Past Event
Seven years ago
เรื่องที่เกรย์ถูกคนนิสัยไม่ดีรังแกรู้ถึงหูอาจารย์ที่โรงเรียน รวมไปถึงผู้ปกครองของเด็กพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณพี่ผู้หญิงคนสวยที่ผ่านมาเห็นแล้วเอาเรื่องไปแจ้งตำรวจ ถึงได้มีความคืบหน้าขนาดนี้
เกรย์ได้รับการขอโทษจากผู้ปกครองของฝ่ายนั้น โดยไม่ลืมให้ค่าทำขวัญเป็นเงินสดอีกจำนวนสองพันบาท หวังจบเรื่องนี้อย่างไม่มีอะไรต้องค้างคา
ค่าทำขวัญเหรอ
อืม...
ปากบอกไม่เป็นไร แต่ลึก ๆ แล้วเขายังขุ่นเคือง
ปากบอกให้อภัย แต่ในความเป็นจริง...เขาอยากทำแบบเดียวกันกับที่พวกมันทำ
อยากให้สัมผัสด้วยตัวเองดูว่าการถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวนั้นเจ็บปวดแค่ไหน แต่ก็อย่างว่า...คนขี้ขลาดอย่างเขาทำได้ดีสุดแค่จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
พอเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี เกรย์กำเงินจำนวนสองพันบาทมานั่งบนเก้าอี้ริมถนนตัวเดิม สองตาเหม่อมองหาใครสักคนอย่างรอคอย ทว่ารอแล้วรอเล่า คนคนนั้นก็ยังไม่ปรากฏตัว ไม่มีเลยแม้แต่เงา
พี่ผู้หญิงคนนั้น...
คนที่เคยช่วยเขาไว้ ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องตอบแทน
เกรย์ต้องค*****นเธอเป็นจำนวนห้าร้อยบาท แล้วหลังจากนั้นก็อาจจะ...ลองชวนเธอไปกินข้าว เลี้ยงพี่สาวคนสวยสักมื้อแทนคำขอบคุณ
ทว่าเวลาผ่านไปยันท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท พี่สาวคนสวยก็ยังไม่ผ่านมาให้เห็น เกรย์จึงพรูลมหายใจ หยัดตัวขึ้นแล้วนั่งรถเมล์กลับบ้านอย่างช่วยไม่ได้
ถึงอย่างนั้นในวันต่อมา...เขาก็ยังมานั่งรออยู่ที่เดิม ทำแบบนี้นานติดต่อกันเป็นเดือน ด้วยหวังว่าเธอคนนั้นจะเฉียดมาให้เขาเห็นหน้าบ้าง
จนกระทั่งเข้าวันที่สามสิบสอง การรอคอยที่แสนยาวนานก็สิ้นสุดลง
พึ่บ
“พะ พี่ครับ!” เกรย์กระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบไปดักหน้าพี่ผู้หญิงคนสวยที่เดินมาแถวนี้พร้อมกับเพื่อนอีกคน
“อ้าว น้องนี่เอง”
ตึกตัก...
หัวใจของเด็กหนุ่มในวัย 13 ปีเต้นโครมครามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอจดจำเขาได้โดยแทบไม่ต้องใช้เวลาครุ่นคิดหรือทบทวน ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งรอยยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรมาให้อีกด้วย
เกรย์มองภาพนั้นอย่างเลื่อนลอย แต่แล้วก็จำเป็นต้องรีบกระชากตัวเองกลับมาสู่โลกความเป็นจริงอย่างฉับไว
สติ สติ ท่องไว้
“คือผม...” เกรย์อ้ำอึ้ง พอถึงเวลาจริง ๆ ระบบการทำงานของสมองก็พังยับเยินไปหมด ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
“ฉันไปรอในร้านนะ” เพื่อนของเธอคงไม่อยากเสียมารยาท หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น จึงเดินเข้าไปรอในร้านชาบูใกล้ ๆ ปล่อยให้เกรย์ยืนเหงื่อแตกพลั่กอยู่ตรงหน้าเธอแบบนี้
เขา...เขา...
“ว่ายังไงคะ?” คล้อยหลังเพื่อนครู่เดียวพี่สาวคนสวยจึงปริปาก เธอยังคงยิ้ม ไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจ
“ผม...ผมเอาเงินมาคืนพี่ครับ” เกรย์ล้วงเอาเงินจำนวนห้าร้อยบาทส่งคืนให้เธอ อีกฝ่ายหลุบตามองสิ่งที่อยู่ในมือเขาก่อนจะดันมันกลับมาเบา ๆ
“เก็บไว้เถอะนะ รอบนั้นที่บอกว่าค่อยเอามาคืนน่ะ พี่พูดเล่นค่ะ”
“แต่ว่า...”
“ถ้าเกรงใจ งั้นน้อง...เลี้ยงชาเขียวไข่มุกพี่สักแก้วก็ได้ค่ะ”
นอกจากจะนิสัยดีแล้วยังรู้จักหาหนทางทำให้เขาลำบากใจน้อยลง ช่างเป็นพี่สาวที่น่าหลงใหลอะไรอย่างนี้นะ
เกรย์คิดพลางเม้มริมฝีปากแน่น
“งั้นพี่รอผมตรงนี้แป๊บหนึ่งนะครับ” เกรย์บอกอย่างกระตือรือร้น แต่จังหวะที่หมุนตัวเตรียมเดินไปยังร้านชาไข่มุกใกล้ ๆ เด็กหนุ่มฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชะงักเท้าแล้วหันกลับมา “ลืมแนะนำตัวเลย ผมชื่อเกรย์นะครับ อยู่มอหนึ่ง”
“...”
“แล้วพี่สาว...ชื่ออะไร...เหรอครับ?”
ในเวลาต่อมาเกรย์ได้รู้ว่าชื่อของเธอคือจิ๊กซอว์ แต่อนุญาตให้เขาเรียกสั้น ๆ ว่า ‘พี่ซอว์’ ได้
และในครั้งที่สองของการเจอกันนี้ เกรย์ค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าการที่หัวใจเต้นแรงไม่หยุดตอนเจอหน้า มันคือปฏิกิริยาของคนที่กำลังตกหลุมรัก
⌖⌖⌖⌖⌖
ปัจจุบัน
ติ๊ด!
หลังจากปล่อยให้เสียงของโฮปเล็ดลอดผ่านลำโพงอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเกรย์ก็กดตัดสาย อีกทั้งยังปิดเครื่องประหนึ่งว่าเสียงของแฟนฉันช่างน่ารำคาญสิ้นดี
ไม่กี่นาทีต่อมา...หัวใจฉันเกิดสั่นวูบ เมื่อได้ยินเสียง ‘ตุ้บ’ ของวัตถุสีดำสนิทซึ่งถูกโยนไปที่เบาะหลังรถอย่างไม่แยแส ก่อนริมฝีปากซึ่งถูกปิดผนึกอย่างแนบแน่นมาตั้งแต่ต้นจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ แต่เป็นอิสระที่น้อยนิดชนิดกระดาษกั้น
เพียะ!!
สัญชาตญาณออกคำสั่งให้ฉันฟาดฝ่ามือลงบนแก้มขวาของเขา ใส่ไปเต็มแรงชนิดที่ใบหน้าหล่อเหลาหันเหตามแรงนำพาอย่างช่วยไม่ได้
นี่ไม่ใช่แค่การตบเพื่อสั่งสอน แต่จงใจฝากรอยเล็บไว้บนผิวเนื้อช้ำ ๆ ของเขาเพื่อย้ำเตือนถึงผลลัพธ์จากการกระทำอันไร้สมอง
“ฉันเลี้ยงดูนายมากี่ปี นี่คือสิ่งตอบแทนเหรอเกรย์!”
สารภาพเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเค้นเสียงตะคอกจนลำคอแสบสัน เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กยักษ์ค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าและสายตากลับมาอย่างอ้อยอิ่งหลังจากแน่นิ่งเพราะถูกตบ
“ผมต้องทำตัวดี ๆ เพื่อตอบแทนบุญคุณสินะครับ” เกรย์ยกหลังมือเช็ดเลือดจากบาดแผลที่ฉันฝากไว้ ก่อนจะหลุบตามองว่าของเหลวสีเข้มที่เปรอะมือเขาอยู่นั้นมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน
เดิมทีจากที่มีเรื่องชกต่อยก็ฝากรอยแผลไว้บนหน้ามากพออยู่แล้ว ฉันไม่อยากลงไม้ลงมือ ไม่อยากทำให้เขาเจ็บตัว แต่ดูสิ่งที่เด็กคนนี้ทำกับฉันสิ
ดูสิ่งที่มันทำสิ! จะให้ฉันเฉยชาไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ใช่หรือเปล่า
“ลงไป ไสหัวไป”
ฉันกำมือข้างที่เพิ่งใช้ตบเขาแน่นจนปลายเล็บจิกกลางฝ่ามือ รับรู้ถึงความเจ็บจี๊ด ๆ จากจุดนั้นซึ่งแผ่ลามขึ้นมาถึงหัวใจอย่างรวดเร็ว
ทว่าส่งเสียงไล่แล้วเกรย์ก็ยังดื้อดึง ไม่ยอมเปิดประตูลงจากรถ
“ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เป็นคนลากผมขึ้นมาเอง” หนำซ้ำยังแสดงความหน้าด้านด้วยประโยคที่ฟังแล้วเลือดขึ้นหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย อกฉันเดือดพล่าน ร้อนผ่าวไปทั้งตัวอย่างเคืองขุ่น นึกอยากทำมากกว่าการตบหน้า แต่ฉันมันบ้าเองที่พอเห็นเลือดจากรอยเล็บบนหน้าเขา...ก็ถูกความลังเลใจกัดกิน “อยากให้ผมลงนักก็มาลากลงไปสิครับ”
“เกรย์!”
“...ครับ พี่ซอว์เรียกผมทำไม” เกรย์ยกมุมปากขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน พร้อมทั้งแสดงท่าทางไร้เดียงสาด้วยการเอียงคอ ทว่านัยน์ตาคู่สวยดันขัดแย้งกับท่าทางแบบนั้นโดยสิ้นเชิง
“...” ฉันกัดริมฝีปาก นับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างอดกลั้น