ตอนที่ 1.
สนามบิน บาราฮัส(Barajas Airport) มาดริด ประเทศสเปน
ร่างสูงโปร่งยืนหันรีหันขวางมองหาคนมารับด้วยความหงุดหงิด กระเป๋าเดินทางถูกลากมาวางไว้ข้างตัว เกือบชั่วโมงแล้วที่นภวินท์รอสิงหกัลยาผู้ช่วยมือใหม่ที่เดินทางมาล่วงหน้าร่วมอาทิตย์ เพื่อติดต่อและประสานงานกับบุคคลที่นิตยสารของเขาต้องการมาสัมภาษณ์ ช่างภาพหนุ่มเดินทางตามมาทีหลังโดยนัดแนะกับคนที่มาก่อน ให้มารับเขาที่สนามบิน เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมที่พัก
“ยายสิงห์ จะเป็นคนจัดการทุกอย่างให้แกเอง แกแค่ไปเก็บภาพงานเทศกาลกับภาพของผู้ให้สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของยายสิงห์ งานนี้หลานสาวฉันมันออกโรงเอง รับรองว่างานทุกอย่างจะราบรื่นเรียบร้อย หมดจดแน่นอน”
คำพูดของเฮียเป๋ง ก่อนการเดินทางทำให้นภวินท์เบาใจ ไม่คิดว่ายายสิงห์รุ่นน้องตัวแสบจะทำพิษให้เขาต้องมารอเป็นชั่วโมงแบบนี้ เขาน่าจะขึ้นรถแท็กซี่ไปที่โรงแรมเอง ไม่น่ารอถึงป่านนี้ เขาเหนื่อยอยากพัก หากต้องทนรอยายสิงห์มารับอีกสักชั่วโมง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทนไหว ก่อนเดินทางเขามีอาการปวดศีรษะเล็กน้อย เมื่อเครื่องลงจอดเขาพบว่าอาการปวดศีรษะนั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าขาวเริ่มแดงก่ำ ทั้งปวดทั้งมึนเพราะยังปรับเวลาไม่ได้ เป็นอาการที่เรียกว่า เจทแล็ก*1 หากเจ้าตัวยังอดทนรอให้คนมารับอยู่ร่วมชั่วโมง
ช่างภาพหนุ่มตัดสินใจจะเดินทางไปยังที่พักด้วยตัวเอง เขามียาแก้ไข้ติดตัวมาแต่ไม่ยอมกินตอนนี้ นภวินท์รอให้ตัวเองถึงที่พักก่อนเขาอยากกินยาแล้วนอนพักยาวๆมากกว่า ร่างสูงเดินลากกระเป๋ามายังจุดบริการแท็คซี่ ขณะกำลังเดินร่างของเขาก็ถูกใครบางคนวิ่งมาชนอย่างแรงจากด้านหลัง จนกระเป๋าใส่อุปกรณ์ถ่ายรูปที่หิ้วมาด้วยหลุดจากมือกระเด็นไปไกล คนชนวิ่งไปทางประตูทางออกและชนร่างเพรียวบางในชุดเดรสสั้นสีขาวที่เดินสวนมาล้มลงไปจับกบ ข้างๆกระเป๋าใส่อุปกรณ์ของนภวินท์ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างร้องฮือฮา ด้วยความตกใจ
นภวินท์รีบเข้าไปเก็บกระเป๋าของเขา รปภ.ที่อยู่บริเวณนั้นรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างบางที่อยู่บนพื้น ส้นรองเท้าของเธอหัก บวกกับอาการจุกการการถูกผู้ชายร่างใหญ่กระแทก ทำให้ร่างเพรียวบางนั้นลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มระใบหน้าจนมองไม่เห็นหน้าตาชัดเจน เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอลุกขึ้นยืนได้เขาก็ทำท่าจะผละไป แต่เสียงสบถของเธอทำให้เขาหันมามอง ก่อนจะเบิกตากว้าง
“บ้าจริง! จะรีบไปตามบัฟฟาโร่กลับนาหรือไงยะ”
เสียงใสๆ พ่นคำด่าเป็นภาษาไทยชัดเจน มือเรียวบางยกขึ้นเสยผมที่รุ่ยมาปรกหน้าตาให้เข้าที่ ใบหน้างามผุดผ่องแบบผู้หญิงเอเชียของเธอ ถูกตบแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางบางเบา ดวงตายาวเรียววาววับด้วยความกราดเกรี้ยว ปากบางเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนยื่นนิดๆอย่างคนเจ้าอารมณ์ เมื่อหันมาเห็นสายตาของคนที่กำลังจ้องมองเธออยู่
“มองอะไรยะ ไม่เคยเห็นคนจับกบกลางสนามบินเหรอไง ! ” หญิงสาวหันไปวีนใส่ชายหนุ่ม
นภวินท์มองหน้าเธอ เขาจ้องดวงหน้าอ่อนใสนิ่ง กวาดสายตาไปยังดวงตายาวเรียวคู่นั้น จมูกโด่งเล็ก คิ้วเรียวสวยได้รูป ก่อนจะมองไปทั่วร่างบางสมส่วนนั้น แล้วกลับมาจ้องหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบของเธอขยับไปมาพูดอะไรอีกหลายคำ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจฟัง ค่อยๆขยับเข้ามาหาร่างบางอย่างลืมตัว
ใบหน้าของเธอ... เสียงของเธอ...
หัวใจที่แห้งเหี่ยวเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ คล้ายถูกราดรดด้วยน้ำทิพย์จนชุ่มชื้น
“หือ... ทำอะไรน่ะ ว้าย!”
หญิงสาวกรีดร้องเมื่อร่างของเธอถูกชายหนุ่มดึงเข้าสู่อ้อมกอด วงแขนแข็งแรงรัดร่างน้อยแนบแน่น ใบหน้าคมซุกซบบนซอกไหล่บาง ร่างสูงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับเจ้าตัวสะกดกลั้นความปรีติไว้ไม่ไหว
เขาไม่สนว่ามีผู้คนอยู่รายรอบ... ไม่สนใจว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน...
สิ่งที่เขาสนใจคือหญิงสาวในอ้อมแขนคนนี้คนเดียว !
นภวินท์จับไหล่บางไว้มั่น ขยับออกมาในระยะที่สามารถสำรวจร่างเพรียวบางได้อย่างละเอียด เนื้อตัวนุ่มนิ่มอุ่นร้อนแสดงให้เขาเห็น ว่าเธอๆไม่ได้เป็นเพียงภาพมายาหลอนหลอกเขา มือหนาเลื่อนมาลูบแก้มนวลแผ่วๆ
“กี้... กีรดารินทร์คุณยังไม่ตาย คุณกลับมาหาผมแล้ว” เขาเอ่ยเสียงพร่า แย้มริมฝีปากยิ้มด้วยความดีใจ ดวงตาคมเปล่งประกายวาวจ้าด้วยความยินดี
หญิงสาวตรงหน้ามองตอบเขาด้วยแววตากราดเกรี้ยวกว่าเมื่อครู่ ร่างบางสะบัดตัวจากการเกาะกุมเต็มแรง ปฏิกิริยาของเธอ แววตาที่เธอมองเขา ทำให้นภวินท์ชะงักงัน
เพี๊ยะ!!!
ฝ่ามือน้อยฟาดเข้าใส่ใบหน้าขาวๆจนสะบัดไปตามแรงตบ รอยสีแดงรูปฝ่ามือปรากฏขึ้นบนแก้มของชายหนุ่ม
“ไอ้โรคจิต ฉันชื่อ ลีเดีย ไม่ได้ชื่อกี้ ถ้าไม่อยากตายอยู่ห่างๆฉันไว้ ! ”
ดวงตาคู่งาม มองเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้า เธอผลักอกเขาแรงๆ ก่อนจะถอดรองเท้าที่ส้นหักของตัวเอง โยนโครมลงบนพื้น ร่างบางเดินด้วยเท้าเปล่าจากไปโดยไม่สนใจว่าใครจะมองเธอด้วยสายตาแบบไหน ทิ้งให้คนโดนตบหน้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
นานกว่านาทีนภวินท์ถึงตั้งสติได้ เขามองตามหลังร่างบางที่เดินหายไปด้านในสนามบิน หัวใจชาหนึบด้วยความรู้สึกสับสน ร่างบอบบางในอ้อมกอดที่เขาสัมผัสเมื่อครู่นี้
กลิ่นกายหอมละมุน... เนื้อตัวนุ่มนิ่มนั้น... ทำไมถึงไม่ใช่กีรดารินทร์
เขาจำเธอได้ ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี เขาก็ไม่มีทางลืมสัมผัสของเธอ
ผู้หญิงคนนั้นคือกีรดารินทร์ เธอคือคุณหนูกี้ลูกสาวเจ้าพ่อภัทร!
“กี้ ผมไม่มีวันยอมปล่อยคุณไปอีกแน่ ไม่มีวันกี้ ! ” ชายหนุ่มวิ่งตามร่างบางเข้าไปด้านใน
นภวินท์เชื่อเต็มร้อยว่าเธอคือกีรดารินทร์ของเขา ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกว่า จะรักเขาตลอดไป แต่ตอนนี้เธอกลับจำเขาไม่ได้
เธอลืมเลือนความรักที่เคยมี เขาจะทำให้เธอจำเขาให้ได้
เขาไม่มีวันยอมสูญเสียความรักของเธอ ไปให้ใครหน้าไหนทั้งสิ้น !
นภวินท์วิ่งฝ่าผู้คนตามเธอไป เขาเห็นด้านหลังของผู้หญิงที่เดินเท้าเปล่าอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าตามในระยะห่าง ร่างเล็กบางของหญิงสาวเดินขึ้นบันไดเลื่อน ชั่วขณะหนึ่งเธอหันมามองด้านหลัง ดวงตายาวเรียวสะบัดค้อนให้ก่อนจะหมุนกายเดินหนีไปอีก เขาพยายามแหวกผู้คนที่เดินสวนมาเพื่อให้ตามเธอทัน ทว่าคนที่ถูกตามดูเหมือนจะรู้ตัวแล้ว เธอก้าวเท้าออกจากบันไดเลื่อนได้ก็รีบวิ่งหนีเขา นภวินท์อยากจะโยนกระเป๋าสัมภาระที่เขาหอบหิ้วมาด้วยทิ้งเหลือเกิน ค่าที่มันทำให้เขาไม่สามารถพาตัวเองไปได้เร็วตามใจอยาก แต่ก็ทิ้งมันไม่ได้อุปกรณ์ถ่ายภาพราคาแพงกับกระเป๋าเสื้อผ้าหากหายไปเขาต้องแย่แน่
“กี้ หยุดนะกี้ หยุดคุยกันก่อน ! ” นภวินท์ตัดสินใจตะโกนเรียกหญิงสาว
“อย่าตามฉันมานะ ไอ้โรคจิต ! ” เธอหันมาตวาดเขา พร้อมกับเร่งฝีเท้าหนีห่างออกไปอีก
ร่างเพรียวบางเดินแกมวิ่งด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่านำพาตัวเองให้พ้นจากการติดตาม หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับชายในชุดดำอีกห้าคน เธอรีบวิ่งตรงไปหาเขาด้วยความยินดี
“พี่ราฟ ช่วยลีเดียด้วย มีคนโรคจิตตามลีเดียมา” มือน้อยเกาะแขนพี่ชายไว้แน่น
ราฟาเอล ก้มลงมองใบหน้าแดงจัดของน้องสาวต่างสายเลือด ดวงตายาวเรียวมีแววตื่นตระหนก มือหนากุมมือน้อยของน้องสาวไว้มั่นบีบเบาให้คลายวิตก เขาส่งสายตาให้บอดี้การ์ดข้างกายเตรียมพร้อม ดวงตาสีควันบุหรี่วาวกล้าขณะมองหาคนที่บังอาจมาทำให้ลีเดียต้องตกใจ