Seven years ago
หลังเลิกเรียน
“เฮ้ยไอ้เฉิ่ม! มีเงินให้ยืมสักร้อยปะวะ?”
“ไม่มี...ไม่มีครับ”
พลั่ก!
เกรย์ในวัย 13 ปีถูกนักเลงประจำโรงเรียนผลักจนล้มลง ความเจ็บปวดบริเวณหัวเข่าทั้งสองข้างซึ่งกระแทกกับพื้นคอนกรีตทำให้เจ้าตัวเบ้หน้าอย่างห้ามไม่ได้ ทว่า...ถึงจะเจ็บแค่ไหน เด็กชายเกรย์ในชุดนักเรียนถูกระเบียบก็จำเป็นต้องข่มกลั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหัวโจกนิสัยไม่ดีกับพรรคพวกอีกสองคน ทั้งหมดหัวเราะเยาะเขา ใช้สายตาเหี้ยมเกรียมมองลงมาอย่างสุดแสนจะสมเพชที่เขานั้นปวกเปียกและโคตรอ่อนแอ
เกรย์ในตอนนั้นคือไอ้เฉิ่มแว่นหนาเตอะ ผิวขาวซีดเหมือนศพเดินได้ เปราะบางจนน่าหงุดหงิด ขลาดกลัวและสู้ใครไม่ได้ แม้กระทั่งเด็กประถมข้างบ้านที่ชอบล้อเลียนท่าทางเฉิ่มเชยของเขาก็ด้วย
ทุกครั้งที่โดนกลั่นแกล้ง เกรย์ทำได้แค่อดทนอดกลั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาทำได้เพียงบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก
“เอากระเป๋ามันมาดูดิว่าไม่มีจริงเปล่า” หัวหน้าแก๊งนักเลงซึ่งอายุเยอะกว่าเกรย์ถึงสี่ปีออกคำสั่งให้หนึ่งในลูกกระจ๊อกเข้ามาแย่งกระเป๋าสตางค์ในมือเขา แน่นอนว่าต่อให้กำแน่นจนแสบไปหมดทั้งมือ แต่เมื่อถึงคราวที่พวกมันเอาจริง เกรย์จะเอาพละกำลังที่ไหนไปต่อกร
สุดท้ายกระเป๋าสตางค์สีเทาก็ถูกแย่งไปในที่สุด
“เอามานะ!” เกรย์ทำท่าจะลุกขึ้นยืน
ตุ้บ!
“กูไม่ให้! มึงจะทำไมวะ ห๊ะ?” แต่คนเป็นหัวหน้ากลับใช้เท้ากระแทกลงกลางอกซะก่อน ส่งผลให้เกรย์เซจนล้มลงบนพื้นอีกครั้ง โชคร้ายตรงที่เขาถูกพวกมันลากเข้ามาในตรอกไร้ผู้คน เพราะงั้นมันจึงยากที่จะมีใครผ่านมาเห็น
เอาจริง ๆ ต่อให้ใครสักคนผ่านมาเห็นเหตุการณ์นี้ก็คงไม่ยี่หระ และอาจมองว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาจะต้องวิ่งเข้ามาช่วยเหลือ
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเกรย์เองที่เกิดมาน่าสมเพชแบบนี้
“ลูกพี่! มีตั้งสี่ร้อย!” ลูกน้องของมันทำเสียงตื่นเต้นหลังแหวกกระเป๋าดูแล้วเจอเงินสดจำนวนสี่ร้อยบาท
เกรย์ยกมือปัดรอยรองเท้าบนเสื้อนักเรียน กัดริมฝีปากด้วยความคับแค้นใจ นึกอยากเอาคืนแต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้
“ไหนมึงบอกว่าไม่มีไง?” หัวหน้าแก๊งหันไปกระชากกระเป๋าสตางค์แล้วล้วงเอาเงินจำนวนสี่ร้อยบาทออกมา ก่อนจะชูขึ้นตรงหน้าเพื่อทวนถามเกรย์ให้แน่ใจอีกครั้งว่าที่พูดออกมาเมื่อกี้ไม่ได้โกหกเพื่อเอาตัวรอด
“ก็นั่นมันเงินผม” เกรย์กลั้นใจโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “พวกพี่ไม่มีสิทธิ์มารีดไถเงินคนอื่นแบบนี้นะ...ครับ”
“ทำไม? แล้วจะทำไม? มึงจะเอาไปฟ้องครูเหรอ ที่เขาบอกกันว่ามึงเป็นไอ้อ่อนนี่คงไม่ใช่แค่ข่าวลือสินะ”
“...เอาเงินคืนมา” เกรย์พยายามไม่สนใจประโยคก่อนหน้า “ผมยังต้องจ่ายค่ารถเมล์ ค่าอาหารเย็น แล้วก็ค่าอาหารหมาด้วย...”
“ก็เรื่องของมึงสิ!”
พลั่ก!!!
พูดอย่างใจร้ายไม่พอ ยังใช้เท้าข้างเดิมเหยียบอกเกรย์เต็มแรง กดไว้แบบนั้นจนเขาหายใจแทบไม่ออก ได้แต่นอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของไอ้หัวหน้าแก๊งเฮงซวยอย่างไม่มีทางสู้ “ไว้มึงกล้าลุกขึ้นมาต่อยกูเมื่อไหร่ กูจะใช้คืนมึงนะไอ้เศษเงินนี่น่ะ ถุย!”
พูดจบก็ทำตัวหยาบคายด้วยการถุยน้ำลายใส่หน้าเด็กหนุ่ม ก่อนเดินนำลูกน้องอีกสองคนออกไปอย่างสบายอกสบายใจ ทิ้งเขาไว้กับความล้มเหลวเพียงลำพัง
เกรย์ค่อย ๆ พยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำลายสกปรก ๆ ออกจากใบหน้า
เย็นวันนั้นเขาได้แต่นั่งเหม่อลอยอย่างจนหนทางอยู่บนเก้าอี้เก่า ๆ ริมถนน โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี เงินก็ถูกไถ จะกลับบ้านยังไง แล้วอาหารเย็นละ?...ของที่ตุนไว้ก็หมดพอดีด้วย
“น้องคะ มีเงินกลับบ้านหรือเปล่า?” ระหว่างที่นั่งคิดอย่างสิ้นหวัง เสียงหวาน ๆ ของใครคนหนึ่งก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น และพบว่าเจ้าของเสียงนั้นมาจากพี่ผู้หญิงในชุดนักศึกษา...
เธอมีดวงตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อย ผิวขาวผ่อง รูปร่างสมส่วน อันที่จริงเขาอยากพิจารณาเธอมากกว่านี้ แต่กลัวจะถูกมองว่าเป็นโรคจิตจึงรีบดึงสติกลับมา
“ครับ?” บอกตามตรงว่าเขาค่อนข้างจะงง
“เมื่อกี้พี่เห็นน้องถูกนักเลงไถเงินน่ะ” พี่ผู้หญิงคนสวยพูด “พี่ถ่ายรูปและแจ้งตำรวจให้แล้วนะ”
“...” เกรย์พูดไม่ออก ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
“อะ เอาเงินนี่นั่งรถกลับบ้านนะ” และยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่เมื่อพี่คนสวยยื่นเงินให้เขาห้าร้อยบาท นี่มัน... “รับไปสิ ไม่ต้องเกรงใจ พี่ได้ยินว่านายต้องเอาไปซื้อข้าวกินด้วยไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ แต่...ไม่เป็นไร พี่สาวเก็บไว้เถอะครับ”
“เอาน่า” เธอจับมือเขา...บังคับให้รับเงินห้าร้อยบาทไว้พร้อมกับรอยยิ้ม “ไว้พวกนั้นเอาเงินมาคืนนายเมื่อไหร่ นายค่อยเอามาใช้คืนพี่แล้วกัน โอเคไหม?”
ตึกตัก...
“เดี๋ยวครับ พี่...” เกรย์กำลังจะถามชื่อ แต่พี่สาวคนสวยเดินลิ่ว ๆ จากไปซะแล้ว เขาจึงทำได้แค่ยกมือเกาศีรษะอย่างงุนงง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นนับว่าเป็นครั้งแรกที่เขา...หัวใจเต้นแรงเพราะใครสักคนจนควบคุมแทบไม่อยู่ ใครสักคนที่เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
⌖⌖⌖⌖⌖
Grey Describe.
ณ ปัจจุบัน เวลา 02:20 นาฬิกา
ผมเพิ่งเลิกงาน ตอนนี้กำลังขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดของคอนโดฯ
ใช่...ชั้นบนสุดที่ว่าคือห้องพักของเราสามคน
ผมอยู่คอนโด ฯ เดียวกับพี่ซอว์และพี่โฮป สองคนนั้นนอนด้วยกัน ส่วนผมนอนแยกอีกห้อง เราสามคนใช้ชีวิตเป็นครอบครัวแบบนี้มานานหลายปีแล้ว แต่บางทีถ้าผมเบื่อที่ต้องเห็นสองคนนั้นกระหนุงกระหนิงกันก็หนีไปทำใจที่อื่น บ้างก็โรงแรม บ้างก็โฮสเทลธรรมดาพอให้มีที่ซุกหัวนอน บ้างก็คอนโด ฯ เพื่อน
เพื่อนบางคนของผมฐานะร่ำรวย มีทั้งบ้าน ทั้งคอนโด ฯ ที่ซื้อทิ้งไว้
ดังนั้นเวลามีเหตุผลจำเป็นอะไร ผมก็ขออาศัยคอนโด ฯ มันชั่วคราว โชคดีของผมที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยให้มันสมหวังกับดาวคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งก็คือคณะที่พวกเราเรียนอยู่ หลังจากนั้นมามันเลยตามใจผมเป็นพิเศษ
จะว่าไป เหตุการณ์เมื่อคืนวานระหว่างผมและพี่ซอว์ก็เกิดขึ้นในห้องของมันนั่นแหละ
“ซอว์ดูดิ คอช้ำเลย”
ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินเสียงงุ้งงิ้งของพี่โฮป พอหันไปทางขวาก็พบว่ามันกำลังยื่นคอให้พี่ซอว์ดูรอยช้ำคล้ายกับจะฟ้องว่าวันนี้ตัวเองเจอแขกกระทำชำเราอะไรมาบ้าง
เป็นเรื่องปกติของ Demon นะ แขกบางคนชอบถึงเนื้อถึงตัว เราทุกคนจำเป็นต้องยอมรับเรื่องนี้ให้ได้
“มาบอกฉันทำไม” พี่ซอว์ชำเลืองมองเล็กน้อย
“ผู้หญิงคนนั้นรุนแรงมากเลยนะ” พี่โฮปเขยิบเข้าไปใกล้ ปลดกระดุมออกหนึ่งเม็ดโชว์รอยแดงอีกหนึ่งจุดตรงร่องอก
พี่ซอว์ไม่ค่อยแสดงออกว่าหึงหวงเวลามีใครมาแตะเนื้อต้องตัวแฟนตัวเอง เพราะแบบนี้ไง...ไอ้พี่โฮปมันถึงพยายามยั่วโมโหเธอไม่หยุด
ส่วนผมที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่อีกมุมหนึ่งของลิฟต์ทำแค่มองภาพนั้นเงียบ ๆ เสมือนว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงธาตุอากาศที่ไม่มีใครมองเห็น
“เขาจ่ายให้เกือบแสนไม่ใช่เหรอ” พี่ซอว์หลุบตามองรอยแดงตรงร่องอกเพียงแป๊บเดียวก็เลื่อนขึ้นมองหน้ามัน “แล้วนายก็เป็นคนเลือกแขกเองด้วย อย่าบ่นหน่อยเลย”
Top 3 พิเศษกว่าคนอื่นตรงที่ถ้าวัน ๆ หนึ่งมีคนจองตัวเยอะเกินไป... Demon จะสามารถเลือกแขกเองได้
แต่ส่วนใหญ่พวกเราไม่ได้เลือกที่ความสวยของลูกค้าหรือตัวเงินที่เสนอมาหรอก ก็แค่ดูเวลาว่าใครมาก่อนมาหลังแค่นั้น เรียกง่าย ๆ ว่าเน้นหนักไปที่ความแฟร์มากกว่า
“โธ่ หึงหวงกันหน่อยก็ไม่ได้เนอะคนเรา” พี่โฮปทำปากยื่นปากยาว ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้ผมหมั่นไส้จนอยากอ้วกออกมาเป็นลิ่มเลือด
ปกติมันไม่ใช่คนที่ชอบเรียกร้องความสนใจหรือขี้เล่นแบบนี้ จะเป็นเฉพาะเวลาอยู่กับพี่ซอว์เท่านั้น ผมรู้จักมันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ย่อมรู้ว่ามันเป็นคนยังไง