ช่วงเที่ยง ชัชวาลก็พาพวกลูกน้องในแผนกมานั่งทานข้าวกันที่โรงอาหารของบริษัทกัน เพราะไม่มีเวลาออกไปทานกันข้างนอกเนื่องจากงานรัดตัวกันเหลือเกิน
“นี่พี่ชัช ทำไมบ.ก.ใหญ่ถึงออกกฎใหม่แบบนั้นล่ะคะ บ้ารึเปล่าจะให้นักเขียนตอกบัตรเข้าทำงานเหมือนพนักงานคนอื่นๆ ขนาดเขียนงานอยู่บ้านยังคิดไม่ค่อยจะออก แล้วนี่จะให้มาเขียนที่บริษัท แล้วจะคิดออกได้ไงอ่ะ”
เสียงดารวีเอ่ยขึ้น เมื่อพึ่งได้รับอีเมลจากทางฝ่ายบุคคลว่า ต่อไปนี้นักเขียนต้องเข้ามาทำงานที่บริษัท อาทิตย์ละสามวันอย่างต่ำ เพราะที่บริษัทวุ่นวายจะให้เธอมานั่งคิดงาน คงจะคิดออกอยู่หรอก
“พี่จะไปรู้เหรอ สงสัยบ.ก.ใหญ่อยากเห็นหน้าพวกแกบ้างรึเปล่าเลยสั่งให้เข้าบริษัทบ้าง”
“ฉันว่า บ.ก.ใหญ่ต้องกำลังจะทำอะไรแน่เลย อยู่ดีๆก็เข้าไปยุ่งกับพวกนักเขียน โอ๊ย ชักจะวุ่นวายไปใหญ่แล้ว นี่ถ้า.....”
“อะแฮ่ม! ยัยรส กินๆนี่เข้าไปเลย”
มธุรสที่กำลังเพลินอยู่กับการพูดถึงกับอาหารติดคอ เมื่อเธอยังพูดไม่จบ ชัชวาลก็ยัดข้าวผัดใส่ปากอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะชัชวาลดันเหลือบไปเห็นอัศวินกำลังเดินตรงมาที่โรงอาหารอยู่พอดี ก่อนจะพยักพเยิดให้ลูกน้องบนโต๊ะรู้ตัวว่า บ.ก.ใหญ่กำลังมา
ส่วนทางด้านอัศวิน หลังจากที่ได้ฟังคำวิจารณ์จากพนักงานอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น เขาจึงคิดว่าพวกพนักงานคงกำลังมองเขาในด้านลบอยู่เป็นแน่ วันนี้จึงตัดสินใจเดินลงมาทานอาหารที่โรงอาหารของบริษัท ทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะเดินมาเหยียบที่นี่เลยสักครั้งเพียงเพื่อต้องการรู้ปฏิกิริยาของพวกพนักงาน และก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เมื่อตอนนี้ที่เขากำลังจะเดินเข้าไปด้านในโรงอาหาร ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว พร้อมกับพยายามหลบสายตาเมื่อเขามองไป
“เกิดอะไรขึ้น ฟ้าถล่ม ดินทลายรึไง บ.ก.ใหญ่มากินข้าวที่โรงอาหาร”
มธุรสเอ่ยขึ้น พร้อมกับพยายามหลบสายตาของอัศวินไปด้วย
“โอ้ว นั่นมันเทพบุตรชัดๆ”
ดารวีที่หันไปตามสายตาของคนในโรงอาหารถึงกับอุทานออกมา เมื่อได้เห็นหน้าคนที่กำลังเดินเข้ามาชัดเจนพลางนึกในใจ ฉันได้พล็อตพระเอกใหม่แล้ว ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาคมสันยังกับพระเอกระดับประเทศ กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร ทุกท่วงท่าการก้าวเดินเธอนึกว่าเขาเป็นนายแบบที่หลุดออกมาจากในนิตยสารเลยก็ว่าได้
“เช็ดน้ำลายหน่อยยัยวี นั่นน่ะ บ.ก.ใหญ่นะเว้ย เดี๋ยวก็โดนเด้งหรอก”
ชัชวาลเอ่ยขึ้น เมื่อหันไปเจอหญิงสาวกำลังมองเจ้านายหนุ่มอย่างเพ้อฝัน
“อะไรนะ!! นั่นเหรออีตาบ.ก.ใหญ่สุดเขี้ยว โห ทำไมดูขัดกับหน้าตาอย่างนี้ล่ะคะพี่ชัช”
ภาพที่กำลังเพ้อฝันของดารวีแตกกระจายเมื่อได้รู้ว่าคนที่กำลังเดินราวกับนายแบบนั้นคือ อัศวิน บ.ก.ใหญ่ที่เธอพึ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานที่นี่แทนบิดาของเขา
“ถ้าแกไม่อยากตกงานก็เงียบไปก่อนเลย”
ชัชวาลกระซิบบอก เพราะตอนนี้อัศวินกำลังจะเดินผ่านมาทางโต๊ะที่พวกตนนั่งอยู่ เขารีบลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวทักทายอย่างรวดเร็วเหมือนๆกับพวกหัวหน้าคนอื่นๆ ที่ลับหลังด่าว่าเจ้านายหนุ่มสารพัด แต่ต่อหน้ากลับทำยินดีปรีดากันเสียเหลือเกินที่ได้พบ
“วันนี้บ.ก.ให้เกียรติมาทานข้าวกับพวกเราที่โรงอาหาร ถ้าไม่รังเกียจเชิญนั่งกับพวกเราก็ได้นะครับ”
อยู่ดีๆชัชวาลก็พูดเชิญชวนให้อัศวินนั่งร่วมโต๊ะด้วย ทั้งๆที่เขากำลังจะเดินผ่านแล้วแท้ๆ ทำเอาพวกลูกน้องถึงกับหันควับมามองที่เขาเป็นตาเดียว ส่วนอัศวินไม่พูดอะไร เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่
“อ่าว ยืนกันทำไม นั่งลงสิครับ”
อัศวินบอกขึ้น เมื่อพวกชัชวาลยังไม่ยอมนั่งลงกันสักที พร้อมกับคิดในใจอย่างนึกขำ แม่สองสาวปากเก่งเมื่อเช้านี้ พอตอนนี้ล่ะเงียบเป็นเป่าสากกันเลยทีเดียว ทีแรกเขาคิดว่าจะเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่าง แต่ดันเหลือบมาเห็นสองสาวที่นินทาเขาเมื่อเช้าพอดีเลยตัดสินใจนั่งร่วมโต๊ะด้วยเสียเลย
“เอ่อ ครับๆ นั่งๆ”
ชัชวาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปบอกพวกลูกน้องที่นั่งร่วมโต๊ะ ซึ่งแต่ละคนก็แสดงท่าทางแหยๆกันออกมา เพราะไม่นึกว่า อัศวินจะมานั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างนี้
“ผมเอาข้าวไข่เจียว ไม่ปรุงรส”
เมื่อนั่งลงได้ที่กันหมดแล้ว อัศวินก็หันไปสั่งหนูนา ที่ตามลงมาทานข้าวด้วยนั้น ก่อนที่หนูนาจะรีบเดินไปสั่งข้าวมาให้เขา
พอได้ยินที่เขาสั่งข้าวไป ก็ทำเอาทั้งโต๊ะพากันมองหน้ากันอย่างรู้สึกคันปากอยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ได้
จืด ชืด
ทุกคนต่างคิดในใจเป็นเสียงเดียวกัน ไม่นึกว่าบ.ก.ใหญ่ของพวกตนจะทานอาหารที่จืดชืดขนาดนั้นได้
“เอ่อ บ.ก.ครับ นี่ลูกน้องของผมครับ นี่มธุรส ผู้ช่วยของผม นี่นิดา พิสูจน์อักษร และนี่ก็ดารวีครับ เป็นนักเขียนนิยาย”
ชัชวาลแนะนำทั้งหมดให้อัศวินรู้จัก และชายหนุ่มก็ทำเพียงยิ้มน้อยๆและพยักหน้าให้ ทำเอาดารวีถึงกับถอนคำพูดในใจที่บอกว่าเขาเป็นเทพบุตรทันที
คนอะไรหล่อเสียทิ้ง น่าจะเอานิสัยมาจากหน้าตาสักครึ่งหนึ่ง นี่อะไรนิสัยกับหน้าตาสวนทางกันเกลือเกิน
ดารวีคิดในใจจนเผลอเบ้ปากออกมาพร้อมกันกับที่อัศวินหันไปมองเธอพอดี
“พิการเหรอครับ ปากถึงเบี้ยวอย่างนั้น”
พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ทำเอาทั้งโต๊ะถึงกับหันไปมองตาม ส่วนดารวีที่พึ่งรู้ตัวถึงกับเก็บปากแทบไม่ทัน ก่อนจะหันไปค้อนให้เจ้านายหนุ่มอย่างลืมตัว
“อะเอ่อ คือว่า...”
ชัชวาลกำลังจะพูดแก้ต่างให้ แต่อัศวินเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ผมแค่แซวเล่น เห็นนั่งปากบิดเบี้ยวมาสักพักแล้ว”
ยิ่งได้ยินคำพูดจิกกัดของเขา ดารวียิ่งอยากกระโดดเข้าไปข่วนหน้าหล่อๆนั่นสักสองสามทีให้หายขุ่นใจเสียจริง
ไม่นานข้าวที่อัศวินสั่งก็มาเสิร์ฟ ชายหนุ่มนั่งทานเหมือนกับว่ามันเอร็ดอร่อยหนักหนาทั้งที่มันก็แค่ข้าวไข่เจียว แถมยังเป็นไข่เจียวแบบไม่ปรุงรสอีก ทำเอาทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะแทบกินข้าวในจานของตนเองไม่ลง จนกระทั่งอิ่ม ต่างก็รีบขอตัวเดินแยกย้ายกันออกไปทันทีด้วยความอึดอัด
“รบกวนส่งผลงานของนักเขียนที่ชื่อดารวีทั้งหมดไปที่ห้องผมทีนะครับคุณชัชวาล”
อัศวินเอ่ยขึ้นก่อนขอตัวกลับขึ้นห้องทำงานไป ทำเอาชัชวาลที่ยังคงนั่งอยู่เป็นคนสุดท้ายถึงกับรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่อัศวินกำลังจะทำ ภายในใจอดคิดไม่ได้ว่าเจ้านายหนุ่มกำลังจะเล่นงานนักเขียนสาวที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อหน้าเขา
“อะไรนะพี่ชัช!! บ.ก.ใหญ่ขอดูผลงานวีทั้งหมดเลยเหรอ โอ๊ย หรือว่าเขาจะรู้ว่าวีแอบนินทาเขาอยู่ในใจ”
“นี่ยัยวี ใครจะบ้าเดาใจกันได้ขนาดนั้น เขาอาจแค่อยากรู้จักแกก็ได้ ก็แกเป็นนักเขียนคนดังนี่หว่า”
ชัชวาลเรียกดารวีเข้ามาพบในตอนบ่ายก่อนที่หญิงสาวจะกลับออกมาจากบริษัท พร้อมกับแจ้งให้เธอทราบเกี่ยวกับเรื่องที่อัศวินบอกไว้ ทำเอาดารวีถึงกับแอบตกใจ
“เดี๋ยวได้เรื่องยังไงพี่จะบอก ว่าแต่ เดี๋ยวนี้งานเขียนของแกเป็นยังไงบ้าง ยังเขียนออกอยู่ไหม”
“ก็ยังเขียนออกอยู่ แต่วีต้องอาศัยประสบการณ์นิดหน่อย”
“เออ ระวังตัวบ้างก็ดีนะ ถ้าพลาดขึ้นมาจะแย่เอาได้ หรือบางทีแกอาจอยากเปลี่ยนแนวการเขียนบ้างก็ได้นะ”
ชัชวาลเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่ากว่าดาราวีจะได้นิยายมาสักเรื่อง เธอต้องทำอะไรบ้าง
“ค่าาา วีจะระวังตัวนะคะ รับรอง นิยายของวีต้องเผ็ดสะแด่ว เร้าใจคนอ่านแน่นอนค่ะ วีคอนเฟิร์ม!”
ดารวีทำท่ามั่นอกมั่นใจในผลงานของตน ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน เพราะต้องไปให้อาหารเจ้าวาวา หมาน้อยเพื่อนรักของเธอที่รออยู่ที่บ้าน
“เจ้านายคะ ผลงานทั้งหมดของนามปากกาดารวีค่ะ คุณชัชวาลให้คนเอามาส่ง ให้หนูนาวางไว้ตรงไหนคะ”
หนูนาเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็นหนังสือนิยายเกือบๆห้าสิบเล่น ในนามปากกาดารวี ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เอามาวางไว้ตรงนี้เลย แล้วบ่ายนี้ผมมีงานต่อที่ไหนรึเปล่า”
อัศวินละสายตาจากงานที่กำลังตรวจขึ้นมาพูดกับหนูนา ก่อนที่หนูนาจะรายงานว่าเขาไม่มีงานข้างนอกบริษัทอีก ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานเขาไป ทิ้งให้อัศวินได้ตรวจงานต่อ
อัศวินนั่งทำงานจนกระทั่งสองทุ่ม ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย และงานที่เขาสั่งให้ไปแก้ก็ถือว่าออกมาได้ดี อันที่จริงแล้ว เขาก็ใช่ว่าจะเป็นเจ้านายหน้าเลือดสุดโหดเสียเมื่อไหร่ แต่ในเมื่องานมันออกมาไม่ดี เขาก็ต้องตีกลับเป็นเรื่องธรรมดา พนักงานส่วนใหญ่จะมองงานเพียงแค่ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบให้เสร็จๆไป โดยไม่ได้นึกถึงภาพในส่วนรวม ถ้าเขาปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะปล่อยให้มันผ่านไปได้ง่ายๆ ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหยิบหนึ่งในนิยายของดารวีที่เขาให้ชัชวาลหามาให้ขึ้นมาก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟารับแขกในท่าทีสบายๆ อัศวินนั้นถือว่าเป็นหนอนหนังสือคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เขาอ่านหนังสือได้ทุกประเภทโดยเฉพาะหนังสือพวกนิยายหรือการ์ตูนเขาจะชอบมากเป็นพิเศษ แต่มาช่วงหลังๆนี้ที่เขาแทบไม่เคยจะได้จับพวกมันขึ้นมาอ่านเลย เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานในบริษัท
“อีโรติกงั้นเหรอ?”
อัศวินทำหน้าฉงนใจเล็กน้อย เมื่ออ่านดูหน้าปกแล้วเจอกับคำว่าอีโรติก ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึง นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนวผู้ใหญ่ เขาไม่คิดว่ายัยเฉิ่ม ใส่แว่นหนาเตอะแบบดารวีจะแต่งนิยายประเภทนี้ เขานึกว่าเธอจะมาในแนวน่ารักใสใสเสียอีก
อัศวินค่อยๆเปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรกที่บรรณาธิการทักทายผู้อ่าน ก่อนจะเริ่มอ่านเข้ามาในเนื้อหาของนิยาย
“โอ้วววว”
แค่เพียงบรรทัดแรก ชายหนุ่มถึงกับเบิกตาโพลง เพราะมันเริ่มต้นด้วยฉากบนเตียงอันเร่าร้อน ก่อนจะจบลงที่โซฟาหรูกลางห้องรับแขก
“ยัยแว่นนี่ถึงพริกถึงขิงจริงๆ”
เขาพูดออกมา ก่อนจะพลิกอ่านไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยอ่านนิยายประเภทนี้ แต่ทั้งเนื้อหาทั้งการใช้คำนั้นทำให้เขาหยุดอ่านไม่ลง จนกระทั่งดึกดื่น อัศวินจึงคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้พร้อมกับเดินมาเก็บของใช้บนโต๊ะเพื่อที่จะกลับบ้านโดยไม่ลืมที่จะลากรถเข็นที่มีนิยายของดารวีไปด้วย เพราะพรุ่งนี้วันหยุด เขาอาจจะได้อ่านมันก็ได้