-ร้านสัก JINLA-
เวลา 22.59 น.
-JINLA TALK-
“ใครส่งอะไรมาอะป๊อก” ฉันร้องถามป๊อกหลังจากที่วานให้มันกดดูให้ว่าใครส่งอะไรเข้ามา ทำไมถึงมีแจ้งเตือนดังขึ้น
ที่เพื่อนจับต้องมือถือได้ เพราะฉันไม่มีความลับกับพวกนี้อยู่แล้วไงคะ
“พี่หมอคีย์ของมึงอะ บอกว่าพรุ่งนี้จะมารับตอน 5 โมง มึงต้องว่าง”
“บ้าบอรึเปล่าวะ เมื่อเย็นชวนกูดูหนัง อารมณ์เหมือนอ้อนกู กูว่าป่วยแน่ ๆ” ฉันเล่าให้เพื่อนฟัง พลางยืนติดผนังกำแพงด้วยวอลเปเปอร์
กำแพงที่ว่าก็คือร้านสักของฉันนี่แหละค่ะ ทุกอย่างคือทำเองหมด ไม่ผ่านช่าง คนที่ช่วยก็คือสหายทั้งห้า ส่วนน้าจามีคิวสักให้ลูกค้า และมีหน้าที่แค่จัดหาอุปกรณ์มาให้ฉัน พูดง่าย ๆ ก็คือ…น้าจาไม่ว่างมาช่วย
“พี่คีย์เนี่ยนะอ้อนมึง มึงเมาค้างรึเปล่าจีน” ไอ้ปิง ไอ้หมาบ้านี่มาหาว่าฉันมั่ว มันต้องกำลังคิดว่าฉันหลงตัวเองอยู่แน่ ๆ
“กูก็อยากจะเมาค้าง แต่ข้อความที่ส่งมาคือชัดเจนไหมมึง มีถามกูด้วยว่ากูมีคนอื่นเหรอ หน้ากูเหมือนมีคนอื่นเหรอวะ”
“หน้ามึงเหมือนไหมไม่รู้ แต่มึงแค่เปลี่ยนไป นั่นทำให้พี่คีย์เอะใจ” ไอ้เปรยมันพูดขึ้นบ้าง ตอนนี้มันอยู่อีกมุมของห้อง แต่ดันหูดี ขี้เสือกจริง ๆ
“เขาควรดีใจนะ ที่กูเหินห่าง แล้วคือตอนที่เขาเห็นรอยสัก หน้าเขาเหมือนเดือดมากเลยนะ”
“กูว่าตกใจ คงไม่คิดว่าจิลลาคนดีจะทำอะไรแบบนี้ ต่างกับคนเก่าราวฟ้ากับเหว” ไอ้ปลื้มที่นั่งดื่มไม่ช่วยห่าเหวอะไรสักอย่างพูดขึ้นบ้าง
“ส่งกลับไหมมึง” ไอ้ป๊อกตั้งท่าจะกดมือถือ
“ไม่ต้องอะ ไม่อยากเฟค เบื่อ” มันคือเรื่องจริง ที่ฉันรู้สึกโคตรเฟคเวลาที่อยู่ใกล้ หรือได้พูดคุยกับพี่หมอคีย์
“เบื่อยังไงก็ต้องเจอ” ไอ้ปองเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเครื่องดื่มคลายเครียดอีกมากมาย
“ไปนานนะมึง ไปเย็×เด็กเซเว่นเหรอ” นี่ไม่ใช่คำพูดของฉันหรอกค่ะ เพราะถึงฉันจะหยาบ แต่ยังไม่ถึงขั้นนั้น อันนี้เป็นคำพูดของผู้ชายที่มันทักทายกันค่ะ
“รู้ได้ไงวะ”
“แหม่ะ ไม่รู้ได้ไง สันดานมึงทั้งนั้น”
“ง่วงนอนอะมึง กูขอนอนก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าจะลุกมาช่วย” ฉันพูดจบก็เดินมาล้มตัวนอนที่โซฟาเลยค่ะ
มันก็ไม่ดึกหรอก แต่คงเป็นเพราะฉันนอนดึกติดต่อกันมาหลายวัน วันนี้ร่างกายก็เลยไม่ไหว
“มึงนี่นะ คุณหนูจิลลา หมอนผ้าห่มก็ไม่หา ต้องพวกกูตลอดใช่ไหมวะที่ดูแล” หัวของฉันถูกยกขึ้นอย่างเบามือ และถูกวางลงให้สัมผัสกับหมอนนุ่ม ด้านตัวก็มีผ้าห่มมาห่มให้
“รักห้าเหี้ยนะ” ฉันพึมพำก่อนจะปล่อยสติให้หลุดลอย
ฉันนอนค้างกับพวกมันบ่อย และมักปลอดภัยเสมอ มันคงสงสาร หรือไม่ก็ทำไม่ลง ฉันก็เลยไม่เคยโดนพวกมันทำเรื่องไม่ดีใส่
และที่ไว้ใจขนาดนี้เพราะพี่ทิวคัดมาแล้ว บวกกับระยะเวลาที่เป็นเพื่อนกัน มันพิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่าง
ฉันมั่นใจว่านี่แหละเพื่อนแท้ของฉัน เพื่อนแท้ที่ได้มาโดยพี่ชายจัดหามาให้
เช้าวันรุ่งขึ้น…
“งื้อออ หอมโอวัลติน ไอ้เปรย… มึงใช่ไหม” ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่ง โดยที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ แต่กลิ่นหอมของโอวัลตินมันฟุ้งเข้ามาในจมูก
“จะกินโอวัลตินหรือโจ๊ก” เสียงของไอ้เปรยเอ่ยถาม
“ขอสองอย่างนะ หิวอะ” ฉันบอกและลืมตาขึ้น
“หิวทั้งที่ตายังไม่ลืมเนี่ยนะ”
“ไม่ควรแขวะเพื่อนนะปิง แล้วเมื่อคืนถึงไหนกันแล้วอะ หรือพวกมึงพากันเมาแล้วไม่ได้งาน”
“ได้ต่ออีกนิด จากนั้นพวกกูก็เมานอน ตื่นมาหาของแดกนี่ไง” ไอ้เปรยตอบ ฉันจึงมองไปรอบห้อง มีแค่ไอ้เปรยกับไอ้ปิงที่ตื่น ส่วนอีกสามยังเป็นศพอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่กว่าที่ฉันนอน
“มัวแต่เมา แล้วจะเสร็จไหมวะ นี่มันเป็นอาทิตย์แล้วนะที่เราทำกันอยู่เนี่ย” ฉันเริ่มบ่น เริ่มท้อ จะให้ช่างมาทำพี่ชายทั้งสองของฉันก็ไม่ยอม บอกว่ามันอันตรายเกินไป
“จะทำไงได้ ก็เฮียเขากลัวคนมารู้ซอกมุมของร้าน เราก็เลยต้องทำเอง มึงจะรีบทำไมจีน ค่อย ๆ ทำไปก็ดีนี่หว่า” ไอ้เปรยวางของกินลงตรงหน้าฉัน
“ก็มันเสียเวลาพวกมึง ดูดิ ต้องมานอนเมากันอยู่แถวนี้ แทนที่จะได้นอนที่บ้านกันดี ๆ” ฉันบอกพร้อมกับปรายสายตามองเพื่อน
“ทำเหมือนเพิ่งจะเป็นเพื่อนกัน ทั้งที่พวกกูก็เมาแบบนี้บ่อยไป คิดมากน่ามึง ทำเองน่ะดีแล้ว เวลามึงเบื่อ มึงจะได้ย้อนคิดว่า เฮ้ย นี่เพื่อนกูช่วยทำแทบตาย กูจะเบื่อเร็วขนาดนี้ไม่ได้” ฉันเบื่อไอ้เพื่อนชั่วที่มันชอบรู้ทันซะจริง
“ไอ้ปลื้ม มึงจะบ่นกูทั้งที่มึงยังหลับอยู่แบบนี้มันเกินไปนะ” ฉันหันไปตามเสียงที่พูดขึ้นมาเลยค่ะ ไอ้นี่มันขยันหาเรื่องบ่นฉันจริง ๆ
“กูบ่นทุกเรื่อง แต่ไม่เคยเข้าหูมึงนะ” ไอ้ปลื้มมันว่า และลุกจากโซฟา เดินเข้าห้องน้ำ ด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงยีนส์ ซิกแพคอย่างสวย ท่วงท่าที่เดินเสริมสง่าราศี
“นั่นเพื่อนนะจีน เช็ดน้ำลายหน่อย” ไอ้ปิงมันแซวพร้อมยื่นกล่องทิชชู่มาตรงหน้าฉันด้วย
“มึง เดี๋ยวเถอะ” ฉันหยิบกล่องทิชชู่แล้วตั้งท่าจะโยนใส่ไอ้ปิง
คือเอาจริง ๆ เพื่อนที่อยู่ในสภาพการตื่นนอนแบบนี้ ฉันเห็นจนชินตา และพวกมันก็หล่อ ๆ กันทั้งนั้น หล่อกระโชกโฮกฮากมาก ถ้าคนอื่นเห็นก็คือกรี๊ดกร๊าดอะค่ะ
แต่ฉันเห็นก็…แอบเขินนิดหน่อย ที่ได้เห็นของล่อตาล่อใจ ไอ้พวกเพื่อนบ้ามันหล่อกระชากใจกันทุกคน แต่มันไม่มีแฟนกันสักคน
เวลา 15.51 น.
“ไม่กลับบ้านไปเตรียมตัวจีน” เสียงไอ้ป๊อกร้องทักขณะที่ฉันกำลังนั่งวาดแบบรอยสักที่คิดขึ้นมาได้ ส่วนพวกเพื่อน ๆ ยังคงช่วยกันติดตกแต่งห้องทำงาน
ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ เพราะมันใหญ่มาก และมีสามชั้น ต้องทำทั้งสามชั้น ชั้นแรกคือร้านสัก ชั้นสองห้องนั่งเล่นนั่งดื่มกับเพื่อน พูดง่าย ๆ ก็ห้องที่มีไว้เมา ส่วนชั้นสามห้องนอนชั่วคราว เวลาที่ฉันขี้เกียจกลับบ้านยาย ทุก ๆ ห้องเราจะต้องทำกันเอง เพราะพี่ทิวกับพี่เคลิ้มกลัวพวกช่างจะสวมรอยย้อนหลัง
“ไปไหนวะ” ฉันเอ่ยถามและเงยหน้าจากแผ่นกระดาษก็ได้เห็นสายตาเอือมระอาในตัวฉันมองมาทั้งหมด 5 คู่
“ก็คู่หมั้นมึงไง เขาบอกจะมารับมึง 5 โมงที่บ้านยาย เมื่อคืนตอนมึงหลับก็โทรมา” ไอ้ปองขยายความ
“โทรมาทำไมวะ บ้าบอ” ฉันทำเสียงหงุดหงิดพร้อมขมวดคิ้ว
“แล้วมึงไปนอนบ้านเขากี่วันวะ” ไอ้เปรยเอ่ยบ้าง
“นี่ ๆ อย่าพากันคิดลึก กับพี่หมอคีย์ไปนอนบ้านเขาก็จริง แต่นอนคนละห้องจ้ะ แล้วกูกับเขามากสุดก็แค่จับมือจับหน้า เอนซบนิด ๆ ไม่มีมากกว่านั้นจ้ะ” ฉันรีบพูดเพราะรู้ทันสายตากรุ้มกริ่มของพวกเพื่อน
“ร้อนตัวนะมึง”
“เรื่องจริงเถอะไอ้ปลื้ม” ฉันตั้งท่าจะกัด
“พอ ๆ รีบไปเตรียมตัวเถอะจีน แล้วถ้ามีอะไรก็ทักมา” ไอ้ปิงรีบห้าม
“อืม ๆ ไปก่อนนะ ป่านนี้คุณปู่ของพี่หมอคีย์คงนั่งรออยู่หน้าบ้านแล้ว” ฉันบอกและเก็บของใส่เก๊ะใต้โต๊ะ
“ปู่พี่คีย์ก็รับได้เนอะ สภาพมึงเปลี่ยนขนาดนี้” ไอ้ปลื้มมันเริ่มบ่นอีกแล้ว
“จิลลาคนดี ใคร ๆ ก็รัก โอ๊ย ! ไม่เถียงด้วยแล้ว ฝากร้านด้วยนะพวกมึง ถ้ายังไงเดี๋ยวกูทักมา” ฉันพูดและลุกจากเก้าอี้
จากนั้นไอ้ปองก็เป็นคนมาส่งฉันค่ะ พวกนี้มันได้รับคำสั่งจากพี่ทิวว่าอย่าให้ฉันขับรถไปไหนคนเดียว ก็เลยต้องคอยไปรับไปส่ง เวลาที่ฉันอยากจะไปไหน
20 นาทีต่อมา…
“ส่งแค่นี้ก็พอปอง รถพี่หมอคีย์จอดอยู่หน้าบ้าน” ฉันรีบบอกเพื่อนเมื่อทอดสายตาไปเห็นรถของคู่หมั้นตัวเอง
“เออ ถ้ายังไงทักมา โทรศัพท์ใส่รหัสไว้ให้แล้ว”
“เจ้าค่ะ ขับรถดี ๆ นะมึง ไปละ” ฉันฉีกยิ้มหลังจากที่เช็กโทรศัพท์มือถือเรียบร้อย การใส่รหัสผ่าน ก็เพื่อป้องกันอะไรก็ไม่รู้ เพื่อนของฉันมันเป็นโรคหวาดระแวงไปทุกอย่างเหมือนพี่ทิว
“นั่นไงไอ้ซ่าของยายมาแล้ว” เมื่อเดินเข้าบ้านยายก็เอ่ยทักทันที คู่สนทนาของยายคือพี่หมอคีย์
“อะไรคะยาย ซ่าอะไร จีนไม่ได้ซ่า” ฉันเดินเข้าไปหอมแก้มของยาย ฉันมักทำแบบนี้ประจำไม่ว่าจะก่อนที่ความทรงจำจะกลับมา หรือตอนนี้ที่ความทรงจำกลับมาแล้ว
“คีย์มารอนานแล้ว รีบไปเก็บเสื้อผ้า ป่านนี้ปู่ของคีย์คงตั้งตารอแล้ว” ยายรีบบอกเลยค่ะ รายนี้ไม่ชอบให้ใครรอนาน ๆ
“ค้างจนกว่าพี่จะกลับนะจีน” พี่หมอคีย์พูดขึ้น
“กี่วันคะ ตอนแรกพี่หมอคีย์บอกว่าจะอยู่หนึ่งอาทิตย์ แต่เห็นว่างานยุ่ง จะกลับก่อน กลับวันไหนคะ”
“พี่อยู่สองอาทิตย์”
“ห๊ะ!?!” ให้ห๊ะเถอะค่ะ ไหนว่ารีบกลับ อะไรของเขา
“แต่จีนไม่ไปอยู่นานขนาดนั้นหรอกนะคะ” จะไปทนเห็นหน้านาน ๆ ได้ยังไง ฉันมันคนจุดเดือดไม่ปกติ
“ยัยจีน พูดแบบนี้ได้ยังไง คีย์อุตส่าห์ไปขนงานมาทำที่บ้านปู่ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ เรา เพราะเห็นว่าไม่ได้เจอกันเป็นปี แทนที่จะดีใจ”
เดี๋ยวนะ! ที่ยายบอกนี่คืออะไร พี่หมอคีย์กลับไปขนงานมาทำที่บ้านปู่ของเขาเนี่ยนะ
“เดี๋ยวจีนไปเก็บเสื้อผ้าก่อนนะคะ คุณปู่จะได้ไม่รอนาน” ฉันพูดเมื่อมองหน้าพี่หมอคีย์แล้วเขาเฉย
บ้าบอ เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
-บนรถ-
“เมื่อคืนพี่โทรหา ทำไมเราไม่รับ” แล้วก็เกิดคำถามขึ้น เมื่อรถขับออกจากหน้าบ้านของยาย
“จีนหลับ”
“กดอ่านไลน์พี่ แต่ทำไมไม่ตอบกลับ”
“จะให้ตอบว่าอะไรคะ จีนก็รับรู้แล้วก็มาแล้วนี่ไง ว่าแต่พี่หมอคีย์อะ ไหนบอกว่าจะไม่อยู่นาน แล้วไหงไปขนงานมาทำที่บ้านคุณปู่”
“เราพูดเหมือนไม่อยากให้พี่อยู่ใกล้ ทั้งที่เมื่อก่อนโทรอ้อนให้พี่มาหาตลอด”
“…” แปลกไหมคะ ฉันว่าแปลกนะ
“อยากซื้ออะไรก่อนเข้าบ้านไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ตามใจ แล้วนั่นคุยกับใคร”
“น้าจาค่ะ” ก็น้าจาทักมาไง ไม่ได้โกหกสักหน่อย
“ข้ออ้างรึเปล่า เมื่อวานก็น้าจา น้าหลานคุยกันทั้งวันเลยหรือไง”
“ตัวก็ไม่ร้อน หรือกินอะไรผิดสำแดงรึเปล่าคะ” ฉันยื่นมือไปแตะอังที่แก้ม และเลื่อนลงมาจับที่แขน ก็ไม่มีความร้อนที่ผิดปกติ
แต่ทำไมมีอาการประหลาด
“ไม่ได้กินอะไรผิด นั่งเฉย ๆ จีน” พี่หมอคีย์จับมือของฉันไปประสานวางไว้ที่ตักของตัวเอง
เมื่อก่อนฉันชอบทำแบบนี้ เวลาที่นั่งรถไปไหนต่อไหนกับเขา ฉันมักยื่นมือไปจับมือเขาและวางไว้ที่ตักเขา
แต่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่มั่นใจว่ายังชอบอยู่ไหม แต่ใจก็เต้นแรงทุกรอบที่แตะเนื้อต้องตัวเขานะ