ฉันพูดจาทำร้ายจิตใจเกรย์ไปแล้ว
พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง มองด้วยสายตาเย็นชา วางท่าราวกับรังเกียจเกินกว่าจะอยู่ร่วมชายคากับเขา แต่รู้ไหม...ลึก ๆ แล้วฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย
ที่เกรย์ทำกับฉันมันร้ายแรงมาก ฉันโกรธมาก โมโหจนหน้ามืด แต่ถึงจะเจ็บปวดที่เขาทำเรื่องเฮงซวยกับฉันและโฮปขนาดไหน ความผูกพันที่เรามีต่อกันมานานเกือบสิบปีมันไม่ใช่เรื่องที่จะลบทิ้งได้ง่าย ๆ
ฉันเห็นเกรย์ตั้งแต่เขายังอยู่มอหนึ่ง
ตอนนั้นเขาตัวเล็กนิดเดียว ผอมแห้ง ขาวซีด ขี้กลัว และน่าสงสาร
ฉันรู้สึกถูกชะตากับเขาตั้งแต่แรกพบ เอ็นดูเขามาก เกรย์เป็นคนแรกที่ฉันรักเหมือนน้องในไส้ แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับทำลายความรู้สึกที่ฉันมีให้อย่างบริสุทธิ์ใจจนพังยับเยิน
น้องชายที่น่ารักในวันนั้น ตอนนี้เห็นแก่ตัวเกินไปจริง ๆ
หลังเกิดเรื่อง ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ หาทางออกให้กับความยุ่งเหยิงทั้งหมดโดยพยายามรักษามิตรภาพของเราไว้
แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ฉันทำตัวเป็นนางเอกแล้วปล่อยเบลอทุกอย่างก็คงไม่เวิร์กนัก
เพราะงั้นในตอนนี้...ฉันจึงใช้คำพูดทำร้ายเขา สาดวาจาที่คมเหมือนมีดเฉือนความรู้สึกของเขา ทำให้เกรย์รับรู้ว่าตัวเองไม่มีค่าพอจะอยู่ที่นี่
ถ้ารักตัวเองมากพอ เขาจะไม่หน้าด้านอยู่ต่อ
ถ้าแคร์ตัวเองสักหน่อย เขาจะไม่ดื้อดึงและยอมจากไป
“โอเคครับ”
นานอยู่เหมือนกันที่เด็กยักษ์ตรงหน้าอึ้งจนเสียอาการ แววตาสดใส รอยยิ้มที่เคยสว่างไสว ณ ตอนนี้เลือนหายไปหมดแล้ว
หลังจากตอบรับด้วยวลีสั้นกระชับ เกรย์ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง เสียง ‘ปึง’ จากบานประตูที่ปิดลงทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงภาวะทางอารมณ์ของเขาโดยไม่จำเป็นต้องไถ่ถาม เนิ่นนานที่ฉันยืนมองประตูบานนั้น ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองมีสิ่งที่ต้องจัดการจึงเลิกสนใจเขาในที่สุด
ฉันบอกตัวเองว่า ‘เกรย์ไม่ใช่คนเดิมที่ฉันรู้จักอีกแล้ว’
หมอนั่นไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยในวันวาน แต่เป็นผู้ชายสารเลวที่ควรตัดขาดไม่ให้เหลือแม้แต่ใย
หลังจากนั้นสามวัน...
“อะไรนะ น้องเกรย์ออกไปอยู่คนเดียวแล้วเหรอ?”
น้ำเสียงแปลกใจของพราว...เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียว ทำให้ฉันที่กำลังนั่งเขี่ยไอแพดอยู่ข้าง ๆ ต้องพยักหน้าแทนการเอ่ยตอบ
ตอนนี้ฉันมานั่งเล่นที่บ้านของพราว เธอคือคนที่ฉันใช้เป็นข้ออ้างกับโฮปตอนหายไปในคืนที่เกรย์ทำเรื่องบัดซบกับฉันนั่นแหละ ตั้งแต่ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนฟัง และคิดว่า...ยังไม่พร้อมจะบอกใคร
เล่าแต่เรื่องที่เกรย์ย้ายออกไปแล้วเท่านั้น
ใช่ เกรย์ไม่ได้กลับคอนโด ฯ เป็นเวลาสามวันแล้ว แต่เรายังเจอหน้ากันทุกคืนที่ SL Club
มันช่วยไม่ได้...ในเมื่อฉันอยู่ที่นั่นในฐานะโคดี้ของเหล่า Demon เรียกง่าย ๆ ว่าคอยดูแลเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมของพวกเขาทุกคน การเจอกันของเราจึงเป็นเรื่องจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นตอนที่ฉันต้องจัดการเรื่องการแต่งกายให้เกรย์ จึงเป็นช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วนที่สุด
“มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ” เพราะดวงตาของพราวเบิกกว้าง ฉันจึงอยากรู้ว่าการที่เกรย์ย้ายไปอยู่คนเดียวมันน่าตื่นเต้นตรงไหน
“ก็น้องเกรย์ตัวติดแกตลอดนี่” พราวให้คำตอบ
“นั่นมันนานมาแล้ว” ฉันแก้ต่าง “ตั้งแต่ขึ้นมอห้าจนกระทั่งปีสอง หมอนั่นก็ห่าง ๆ ไม่ได้วอแวฉันเท่าเมื่อก่อน
เป็นความจริงที่แต่ก่อนเกรย์ตัวติดฉันเป็นตังเม ไปไหนไปด้วย พูดอะไรก็เออออเห็นดีเห็นงามไปหมด จนครั้งหนึ่งโฮปถึงขั้นแซวว่าเราสองคนเหมือนแม่ลูกกันไม่มีผิด
แม่ลูกกับผีน่ะสิ!
“น้องคงโตเป็นหนุ่มแล้วมั้ง วัยรุ่นก็แบบนี้แหละ” พราวคาดเดาตามความเข้าใจเพราะมีญาติผู้ชายอายุเท่าเกรย์อยู่คนหนึ่ง
“อือ คงงั้น”
ครืด...
ระหว่างนั่งคุยกัน การสั่นเตือนของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ฉันต้องละความสนใจจากเพื่อน เมื่อล้วงขึ้นมาดูก็พบว่าโฮปส่งไลน์มา
My Hope : ซอว์จ๋า ว่างเปล่าง่ะ?
I’m Jigsaw : ทำไม มีอะไรหรือเปล่า
ฉันถาม รออยู่พักหนึ่งโฮปจึงส่งข้อความกลับมา
My Hope : ไอ้เกรย์แม่งสร้างเรื่องอีกแล้ว
My Hope : ตอนนี้อยู่โรงพักเขต xxx เธออยู่ใกล้ ไปดูให้ก่อนได้ไหม ฉันกำลังจะไปแต่รถโคตรติดเลย
ฉันจ้องข้อความนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโกรธที่เกรย์ยังชอบหาเรื่องให้ปวดหัว ทั้งเข้าใจโฮปที่เดินทางกลับบ้านไปคุยธุระสำคัญกับครอบครัว แต่ต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจเพราะเด็กเกเรเพียงคนเดียว แล้วบ้านเขาอยู่ไกลจากที่นี่มากไง กว่าจะมาถึงคงเกือบสองชั่วโมงเลย
I’m Jigsaw : ได้
ทั้งที่ไม่อยากไปเจอหน้าเด็กคนนั้น แต่ก็จำเป็นต้องตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้
ทำไงได้ละ ต่อให้ในสายตาเกรย์ ฉันคือ ‘ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขามีใจ’ แต่ในสายตาฉัน เด็กนิสัยไม่ดีคนนั้นยังคงเป็น ‘น้องชายที่ฉันรักอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง’ อยู่วันยันค่ำ
ช่างน่าสมเพชสิ้นดี...
ฉันเล่าให้พราวฟังคร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนขับรถออกมา นับว่าโชคดีที่บ้านพราวอยู่ไม่ไกลจากโรงพักนักจึงใช้เวลาขับรถเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง
และเป็นไปตามคาด เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในโรงพัก ฉันก็พบกับเกรย์ที่อยู่ในชุดนักศึกษากำลังนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ตรงจุดสอบปากคำ
ฉันใช้เวลาพินิจพิเคราะห์เกรย์ไม่ถึงสิบวินาทีจึงเห็นว่าใบหน้าขาวใสของเขานั้นเต็มไปด้วยรอยช้ำมากมาย และแน่นอนว่าที่มาของร่องรอยพวกนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องการต่อยตี
ฉันถอนหายใจแล้วเคลื่อนสายตาไปทางขวามือ ก่อนจะได้คำตอบว่าใครคือคู่กรณีของเขา ผู้ชายคนนั้นดูแล้วคงรุ่นราวคราวเดียวกับเกรย์ ซึ่งสภาพใบหน้าก็...เละเทะไม่ต่างกันเลย
“สวัสดีค่ะ” พิจารณาสถานการณ์เสร็จสรรพฉันก็ก้าวเท้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ เกรย์ “ฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้ค่ะ” ท้ายประโยคนั้นไม่ลืมหลุบตาลงมองไอ้เจ้าตัวปัญหาด้วย
“...” ส่วนเด็กเกเรข้าง ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองฉันเช่นกัน แต่กลับมองด้วยสีหน้าและแววตาที่ค่อนข้างอ่านยากพอสมควร
วูบหนึ่ง...ฉันเห็นมุมปากเปรอะเลือดของเขายกขึ้นคล้ายกับกำลังชอบอกชอบใจ เป็นปฏิกิริยาที่ทำให้อกฉันเดือดเป็นไฟ แต่ด้วยสถานการณ์และสถานที่ ฉันจึงเม้มริมฝีปากเพื่อข่มอารมณ์
ระหว่างเจรจากับตำรวจ...ฉันพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด กระทั่งได้ความว่าเกรย์และคู่กรณีแค่ทะเลาะวิวาทกันธรรมดาเท่านั้น แต่ดันไปมีเรื่องกันท่ามกลางสาธารณชนเลยทำให้คนแถวนั้นโทรเรียกตำรวจ
เรื่องจบลงตรงที่ทั้งสองคนต้องยอมความกันอย่างจำใจ ไม่งั้นเรื่องมันอาจจะไม่จบและเลวร้ายถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล
ดูเหมือนเรื่องจะจบลงด้วยดีใช่ไหม? แต่บอกเลยว่าสำหรับฉันมันไม่ใช่
ฉันลากเกรย์ออกมาจากโรงพัก บังคับให้เขาขึ้นมาบนรถคันเดียวกันหวังจะสั่งสอนให้หลาบจำ
แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่หือไม่อือ ยอมไหลไปตามน้ำ จนกระทั่งฉันปริปาก...
“เมื่อไหร่จะเลิกทะเลาะวิวาทสักที” นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันเลยก็ว่าได้ที่ฉันเป็นฝ่ายปริปากเปิดบทสนทนากับเขา “รู้ตัวไหมว่านายทำให้ฉันกับโฮปเสียเวลาแค่ไหนที่ต้องมาคอยตามเช็ดตามล้างเรื่องพวกนี้”
“แต่ผมไม่ได้ขอให้พี่มานะครับ”
เกรย์พูดโดยที่สองตามองไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันมาทางนี้ แล้วดูสิ่งที่เด็กคนนั้นพูดสิ ไม่ได้มีความสำนึกเลยสักนิด
“หันหน้ามา ฉันกำลังดุนายอยู่นะเกรย์ อย่าเสียมารยาท”