“นายก็ได้กำลังใจทุกวัน จะเอาอะไรอีก” พูดพลางออกแรงผลักอกเขา แต่เรี่ยวแรงของฉันเมื่อเทียบกับเขาแล้วกลับเป็นแค่แรงของมดตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่ง
ถึงโฮปจะเป็นคนไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบใคร แต่ถ้าเป็นเรื่องถึงเนื้อถึงตัว...เขาไม่น้อยหน้าใครทั้งนั้น
“ก็ตัวซอว์หอม” โฮปกระซิบเสียงแหบพร่า มือหนาข้างหนึ่งเคลื่อนไปสัมผัสขาอ่อน ออกแรงเล็กน้อยเพื่อให้ขาข้างหนึ่งของฉันขยับจนมีช่องว่างระหว่างกลางของร่างกาย “...ก็ตัวซอว์นุ่ม ก็ซอว์สวย”
“ไม่ต้องชมเลย ไปทำงานได้แล้ว” ฉันชาชินกับคำชมและคำพูดหวานเลี่ยนจนมดขึ้นของเขาแล้วจึงไม่ได้รู้สึกเขินอายอย่างที่ควรจะเป็น
และอีกอย่าง...ฉันไม่อยากให้เขาทำมากกว่านี้
ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่ตอนนี้เนื้อตัวฉันมีรอยช้ำหลายจุด ถึงจะลงทุนกลบด้วยคอนซีลเลอร์ราคาเหยียบหมื่นแล้วก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี อยากให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้สักนิด เพื่อที่ร่องรอยบ้า ๆ นี่จะได้หายไป
จนถึงตอนนั้น...ถ้าโฮปอยากทำมากกว่านี้ฉันก็ไม่ว่า
“ตั้งแต่กลับมาจากบ้านเพื่อน เธอห่างเหินกว่าเดิมหรือเปล่านะ” โฮปผละหน้าออกแล้วจ้องลึกเข้ามาในดวงตาราวกับต้องการสืบค้นความจริงบางอย่าง...ความจริงที่ฉันพยายามปกปิดไว้
ก่อนหน้านี้ฉันให้เหตุผลว่า ที่เมื่อคืนไม่กลับมานอนกับเขาก็เพราะต้องไปนอนเฝ้าเพื่อนที่ไม่สบาย
โชคดีที่ตอนเช้าฉันติดต่อให้เพื่อนคนนั้นช่วยเออออห่อหมกไปก่อน เดี๋ยวรายละเอียดยิบย่อยค่อยเล่าให้ฟังอีกที
พอโฮปได้ฟังเหตุผลจึงโทรไปถามเพื่อนฉันเพื่อความแน่ใจ
โชคดีซ้ำสองตรงที่โฮปเป็นคนไม่ค่อยจ้ำจี้จ้ำไช เขาไม่ใช่คนงี่เง่า ไม่ย้ำคิดย้ำทำจนน่ารำคาญ ดังนั้นเมื่อมันสมเหตุสมผลพอให้เชื่อ เขาจึงไม่ถามอะไรอีก จนกระทั่งตอนนี้...
ฉันมีพิรุธเกินไปหรือเปล่านะ ให้ตายสิ
“คิดไปเองทั้งนั้นน่ะโฮป” ฉันยกมือข้างหนึ่งหยิกแก้มเขา “เอางี้”
“...” โฮปทำตาเป็นประกาย แต่ท่ามกลางประกายเหล่านั้นกลับมีความลึกลับจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่
“เลิกงานแล้วจะให้น้วยจนสมใจเลย...”
“พูดแล้วนะ” โฮปยิ้มจนตาหยี ฉันพยักหน้าให้ เขาจึงหอมแก้มฉันหนึ่งฟอดก่อนผละออก
ยืนจัดการสภาพตัวเองไม่นานก็เปิดประตูออกไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีใครอยู่แถวนี้ ทว่า...สองขาของฉันจำต้องชะงักค้างเมื่อพบว่ามีร่างสูงในชุดสีดำยืนแปรงฟันอยู่ตรงซิงก์ล้างหน้า เกรย์...
วินาทีนั้นเราสบตากันผ่านเงาของกระจก เขายิ้มให้ฉันทั้ง ๆ ที่ปากยังอมแปรงสีฟัน ไร้พิรุธราวกับว่าระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
จริงด้วย โฮปลากฉันมานัวเนียในห้องน้ำชายนี่นะ
“อ้าวมึง ยังไม่ไปสแตนด์บายเหรอวะ”
โฮปเดินไปล้างไม้ล้างมือตรงซิงก์ข้างเกรย์ ไม่มีท่าทีตกใจ ดูโล่งใจเสียมากกว่าที่เป็นเด็กคนนั้น
เกรย์เป็นอีกคนที่เรียกได้ว่าชาชินกับการสกินชิปของเราสองคน จูบต่อหน้าก็ทำมาแล้ว
ฉันมองภาพที่แฟนตัวเองกำลังพูดคุยกับเกรย์อย่างสนิทสนม ภาพนั้นทำให้ฉันเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด โฮป...เขาจะรู้ไหมว่าน้องชายที่เขารักยิ่งกว่าอะไรคนนั้น เด็กแววตาใสซื่อและดูไร้พิษสงคนนั้นเพิ่งจะหักหลังเขาอย่างเลือดเย็น
“แปรงฟันเสร็จก็คงออกไปแล้วครับ” เกรย์ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะถ่มยาสีฟันลงอ่าง ส่วนโฮปก็จัดแต่งทรงผมและสำรวจตัวเองหน้ากระจกอยู่ข้าง ๆ
เป็นปกติของ Demon อยู่แล้วที่ก่อนเข้างานต้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ทั้งการแต่งกายและความสะอาด ดังนั้นภาพเหล่านี้ฉันจึงเห็นบ่อยจนชินตา “ผมได้ข่าวว่าวันนี้แขกของพี่เป็นไฮโซดังด้วยนี่ครับ”
เกรย์ทำความสะอาดในส่วนของตัวเสร็จแล้วจึงเก็บแปรงสีฟันและยาสีฟันใส่กระเป๋าสีดำขนาดเล็กที่พกมาด้วย โดยไม่ลืมหันไปถามพี่ชายคนสนิทอย่างสนอกสนใจ
จริง ๆ แล้วแขกในแต่ละวันของพวกเขาเรียกได้ว่าค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งคนที่อายุรุ่นราวคราวพ่อแม่ นักธุรกิจ นางแบบ และอีกมากมาย
อ้อ แม้มีการถึงเนื้อถึงตัว แต่อย่าได้เข้าใจความหมายของอาชีพนี้ผิดไปนะ หลายคนไม่รู้อะไรก็เหมารวมว่า Demon นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากพวกผู้ชายขายบริการ
แต่โฮปกับเกรย์ รวมถึง Demon คนอื่น ๆ ค่อนข้างชาชินกับคำครหานี้แล้ว บางคนมองว่าเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำ
แล้วไม่ต้องถามว่าทำไมฉันถึงกล้าปล่อยให้โฮปทำงานเปลืองเนื้อเปลืองตัวแบบนี้ ง่าย ๆ เลย เขาทำงานนี้ก่อนจะมาคบกับฉัน หรือต่อให้เขาทำมันหลังจากเราคบกับ ฉันก็เคารพการตัดสินใจของเขาอยู่ดี
งานส่วนงาน เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว เราโต ๆ กันแล้ว ย่อมแยกแยะได้
“เห็นว่างั้นนะ” โฮปตอบเหมือนไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ มากกว่าระดับไฮโซเขาก็เจอมาแล้ว เพราะงั้นแขกวันนี้จึงจัดอยู่ในหมวดนอร์มอล “ไงเดี๋ยวกูไปก่อน มึงก็รีบ ๆ ด้วยนะไอ้สัด เหลืออีกไม่กี่นาทีละ”
“ฮะ เดี๋ยวผมตามไป” เมื่อเช็กความเรียบร้อยของตัวเองเสร็จ โฮปก็เดินมาคว้ามือฉันแล้วพาออกจากห้องน้ำ จังหวะนั้นเหมือนมีบางสิ่งมาดลใจให้ฉันหันไปมองไอ้เด็กยักษ์ฝั่งซ้ายมือ พบว่าเจ้าตัวยังยืนอยู่ที่เดิม นัยน์ตาคมกล้าจดจ้องเราสองคนอย่างเงียบเชียบจากตรงนั้น
ทว่า...แววตาใสซื่อเมื่อครู่นี้เหมือนมีปีศาจร้ายมาขโมยไป เหลือเพียงความดำมืดในดวงตาคู่สวยกับรอยยิ้มลึกลับที่ยังประดับบนริมฝีปากหยักลึก
และใช่ ที่ฉันมองเขา...ไม่ใช่ว่าอยากมอง แต่จำเป็นต้องบอกเขาผ่านสายตาว่า ‘อย่าคิดทำอะไรบ้า ๆ เป็นอันขาด’
เกรย์กับโฮปสนิทกันมาก พวกเขารู้จักกันมาก่อนฉัน บางทีฉันก็กลัวว่าเด็กที่ชอบเล่นพิเรนทร์ ๆ อย่างเกรย์จะทำอะไรไม่เข้าท่า
พังมามากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราเละเทะมากไปกว่านี้
“โฮป นายไปเตรียมตัวเถอะ ฉันว่าจะเข้าห้องน้ำก่อน”
ถูกโฮปจูงมือมาจนถึงหน้าห้องน้ำก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องไปเติมลิปสักหน่อย เมื่อกี้โฮปจูบฉันจนลิปสติกสีแดงสดกลายเป็นสีอ่อนแล้ว
“โอเค งั้นเราคงเจอกันหลังเลิกงานเลยนะ”
โฮปไม่ถามอะไรให้มากความ แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมยื่นมือมาลูบศีรษะฉันอย่างแผ่วเบา
ฉันยืนอยู่ตรงนี้จนกระทั่งเจ้าของแผ่นหลังกว้างเดินไกลออกไป เมื่อลับสายตาแล้วจึงหมุนตัวเตรียมเข้าห้องน้ำหญิง แต่เคลื่อนไหวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้อมือข้างซ้ายก็ถูกมือหนาของบุคคลปริศนาคว้าเอาไว้อย่างถือวิสาสะซะก่อน
“พี่ซอว์” เมื่อได้ยินเสียงจากเบื้องหลัง ฉันก็ได้คำตอบทันทีว่าเจ้าของฝ่ามือหนานี่เป็นของใคร “คุยกันก่อนไหมครับ”
“เรามีอะไรต้องคุยกันอีก ปล่อย” ฉันหันกลับไป เงยหน้ามองเด็กผู้ชายอายุเพียงยี่สิบแต่ตัวสูงเกือบร้อยแปดสิบด้วยแววตาติดเย็นชา “เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีก็ต้องทำงาน นายจะมามัวทำตัวไร้สาระแบบนี้ไม่ได้นะ”
“อยู่กับพี่ซอว์ ผมไม่มองว่าไร้สาระหรอกครับ” เกรย์ยิ้ม ไม่เพียงเท่านั้นยังกระชับข้อมืออีกนิดจนฉันถลาเข้าไปใกล้
ไม่นึกเลยนะว่าเด็กน้อยน่ารักที่ฉันแสนจะเอ็นดูในวันนั้น มาวันนี้จะกลายเป็นคนเฮงซวยซะได้ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
“ปล่อย” ฉันพยายามบิดข้อมือออก แต่ไม่ประสบผล
“ผมแค่อยากรู้ว่าพี่โฮปมันไม่สงสัยเหรอว่าทำไมเมื่อคืนพี่ไม่กลับไปนอนกับมัน แล้วในห้องน้ำเมื่อกี้...มันไม่เห็นรอยบนตัวพี่เลยเหรอ”
“สงสัยแล้วทำไม ถ้าเห็นแล้วมันทำไม?” ฉันถาม รู้สึกโมโหและสมเพชความคิดของเด็กคนนี้ “หรือนายอยากให้โฮปรู้ว่าเมื่อคืนทำเรื่องบัดซบอะไรไว้ อยากให้เขารู้ว่านายหักหลังเขายังไง”
“...”
“หรือนายจะให้ฉันร้องไห้ฟูมฟายที่โดนข่มขืน ทุรนทุรายและขอร้องให้นายเก็บเรื่องของเราไว้เป็นความลับ?”
“...”
“เกรย์ กะอีแค่ความบริสุทธิ์ของฉันที่นายได้ไป มันไม่ได้หมายความว่านายจะเอาชนะโฮปได้นะ”
“...”
“หยุดพยายามและเลิกทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้สักที มันไม่มีประโยชน์”