เกาะลอย
“ขนตะกร้าไปกันเลยเหยาจี เราจะเริ่มเก็บผลไม้ไว้ตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้จะได้เสร็จเร็วขึ้น”
“ท่านไม่บอกข้าก็จะทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ” มู่เหยาจีเขย่าเงินเหรียญที่ท่านป้าคนหนึ่งมอบถุงใส่เงินให้นางมาผูกไว้กับผ้าคาดเอว รู้สึกว่าการมีเงินนี่มันช่างดีเสียจริง
ทั้งคู่ช่วยกันคัดเลือกผลไม้ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิม ผลไม้เนื้อแข็งจะถูกวางลงก้นตะกร้าและที่เนื้ออ่อนนุ่มอย่างเช่นมะม่วง ก็จะถูกวางไว้ด้านบน ผลที่มีร่องรอยแตก ช้ำ มีจุดด่างดำเล็กน้อยพวกเขาก็จะแยกเอาไปกองไว้อีกทางไม่นำเอาไปขาย
“ฟ้าใกล้จะมืดแล้วเหยาจี เราต้องกลับไปที่อุโมงค์กันแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อแต่เช้าก็แล้วกัน” มู่สี่เสินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม
“เพิ่งเก็บได้แค่ 8 ตะกร้าเอง ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ เสียดายจัง”
“ไปเถิด ข้าวของตะกร้าอะไรก็วางเอาไว้ที่นี่ทั้งหมดนั่นล่ะไม่ต้องเก็บกลับไป ข้ารับรองไม่มีของสูญหายแน่”
“ข้าอยากเห็นแผ่นดินใหญ่ที่พวกเขากล่าวถึงกันจังเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่ามันน่าจะเจริญมากกว่าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินนะเจ้าคะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เราต้องได้ไปแน่นอนเหยาจี เก็บเงินให้ได้มากๆ กันไว้ก่อน มนุษย์ใช้เงินในการซื้ออาหาร และซื้อความสะดวกสบาย สร้างเรือนเสร็จ เราก็จะซื้อเรือลำใหญ่ ข้าจะพาเจ้าไปที่แผ่นดินใหญ่เอง”
เช้าวันต่อมา
มู่สี่เสินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เขารีบก่อไฟ ตั้งน้ำในกระทะใบเล็ก จัดการแล่ปลาด้วยมีดปอกผลไม้ของเหยาจี แล้วเอาปลาไปต้ม เตรียมอาหารทุกอย่างจนเสร็จถึงได้ไปปลุกน้องสาว
“เหยาจี ตื่นมากินอาหารก่อน”
“พี่ชาย ท่านแย่งข้าทำอีกแล้วนะ ข้าสาบานต่อไปข้าจะไม่กินอาหารที่ท่านทำอีกแล้ว” เหยาจีหน้างอตำหนิมู่สี่เสินยกใหญ่
นางต้องการแบ่งเบาภาระจากพี่ชายให้ได้มากที่สุด มู่สี่เสินใช้แรงในการขนผลไม้ใส่เรือเพียงลำพังก็หนักหนามากพออยู่แล้ว หากนางเผลอเขาก็จะแอบเอาเสื้อผ้าไปซักให้อีก สุดท้ายนางก็ต้องตัดสินให้แต่ละคนซักผ้าทันทีที่อาบน้ำ ห้ามมายุ่งเกี่ยวกัน เขาก็ยังตามมาแย่งเรื่องการทำอาหารจากนางไปอีกจนได้
“ตกลงๆ ต่อไปข้าจะมอบเรื่องการทำอาหารให้เจ้า แต่ว่า..” เด็กหนุ่มเกาศีรษะเบาๆ ท่าทางขัดเขิน
“ข้ารู้เพียงเราต้องกินข้าว แต่ข้าทำข้าวไม่เป็น เจ้ากินปลาต้มไปก่อนแล้วกันนะ”
“ท่านไม่รู้ แต่ข้ารู้ เป็นเพราะท่านนั่นล่ะที่มาแย่งงานของข้า ไม่เช่นนั้นเช้านี้เราก็จะได้กินข้าวสวยร้อนๆ กันแล้ว” เด็กสาวลอยหน้าลอยตาอย่างภาคภูมิใจ ที่ตนมีเรื่องที่เก่งกว่ามู่สี่เสินอีกเรื่องแล้ว
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? ข้าไม่เคยสอนเจ้าไม่ใช่หรือ?”
“ก็ช่วงที่ท่านเอาแต่คำนับกันไปคำนับกันมากับท่านอาเกา ข้าก็ไปแอบถามจากพี่สาวท่านน้าท่านป้าหลายคนเลยทีเดียวล่ะ ข้ายังรู้จักผักเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
“ข้าคุยกับท่านอาเกาไม่ถึงครึ่งเค่อ เจ้าคุยกับผู้อื่นได้ความมากมายเพียงนั้นเชียวหรือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยชมแกมประชด
“หยุดก่อน! ท่านอย่าเพิ่งกิน ข้าเพิ่งมีความรู้ใหม่มาอีกเรื่องเจ้าค่ะ" มู่เหยาจีหยุดมือที่กำลังแกะเนื้อปลาใส่ปากของมู่สี่เสินเอาไว้
นางเดินไปที่ผลน้ำเต้าแตก หยิบกิ่งไม้ที่นางแช่น้ำเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนขึ้นมาสองชิ้น ยื่นส่งให้กับมู่สี่เสินไป 1 ชิ้น
“ท่านเคยได้ยินหรือไม่ ตอนเช้าใช้ฟันเคี้ยวไม้”
“เจ้าไม่ให้ข้ากินปลา แต่จะให้ข้ากินไม้เป็นอาหารเช้าเช่นนั้นหรือเหยาจี เจ้ามันใจร้ายยิ่งนัก!” มู่สี่เสินเบ้หน้าบิดเบี้ยว
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านดู ต้นนั้นคือต้นหลิว” มู่เหยาจีชี้มือไปที่ต้นไม้สูงที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่พวกตนอาศัยอยู่
“ข้าย่อมรู้ ต้นหลิวเป็นไม้มงคลบนแดนสวรรค์ย่อมมีให้เห็นมากมาย แล้วอย่างไรยังจะให้ข้ากินมันอีกหรือไม่”
“กิ่งหลิวใช้สีฟันได้เจ้าค่ะ เราต้องเคี้ยวปลายกิ่งหลิวให้แตกมันจะกลายเป็นเส้นใยเล็กๆ หลายเส้น จากนั้นก็ใช้ปลายไม้ถูฟันให้ทั่วทุกซี่เป็นการทำความสะอาดฟันเจ้าค่ะ” เด็กสาวไม่ได้พูดเปล่า นางยังสีฟันให้พี่ชายดูเป็นตัวอย่างอีกด้วย
มู่สี่เสินยกนิ้วให้น้องสาวด้วยความภาคภูมิใจ ช่วงเวลาสั้น ๆ มู่เหยาจีฉวยโอกาสถามข้อมูลมาได้หลายเรื่องเลยทีเดียว เป็นเช่นนี้ก็ดีให้นางใส่ใจเรื่องที่สตรีควรทำ ส่วนตนก็จะมุ่งหน้าในเรื่องใช้แรงงานหนักแทน
……….
“พี่ชาย เมื่อวานเราเก็บผลไม้ได้เพียง 8 ตะกร้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
มู่เหยาจีวิ่งไปตะกร้าทั้ง 30 ใบที่วางทิ้งไว้ใต้ต้นมะกอกเมื่อวาน บัดนี้ในตะกร้าล้วนมีผลไม้ต่างขนิดกันถูกจัดเก็บใส่ตะกร้าไว้จนครบทั้งหมดแล้ว
“ใช่ เราเพิ่งเก็บได้ 8 ตะกร้าจริงๆ” มู่สี่เสินกลับว้าวุ่นใจมากกว่าดีใจ หากไม่ใช่พวกตนลงมือทำ เท่ากับบนเกาะนี้ยังมีผู้อื่นอาศัยอยู่อีกใช่หรือไม่?
“เหยาจีมาอยู่ใกล้ๆ ข้า ข้าว่ามันชักจะกลิ่นไม่ดีเสียแล้วสิ”
“พี่ชาย เราสำรวจจนทั่วเกาะมานานแล้วนะเจ้าคะ ไม่เคยพบเห็นผู้ใดมาก่อนเลย ข้าว่าเรื่องมีคนอื่นขึ้นมาอาศัยอยู่บนเกาะเป็นไปไม่ได้แน่นอน ข้าว่าเป็นท่านต่างหากที่ไม่ยอมหลับยอมนอน ลุกขึ้นมาเก็บผลไม้ตั้งแต่กลางดึกลำพัง”
มู่เหยาจีส่ายหน้า ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีผู้อื่นอยู่ที่นี่อีก นางตื่นมามู่สี่เสินก็ตื่นอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เป็นไปได้ว่าพี่ชายไม่อยากให้นางเหนื่อยก็เลยรีบแอบมาทำงานตั้งแต่เมื่อคืน
“เหยาจี ข้าไม่ได้ปด ข้าไม่ได้เป็นคนทำ”
“อย่างไรก็ช่างเถิด หากเป็นคนไม่ดีก็ต้องทำลายผลไม้หรือเทผลไม้ทิ้งสินะ แต่นี่กลับคัดแยกจัดเรียงช่วยเหลือให้งานเสร็จ คนผู้นั้นย่อมมีน้ำใจประเสริฐที่สุด ในเมื่อมีผลไม้แล้วเราก็รีบขนไปใส่เรือกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
มู่เหยาจียังคงมั่นใจว่าเป็นมู่สี่เสินที่จัดการเรื่องทั้งหมดเพียงลำพัง เมื่อเขาอยากจะล้อเล่นแกล้งนาง นางก็จะแกล้งเชื่อ
เด็กหนุ่มไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้ เขาถกเถียงและพยายามยืนยันกับมู่เหยาจีไม่ขาดปาก แต่มือก็ยังลำเลียงผลไม้ขึ้นใส่ลากเลื่อน โดยไม่ยอมปล่อยให้มู่เหยาจีอยู่บนเกาะเพียงลำพังแม้แต่ก้าวเดียว
ขนผลไม้ 30 ตะกร้าใส่เรือสองลำจนครบ มู่สี่เสินพายลำหนึ่ง ใช้เถาวัลย์ผูกเรือให้ติดกันน้องสาวพายอีกลำหนึ่งออกจากเกาะลอยไป เพราะหากต้องสำรวจทั่วเกาะอีกรอบก็ต้องกินเวลาทั้งวันเป็นแน่ ผลไม้กำลังสุกงอมไปทุกวันไม่อาจรอช้า
ครั้งนี้นอกจากจะแลกเอาผ้าปูนอนกับผ้าห่มมาสองผืน มู่สี่เสินก็แลกเอามีดและขวานเพิ่มขึ้นมาอีกสองชิ้นเพื่อไว้ป้องกันตัว
พวกเขากลับมาถึงเกาะลอยกันเร็วกว่าเมื่อวาน แต่เด็กหนุ่มตัดสินใจยังไม่เก็บผลไม้ไปส่งในรอบที่สอง เขาส่งมีดให้มู่เหยาจีถือไว้เล่มหนึ่ง ให้น้องสาวเดินตามหลังแล้วออกสำรวจป่าโดยรอบอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง
“ท่านไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ หรือเจ้าคะ” มู่เหยาจีเริ่มลังเลใจว่าพี่ชายของนางอาจจะไม่ได้หลอกนางเล่น สีหน้าของมู่สี่เสินดูเคร่งเครียดจริงจัง ทั้งยังยอมหยุดงานเพื่อสืบหาร่องรอยผู้บุกรุกอีก
“ไม่ได้ทำ ข้าเคยโกหกเจ้าหรือเหยาจี หากเรายังไม่พบต้นเหตุที่แท้จริงเราอาจอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้นะ คิดดูเอาสิว่าคนผู้นี้หลบซ่อนตัวได้ดียิ่ง เราอยู่ที่นี่มานานไม่เคยเห็นร่องรอยเขาแม้แต่น้อย ข้าคิดว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเจ้า” มู่สี่เสินกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น เจ็บใจก็เพียงเขาไม่อาจเติบโตให้เร็วกว่านี้ได้ ไม่อาจแข็งแกร่งจนปกป้องน้องสาวให้ปลอดภัยได้
“หากท่านแน่ใจว่าเป็นฝีมือมนุษย์ คืนนี้เราจะจับตัวเขากัน!”
“จับตัว? จะทำอย่างไร เราก็เป็นแค่เพียงเด็กสองคนเท่านั้น เจ้าเองก็เป็นสตรี”
“เอาเป็นว่าเราไม่จับตัวเขาก็ได้เจ้าค่ะ แต่เราต้องรอดูให้เห็นกับตาว่าผู้บุกรุกลึกลับผู้นี้เป็นใคร เราจะซ่อนตัวเฝ้ารอดูเขาอยู่ห่างๆ หากคิดว่าไม่ปลอดภัยจริงๆ เราก็คงต้องออกจากเกาะไปขออาศัยอยู่ร่วมกับชาวบ้าน”
ทางเลือกที่น้องสาวเสนอให้นั้นเสี่ยงอันตรายไม่น้อย มู่สี่เสินยังต้องถกเถียงกับนางอยู่อีกหลายประโยค เขาเชื่อว่าผู้บุกรุกย่อมมีไม่น้อยกว่าสองคน ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเก็บผลไม้ใส่ตะกร้า 22 ตะกร้าได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเป็นแน่