เพล้ง! พลั๊ก! ปึก! ปัก!
“นี่มันงานศพหรืองานแต่งงาน”
ช่วงบ่าย ขณะที่งานกำลังดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ดอกไม้หลากสีสันที่ถูกนำมาตกแต่งถูกปัดลงพื้นอย่างไม่ใยดี พร้อมทั้งร่างสูงใหญ่ที่มีหน้าตาบูดบึ้งหนวดเครายาวรุงรังเดินเข้ามา
“ใครกัน?...”
“คนบ้าเหรอ?...”
“นั่นใครน่ะ?...”
ทุกคนที่อยู่ในงานศพต่างหันมามองชายผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่แถมมีหนวดเคราเหมือนกับคนเถื่อนด้วยความรู้สึกตกใจระคนแปลกใจ จนพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องรีบวิ่งเข้ามาเพื่อจะลากเขาออกไป
“ถ้าแตะต้องฉันพวกแกไม่ได้ตายดีแน่”
เขาขู่ออกมาพร้อมกับทำตาขวางกวาดมองไปรอบๆ เมื่องานศพของบิดาดันถูกตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสันเหมือนกับว่าทุกคนมาร่วมยินดีกับการจากไปในครั้งนี้มากกว่ามาไว้ทุกข์
“อังเดร...นั่นอังเดรใช่ไหม?”
อังเดรที่ได้ยินเสียงเรียกค่อยๆหันกลับไปมอง และก็พบว่าเป็น ทนายองอาจ เพื่อนสนิทของบิดาเขา ที่ตอนนี้เป็นทนายประจำตระกูลของเขาอยู่
“คุณอา...”
“อังเดรจริงๆด้วย! พวกนายทำอะไรห๊ะ! ถอยออกไปห่างๆเดี๋ยวนี้!”
ทนายองอาจหันไปบอกพวกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะเล่นงานอังเดร ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาอังเดรด้วยความรู้สึกยินดี เพราะเขาคิดว่าอังเดรจะไม่ยอมมาเสียแล้ว
“เข้าไปนั่งก่อนเถอะ”
ทนายองอาจบอกออกมาพร้อมกับเดินนำอังเดรให้ไปตรงหน้าจุดไหว้ศพ และพออังเดรเดินเข้ามา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือบิดาของเขากำลังยิ้มกว้างมองมาทางเขา ทำเอาชายหนุ่มร่างใหญ่อดรู้สึกสะท้านในใจไม่ได้
ทำไมกัน...ทำไมไม่เคยยิ้มแบบนั้นให้ผมบ้าง...แล้วทำไมกัน...ทำไมไม่อยู่ดูความโกรธแค้นที่ผมมีต่อพ่อให้นานกว่านี้...ทำไมกัน...
อังเดรได้แต่ตัดพ้อขึ้นในใจทั้งๆที่ยังยืนทำหน้านิ่งจ้องมองรูปถ่ายหน้าศพของเจ้าสัวบัญชร แต่ถ้าใครสังเกตดีๆจะเห็นว่าสองตาคมกำลังสั่นไหว
“..............”
ทางด้านคุณเกศริน พอเดินกลับเข้ามาในงานหลังจากพึ่งไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อต้อนรับแขกในตอนเย็นกลับต้องยืนนิ่ง มองตรงไปที่ร่างสูงใหญ่กำยำของลูกเลี้ยงของเธอโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ใครกันคะคุณแม่...ทำไมถึง...”
เกวรินทร์ที่เห็นมารดามีท่าทีแปลกๆเลยอดที่จะถามขึ้นไม่ได้ เมื่อเธอไม่เคยเห็นอังเดรเลยไม่รู้ว่าคนที่แต่งตัวซ่อมซ่อยืนมองรูปของเจ้าสัวบัญชรอยู่นั่นคือพี่ชายต่างสายเลือดของตนเอง
“อ่าว คุณเกศ...เอ่อ อังเดร...”
ทนายองอาจที่หันมาเจอคุณเกศรินถึงกับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อรู้ดีว่าอังเดรนั้นเกลียดแม่เลี้ยงอย่างคุณเกศรินมากแค่ไหน...มากถึงขนาดตัดขาดบิดาไปนานกว่า 20 ปีเลยทีเดียว
ส่วนอังเดร พอได้ยินว่าเกศรินยืนอยู่แถวนั้นด้วย สองมือใหญ่ก็กำเข้าหากันแน่น ตาคมตวัดกลับมามองจ้องคุณเกศรินด้วยความเกลียดชัง
“สมใจแล้วสินะ! หึ! ผัวแก่ตายแล้ว คงต้องหาผัวใหม่แล้วล่ะ”
เขาพูดเย้ยหยันและดูถูกแม่เลี้ยงยังสาวอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ที่ตอนนี้คนในงานกำลังมองเขาอย่างไม่พอใจกับคำพูดจาบจ้วงและไม่ให้เกียรติแม่เลี้ยงอย่างนั้น
“ฉันขอร้อง นี่มันงานศพของเจ้าสัว ถ้าอยากจะต่อว่าหรือด่าทออะไร หลังงานศพฉันจะไม่ห้ามเธอเลย”
คุณเกศรินบอกออกมาเสียงสั่น
“ทำไม? หรืออายชาวบ้าน ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นนางบำเรอมาตั้งหลายปีไม่เคยเห็นอายใคร พอได้ดีเป็นคุณหญิงก็มียางอายเลยเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกสิ้นดี!!”
“อังเดร...พอเถอะนะ”
เป็นทนายองอาจที่รีบห้ามเมื่อตอนนี้คนทั้งงานกำลังมองการสนทนานี้อย่างสนอกสนใจ ส่วนคุณเกศริน ตอนนี้ความโกรธกำลังมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งความเสียใจก็มากขึ้นพร้อมๆกันด้วย
“นี่คุณ!! หยุดพูดแย่ๆใส่แม่ฉันแบบนี้นะ!”
เป็นเกวรินทร์ที่ทนไม่ไหวเดินมาเผชิญหน้ากับอังเดรด้วยสายตาโกรธจัดที่เขาดูถูกมารดาของเธอท่ามกลางผู้คนนับร้อยแบบนี้
ส่วนอังเดรก็มองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจเพราะเธอบอกว่าคุณเกศรินเป็นมารดาของเธอ
เป็นไปไม่ได้...
เขาคิดขึ้นมาในใจพร้อมกับมองจ้องเด็กสาวตรงหน้าอย่างพิจารณาเมื่อคิดว่าเธอคือลูกสาวอีกคนของเจ้าสัวบัญชรซึ่งก็คือน้องสาวของเขา
“พอเถอะลูก...พาแม่ไปนั่งหน่อย”
คุณเกศรินที่ไม่อยากให้เรื่องราวเป็นปัญหาใหญ่โตและเธอก็แทบยืนไม่ไหวเลยบอกให้เกวรินทร์พาไปหาที่นั่ง ซึ่งเกวรินทร์นั้นทั้งโกรธและเริ่มเกลียดพี่ชายนอกไส้อย่างอังเดรแต่ก็ต้องยอมถอย เดินมาพยุงมารดาไปหาที่นั่ง
“อังเดร...ไปไหว้เจ้าสัวก่อนเถอะนะ...”
ส่วนคุณองอาจที่เห็นว่าคุณเกศรินเดินออกไปแล้วเลยเดินมาบอกให้อังเดรไปจุดธูปไว้ศพบิดาของเขา ซึ่งอังเดรก็ยอมทำตามเพราะตอนนี้สมองของเขากำลังคิดถึงเรื่องของเกวรินทร์เมื่อตลอดเวลาที่เขาหนีไปเขาไม่เคยรับรู้เรื่องราวของบิดาอีกเลย เลยไม่คิดว่าบิดาจะมีลูกสาวอีกคน
ไหนบอกว่าจะไม่ยอมมีลูกกับผู้หญิงคนไหนอีก...ทำไมไม่รักษาคำพูด!
พอจุดธูปไหว้บิดา อังเดรก็ต่อว่าบิดาอย่างรู้สึกผิดหวังเมื่อบิดาเคยบอกเอาไว้ก่อนมารดาของเขาจะเสียชีวิต ว่าจะไม่ยอมมีลูกกับผู้หญิงคนไหนอีกเด็ดขาด แต่เขากลับมีน้องสาว ยิ่งคิดอังเดรยิ่งโกรธคนเป็นบิดาทั้งๆที่บิดาของเขาได้จากโลกใบนี้ไปแล้วแท้ๆ
“อังเดร ไปกันเถอะ ลุงจะพาไปไหว้ผู้ใหญ่”
พออังเดรปักธูปลงบนกระถางทนายองอาจก็บอกขึ้นทันที เมื่อทายาทคนเดียวของเจ้าสัวบัญชรมาปรากฏตัวแบบนี้ ทุกคนคงกำลังรอคอยที่จะพบเจออย่างแน่นอน
“ไม่ล่ะครับ ผมจะกลับเลย”
“ห๊ะ? เอ่อ กลับ...หลานจะกลับเหมือง...”
“บ้าน ผมอยากพัก”
“อ้อๆๆ ได้สิ เดี๋ยวอาให้คนขับรถไปส่ง”
และทนายองอาจก็รีบพาอังเดรเดินออกจากงานศพไปทั้งๆที่อยากให้อังเดรอยู่ต่อแต่ด้วยรู้ดีว่าไม่สามารถห้ามหรือบังคับอะไรได้และก็กลัวว่าอังเดรจะไม่พอใจแล้วบินกลับเหมืองก่อนงานศพจะเสร็จเขาเลยได้แต่ยอมทำตามที่อังเดรต้องการ
“อ่าว ทนายองอาจ ไหนว่าลูกชายของเจ้าสัวมา แล้วนี่อยู่ไหนซะล่ะ?”
พอเดินกลับเข้าไปในงานศพ พวกผู้บริหารระดับสูงและพวกเพื่อนๆของเจ้าสัวบัญชรต่างมองทนายองอาจอย่างมีคำถาม เมื่อคิดว่าทายาทของเจ้าสัวจะต้องมาไหว้ทักทายพวกตนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่
“เอ่อ...พอดีเห็นว่าเหนื่อย เลยขอกลับไปพัก พรุ่งนี้ผมจะพามาแนะนำนะครับ”
ทนายองอาจบอกออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ทำเอาพวกผู้ใหญ่ถึงกับมองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อว่าอังเดรจะมาแล้วก็กลับไปโดยไม่คิดจะมาไหว้หรือแวะทักทายพวกตนเลยสักนิด
“นี่สินะเจ้าสัวถึงต้องตัดหางปล่อยวัด คงหมดความอดทน”
“นั่นสิ แล้วทรัพย์สมบัติก็คงยกให้คุณเกศกับลูกสาว”
“ก็คงอย่างนั้น”
พวกผู้ใหญ่ในงานต่างพากันพูดไปในทางเดียวกันถึงทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เจ้าสัวบัญชรทิ้งเอาไว้ว่าคงยกให้ภรรยาและลูกสาวทั้งๆที่รู้ว่าเกวรินทร์เป็นเพียงลูกติดแต่เจ้าสัวก็รักและทะนุถนอมยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก
“ผมว่าเราไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ที่นี่...ยังไงก็ควรเคารพเจ้าสัวกันด้วยนะครับ”
ทนายองอาจที่ได้ยินบอกออกมา ทำเอาพวกผู้ใหญ่ต่างก็มองอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อคนที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สมบัตินั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากทนายองอาจที่เป็นทนายของตระกูลนี้