ปกติฉันจะให้คนขับรถมาส่งที่มหาลัย แต่วันนี้อยากเอารถมาเอง กะว่าจะไปรับไลลาที่บ้านเพื่อมาเรียนพร้อมกัน แต่ว่าฉันต้องมาเห็นฉากกุ๊กกิ๊กของเพื่อนกับผู้ชายที่ฉันแอบรักตั้งแต่ปีหนึ่งแทน
“หึ เจ็บดีไมล่ะเฌอรีน” ฉันพึมพำกับตัวเอง
แบบนี้คงหายดีแล้วล่ะ ได้ยาดีขนาดนั้น ฉันเหยียบคันเร่งออกมาจากหมู่บ้านของเพื่อนทันที ใช่ว่าฉันดูไม่ออก ฉันรู้...ว่ามิโน่รู้สึกยังไงกับไลลา
คืนนั้นเป็นวันเกิดของมิโน่ ฉันลงทุนซื้อนาฬิกาสุดหรูให้ หวังว่ามิโน่จะเห็นฉันอยู่ในสายตาบ้าง แต่ก็เปล่าเลยเขาไม่เคยสนใจฉันเลย ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไลลาเลยสักนิดแถมดีกว่าด้วยซ้ำ
ไลลาก็แค่เด็กต่างจังหวัดบ้านก็ไม่ได้รวยอะไร ส่วนฉันเป็นถึงลูกผู้ดีมีเงิน แต่ก็สู้อะไรเธอไม่ได้เลย แต่แล้วโชคชะตาก็เข้าข้างฉันบ้าง วันนั้นฉันโดนไอ้ชั่วสองตัวนั่นมอมยา ฉันคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่ ๆ ยังดีที่มิโน่เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน พอได้เห็นหน้าคมเข้มของมิโน่บวกกับฤทธิ์ยาและเหล้ามันทำให้ฉันอดใจไม่ไหว
ฉันได้ยินมิโน่เอ่ยชื่อไลลา ฉันมองหน้าเขาอย่างงุนงง นี่เขาคิดว่าฉันเป็นไลลาเหรอเนี่ย แต่ก็ชั่งมันเถอะ ตอนนี้เขาอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่มีทางปล่อยไปแน่ ฉันมีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็ต้องหยุดไว้แค่ตรงนั้นเมื่อมิโน่พูดประโยคถัดมา
“อย่าได้พูดเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะไลลา”
เหมือนมีใครเอาไม้หน้าสามมาฟาดที่หัวฉัน หัวใจเหมือนถูกเขาบีบแตกละเอียด แต่มีเหรอที่คนอย่างเฌอรีนจะยอม เมื่อคุณหนูเฌอรีนอยากได้อะไรแล้ว ก็ต้องได้!
หลังจากวันนั้นฉันพยายามทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงฉันจะอยากได้มิโน่แค่ไหนแต่ฉันก็ไม่ได้โง่พอที่จะปล่อยให้ตัวเองท้องหรอกนะ เพราะถ้าฉันพลาดขึ้นมา มีคนรอซ้ำเติมอยู่
ฉันขับรถมารอเพื่อนที่มหาลัยนั่งรอได้สักพัก ไลลากับมิโน่ก็มาถึง สองคนนั้นเดินจับมือกันมาทำให้ฉันเผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไป แต่ก็นั่นแหละ ฉันต้องทำเป็นไม่สนใจ พอเรียนเสร็จฉันก็บึ่งรถกลับบ้านทันที
บ้านแสนใหญ่โตที่มีเพียบพร้อมทุกอย่างแต่มันก็เป็นเพียงแค่วัตถุที่ผู้คนต่างชื่นชมเป็นครั้งคราวไม่ได้สร้างความสุขให้ฉันเลยสักนิด ความสุข ความอบอุ่นมันหายไปพร้อมกับคุณนายคนเก่าของบ้านนี้แล้ว
แม่ของฉันประสบณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ท่านจากไปในเวลาอันรวดเร็ว แม่จากไปไม่ถึงเดือนพ่อก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้านพร้อมกับลูกสาวของมัน จากนั้นมาพ่อก็ไม่สนใจฉันอีกเลย
“กลับมาแล้วเหรอ เฌอรีน”
“ค่ะ” ฉันเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาข้างพ่อ
“อาทิตย์หน้าพ่อจะไปอังกฤษ ไปด้วยกันไหม”
“ไปสิค่ะ” ฉันกระโดดกอดแขนพ่ออย่างออดอ้อน “แล้วเราจะไปกันกี่วันคะ” ฉันถามพ่อด้วยความตื่นเต้น
“สองอาทิตย์ พ่อว่าจะไปหาที่เรียนให้หนูแพทตี้เขาด้วย”
ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อพูด
“อะไรนะ! นี่พ่อจะส่งยัยแพทตี้ไปเรียนที่อังกฤษเหรอ” ฉันยืนขึ้นตะโกนถามพ่อด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“นี่แกจะเสียงดังทำไม ถ้าแกอยากไปเรียนที่อังกฤษเหมือนหนูแพทตี้ก็บอกฉันมาตรงๆ”
นี่พ่อคงคิดว่าฉันอิจฉายัยแพทตี้สินะ พ่อไม่เคยสนใจใยดีฉันเลย ไม่สนความรู้สึกของฉันสักนิด สนแต่ลูกคนอื่น
“งั้นก็เชิญพ่อไปกับครอบครัวพ่อเถอะค่ะ” ฉันบอกพ่อด้วยความน้อยใจ
“นี่แกอย่าเรื่องมากได้ไหม คุณแอนเขาอุตส่าห์ให้ฉันมาชวน”
ยิ่งได้ยินคำพูดของพ่อยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกยังไงก็ไม่รู้
“อ๋อ ถ้าเมียพ่อไม่บอกให้มาชวน พ่อก็คงไม่มาชวนเฌองั้นสินะ”
หลงผู้หญิงจนลืมลูกไปแล้วผู้ชายคนนี้ แทนที่จะสนใจลูกตัวเองกลับไปสนใจลูกติดเมียแทน
“แล้วแกจะเอาไง จะไปหรือไม่ไป” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เอะอะ อะไรกันคะคุณ” เสียงคุณนายแอนภรรยาคนใหม่ของพ่อ
“นั้นสิคะ เสียงดังจนแพทตี้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วค่ะคุณลุง”
“ก็ยัยเฌอรีนนะสิ อุตส่าห์พูดด้วยดีๆ กลับมาทำเสียงดังใส่” พ่อหันไปฟ้องเมียตัวเอง
“อ้าว ทำไมหนูเฌอรีนทำตัวไม่น่ารักกับคุณพ่อละคะ” พูดจบมันก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยมาให้ฉัน
“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าเสือก!” ฉันตอบกลับด้วยความโมโห
“ยัยเฌอรีน พูดอะไรน่ะ ขอโทษคุณแอนเดี๋ยวนี้นะ!” พ่อออกคำสั่ง
“นั้นสิคะ ทำไมพี่เฌอรีนพูดจาไม่น่ารักเลย” แล้วมันก็แอบหัวเราะคลิกคักกันสองแม่ลูก มีแต่พ่อฉันนั้นแหละที่ตาบอดมองไม่เห็น
“สะเออะ!” ฉันหันไปตะหวาดยัยแพทตี้
สองแม่ลูกรีบทำหน้านหน้าหง่อยๆ ให้ดูน่าสงสารเพื่อให้พ่อของฉันเห็นใจและมันก็ได้ผลด้วย
“ขอโทษคุณแอนกับหนูแพทตี้เดี๋ยวนี้ เฌอรีน!” พ่อเริ่มเสียงดังขึ้น แต่ตอนนี้ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว
“ไม่! ทำไมเฌอต้องขอโทษนังปริงสองตัวนี้ด้วย มันก็แค่อีพวกหิวเงินหาจับคนรวยไว้สูบเงินเล่น คอยดูเถอะ เดี๋ยวพวกมันก็สูบพ่อจนหมดตัว” ฉันตะโกนเถียงออกไปอย่างเหลืออด
เพี๊ยะ!
ตั้งแต่ฉันเกิดมาพ่อยังไม่เคยตีฉันสักครั้งเลย พ่อตบฉัน นี่เขาเห็นนังสองแม่ลูกนั่นดีกว่าฉันงั้นเหรอ
“เฌอ พ่อ ขอ...” ฉันหันหน้ากลับไปมองพ่อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“เฌอเกลียดพ่อ ได้ยินไหมว่าเฌอเกลียดพ่อ!” ฉันวิ่งออกมาจากบ้านเดินตรงไปยังรถคู่ใจรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งแล้วบิดกุญแจสตาร์ทรถเหยียบคันเร่งออกจากบ้านทันที
ขับออกมาเรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง แล้วฉันก็มาจอดอยู่ที่หน้าร้านอาหารแถวบ้านมิโน่พอดี ร้านนี้เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีต้นไม้เล็กใหญ่ประดับอย่างลงตัว เห็นแล้วรู้สึกสดชื่นดีจัง
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามิโน่ หวังว่าเขาจะรับสายนะ
“มีไร” เสียงมิโน่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉันอยู่ร้านเหล้าแถวบ้านนาย มาหาฉันหน่อยสิ”
“ทำไมฉันต้องไป”
“ก็ฉัน...เป็นเพื่อนนายไง” ฉันบอกเขาไป ถึงแม้ในใจอยากจะเป็นมากกว่านั้นก็ตาม
มิโน่กดวางสายไป เขาจะมาไหมนะ?
ฉันนั่งดื่มเหล้าสักพักก็มีผู้ชายผิวเข้มหน้าคมเดินมาหาฉันที่โต๊ะ เขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับฉัน เขามา...ดีใจจัง ฉันรีบชงเหล้าแล้วส่งให้เขา มิโน่รับแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
“ขอบคุณนะ” ฉันบอกมิโน่พร้อมกับชงเหล้าให้อีก
“เรื่อง?” มิโน่เลิกคิ้วขึ้นทำหน้าสงสัย
หน้ารักจัง
“ที่ยอมออกมาหาฉัน” ฉันยิ้มหวานส่งไปให้มิโน่ แล้วก็ต้องชะงักกับคำพูดของเขา
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนิ” พูดจบมิโน่ก็ยกแก้วเหล้าดื่มหมดแก้ว
“นั้นแหละ” ฉันหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ
เหอะ! ฉันน้อยใจนะ ย้ำอยู่นั่นแหละ
“แล้วหน้าไปโดนอะไรมา”
ตาคมเพ่งเล็งมาที่ใบหน้า ฉันจึงยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ พอโดนแตะความเจ็บก็แล่นแปล๊บจนต้องนิ่วหน้า
“ทะเลาะกับพ่อน่ะ” ฉันบอกมิโน่ตามความเป็นจริง
“ถึงขนาดต้องลงไม้ลงมือเลยเหรอ”
“งั้นมั่ง” ฉันไม่รู้จะบอกยังไงเหมือนกัน “ขอฉันนอนด้วยสิ”
“ทำไม” มิโน่เลิกคิ้วถาม ท่าทางกวนโอ๊ยจริงๆ
“ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน”
“งั้นไปนอนกับไลลา” มิโน่เสนอ
“ปานนี้บ้านไลลาเข้านอนกันหมดแล้วมั้ง” ตอนนี้มันดึกมากแล้วด้วย
“เฮ้ออ” มิโน่ถอนหายใจ
“ถ้านายลำบากใจก็ไม่เป็นไร ฉันนอนในรถก็ได้”
“เอากุญแจรถมา”
จู่ ๆ มิโน่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วถามเอากุญแจรถ พอฉันยื่นกุญแจให้เขาก็เดินออกจากร้านทันที ฉันวางเงินค่าอาหารไว้ที่โต๊ะแล้วรีบลุกขึ้นเดินตามมิโน่ไป
มิโน่ขับรถของฉันมาจอดที่หน้าบ้านเขา ฉันมองเข้าไปในบ้านไร้เสียงใดใด บ้านเขาเงียบจัง มิโน่เปิดประตูรถลงไปยืนเต็มความสูง เขามองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านข้างๆ ไฟห้องของไลลายังเปิดอยู่ สายตาความห่วงหาอาทรนั่น...ฉันอยากให้มิโน่มองฉันแบบนั้นบ้าง
“เธอไปนอนห้องฉัน เดี๋ยวฉันจะนอนที่โซฟา” มิโน่หันมาบอกเมื่อเราเดินเข้ามาให้บ้านแล้ว
“ทำไมล่ะ”
“ไม่น่าถาม” มิโน่ตอบสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ไว้ใจฉันเหรอ” ฉันถามออกไปพร้อมกับแววตาขบขัน มิโน่ทำหน้านิ่ง จนฉันต้องเลิกพูดเล่น
“แล้วห้องนายอยู่ไหนล่ะ จะให้ฉันขึ้นไปหาเองเดี๋ยวก็เข้าห้องพ่อแม่นายหรอก”
มิโน่เดินนำทางฉันไปยังชั้นสองของบ้าน เขาเปิดประตูห้องที่อยู่สุดทางเดินระเบียงในบ้าน ภายในตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลอ่อน เฟอนิเจอร์ครบคันเข้ากับสีผนัง ฉันหันกลับไปมองมิโน่ซึ่งเขากำลังจะลงไปข้างล่าง
“เออ มีชุดให้ฉันเปลี่ยนไหม” ฉันรีบทักท้วงไว้ก่อนที่เขาจะลงไป มิโน่หันกลับมาแล้วถอนหายใจเดินไปยังตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ออกมาให้ฉัน มิโน่ทำท่าจะเดินออกไปอีกฉันรีบวิ่งไปขว้างประตูไว้
“อะไร” มิโน่ทำสีหน้าหงุดหงิดเต็มทน
“นี่นายดูไม่ออกจริงๆ เหรอ มิโน่” ฉันแสดงออกขนาดนี้แล้วนะ
“เธอจะพูดอะไร” มิโน่ยืนมองหน้าฉันนิ่ง
“ฉันชอบนาย”
ในที่สุดฉันก็ได้พูดออกมาสักที มิโน่ยืนจ้องหน้าฉันนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“ฉันรู้ ว่านายไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน อีกไม่กี่วันก็จะรับปริญญาแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เจอนายอีกไหม ฉันขอล่ะ ช่วยอยู่กับฉันก่อน ให้ฉันได้มีความสุขเก็บไว้เป็นความที่จำ ได้ไหม...”
ฉันเอื้อมมือไปจับมือมิโน่ซึ่งเขาไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ฉันส่งสายตาอ้อนวอนหวังให้มิโน่เห็นใจ
“ก็ได้ แต่จะไม่มีการล้ำเส้นกันอีก” มิโน่ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฉันได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
แค่นี้ก็ดีแล้ว
พอฉันอาบน้ำเสร็จมิโน่ก็หลับไปแล้ว ฉันจึงเดินไปนั่งเตียงข้างๆ มิโน่ นั่งมองใบหน้าคมเข้มที่ฉันเฝ้าฝันว่าวันหนึ่งเขาจะหันมามองฉันบ้าง แล้วก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของมิโน่วางอยู่หัวเตียง
ฉันแอบหยิบขึ้นมาเปิดดู เขาไม่ได้ตั้งรหัสล็อคหน้าจอด้วย ทันทีที่ปลดล็อคหน้าจอ ใจฉันก็ห่อเหี่ยวลงทันใด ในแกลอรี่ของมิโน่มีแต่รูปของไลลาเต็มไปหมด เขาถ่ายรูปทุกกิริยาท่าทาง ไม่ว่าไลลาจะทำอะไรหรือแม้แต่เธอนั่งหลับเขาถ่ายไว้หมดเลย
ฉันได้แต่นั่งน้ำตาคลอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างและก็เห็นห้องไลลายังเปิดไฟอยู่ ฉันจึงแอบเปิดดูข้อความแชทของมิโน่ แล้วก็ส่งหาไลลา พอส่งเสร็จฉันก็รีบลบทิ้งทันที ขอโทษนะไลลา เพราะมิโน่เขาเป็นของฉัน...
.
.
.