ” “คนไหน ทำไมพูดจาหยาบคายแบบนั้นกับเพื่อน” “หนึ่งคนในรูปที่พี่หมอคีย์มีนั่นแหละค่ะ” “ไม่โกหก” ผมถามสั้น ๆ เพราะไม่มั่นใจสักนิดว่าผู้ชายในรูปคือเพื่อนของเธอ “ไม่ใช่คนขี้โกหก ไม่เชื่อก็แล้วแต่” จิลลาหันหน้ามาสบตากับผม “แล้วโมโหอะไร” “…” จิลลาไม่ตอบ ที่เธอทำคือมองหน้าผม มองอยู่แบบนั้น มองเหมือนกำลังตำหนิผมผ่านดวงตาคู่สวยของเธอ “จีน…” ผมเอ่ยเรียกเพราะเธอเดินเข้ามา ทำให้ผมต้องถอยหลัง และนั่นเหมือนเธอจะตั้งใจ เพราะเธอดันแผงอกของผมให้นั่งลงที่เตียง ต่อมาเธอก็คาบคร่อมผมไว้ แขนเรียวเล็กคล้องที่ต้นคอของผม เธอทำทุกอย่างโดยที่ไม่ละสายตาไปจากผมแม้แต่น้อย เรายังคงจ้องตากันอยู่อย่างนั้น วูบหนึ่งของนัยน์ตาคู่สวยฉายแววความเศร้าอย่างเด่นชัด “ทำกันไหม” สามคำที่ออกจากปากของเธอ “ทำอะไร” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ไร้ความรู้สึก “เอากันไหม” “จิลลา!” ถ้ากำลังจะโมโหผมจะเรียกเธอแบบนี้ตลอด และเธอก็จะรู้ว่าผมกำลังจะโมโห “20 ไม่เด็กแล้วนะ” คือคำที่เธอพูดมาเพิ่ม “พี่ไม่เล่น” นี่คือคำเตือนครั้งที่หนึ่ง “จีนก็ไม่เคยเล่น” “ลุกขึ้นจิลลา” นี่คือคำเตือนครั้งที่สอง “จูบได้ไหม” “…” “จีนขอจูบพี่หมอคีย์ได้ไหม” คือคำขอ ไม่ใช่คำสั่งเหมือนที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมา เธอมักออกคำสั่งตลอด อยากได้อะไรเธอก็สั่ง สั่ง สั่ง สั่ง และสั่งให้ผมทำให้เธอ ‘กอดจีนค่ะพี่หมอคีย์' เมื่อประมาณสามปีก่อนเธอมักพูดแบบนี้ และผมก็กอด ตามที่เธอสั่ง ไม่ทำเธอก็จะงี่เง่ายิ่งกว่าเดิม ‘จูบจีนค่ะพี่หมอคีย์’ ‘ไม่ได้ ข้อนี้ไม่ได้’ ‘แต่จีนจะจูบ จีนเป็นคู่หมั้นนะ’ ‘ไม่จูบ พี่ไม่จูบจีน’ ‘พี่คีย์!’ ‘จิลลา!’ เป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่ทำ และผมไม่ทำกับใครทั้งนั้น ผมไม่ได้อคติอะไร เพียงแต่ผมหยุดจูบผู้หญิงมา 5 ปีแล้ว กระทั่งเมื่อวาน ที่ผมจูบกับเธออีกครั้ง “ไม่ต้องขอ จีนอยากจูบ จีนก็จูบ” ผมให้คำตอบกับคนตรงหน้า ผมพร้อมที่จะจูบเธอแล้ว แต่มากกว่านั้นผมคงไม่พร้อม และเธอก็คงไม่พร้อมเช่นกัน ไม่พร้อมกับผม แต่เธออาจจะพร้อมกับบรรดาผู้ชายของเธอมั้ง “…” ผมมองเห็นรอยยิ้มเล็กที่มุมปากของเธอ แววตาเธอดูดีใจชั่วขณะ จากนั้นก็กลับมาจ้องหน้าของผมอย่างเรียบนิ่งเหมือนเคย ผมยกมือขึ้นมาปัดปอยผมทัดที่ใบหูให้จิลลา จากนั้นก็จูบลงที่หน้าผากของเธอ เลื่อนต่ำลงมาที่จมูก และต่ำลงมาที่ริมฝีปากแดงระเรื่อ ริมฝีปากที่เคลือบแค่ลิปมัน ไม่แต่งแต้มสี แต่ปากเธอมันน่าจูบเสมอ ผมประกบปากจูบกับเธอ จิลลาเธอนิ่ง ภายในห้องเงียบงันจนได้ยินเสียงหัวใจของคนตัวเล็กที่เต้นแรงจนจับจังหวะไม่ทัน ผมชอบที่สุดสำหรับเวลาอยู่ใกล้เธอคือเสียงการเต้นของหัวใจ การเต้นของหัวใจที่แรงผิดจังหวะของเธอ ที่ผมชอบ เพราะนั่นหมายความว่า ‘เธอยังรักผม’ มันคือสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งความเชื่อที่มีน้อยนิดได้ในตอนนี้ เชื่อได้ว่าหัวใจจิลลายังเป็นของผม ‘ยังจูบไม่เป็นเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด’ คือสิ่งที่ผมคิดและค่อย ๆ ลูบสันกรามของเธอให้เผยอกลีบปากรับกับกลีบปากของผม สอดลิ้นเข้ามาในปากของเธอ ขบดึงกลีบปากล่างบนอย่างแผ่วเบา เมื่อวานก็แค่การประกบปาก ไม่มีสอดแทรกแลกลิ้นหรืออะไรทั้งนั้น ปากของเธอยังคงหวานเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด ที่จะต่างก็ตรงที่ไม่มีรสเค็มของน้ำตา ครั้งนั้นคือจูบที่ปะปนด้วยน้ำตา แต่ครั้งนี้คือจูบรสหวานที่ผมอยากลิ้มลองมากกว่าเดิม อยากจูบซ้ำ ๆ อยากกลืนกินเธอทั้งตัว จูบเนิ่นนานจบลงเพราะผมรู้สึกว่าเธอจะหายใจไม่ออก ผมจึงจำต้องถอนจูบออกอย่างนึกเสียดาย เรามองสบตากันนิ่ง ๆ ไม่มีรอยยิ้มหรือความโหยหาให้กัน จิลลาหลับตาลงหนึ่งครั้งและลืมตาขึ้น จากนั้นเธอก็ซบหน้าลงซอกคอของผม โอบกอดต้นคอของผมไว้แน่น “จีนรักพี่หมอคีย์นะคะ รัก รักมาก” คือคำบอกรักก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง ไร้เสียงตอบรับจากผม เหลือเพียงเสียงหัวใจของเธอที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ถ้าเธอสังเกตสักนิด เธอคงจะรู้ว่าคลื่นหัวใจของผมก็เต้นแรงไม่ต่างจากเธอ มันเพิ่งจะเริ่มเต้นแบบนี้ หลังจากที่เราจูบกันเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ‘จีนจะยังรักพี่อยู่ไหม ถ้าหากว่าความจำที่หายไปกลับคืนมา ถึงตอนนั้นพี่ยังจะเป็นคนเดียวที่จีนรักอยู่ไหม’ นั่นคือคำถามที่ผมอยากจะถาม แต่ไม่มีความกล้าที่จะถามออกไป ผมดูเป็นคนขี้ขลาดใช่ไหมครับ ใช่ มันคือเรื่องจริง ผมก็คิดแบบนั้น ผมถึงไม่กล้ารัก ไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าอะไรกับเธอทั้งนั้น เพราะกลัวว่าสักวันเธอจะจำเรื่องเลวร้ายที่ผมเคยทำกับเธอ ถ้าเกิดมีวันนั้นขึ้นมาจริง ๆ ผมก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงกับเธอ และเธอจะทำยังไงกับผม แล้วถ้าเกิดวันข้างหน้าที่เธอรู้ บังเอิญว่าผมรักเธอจนหมดหัวใจ ผมควรจะรับมือยังไง อยู่ชดใช้งั้นเหรอ ? -END KEY-
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD