“เอาล่ะ ว่าแต่เรายังไม่แนะนำตัวกันเลย เราชื่ออะไร” อมเรศหมายถึงเธอนั่นแหละ จากนั้นค่อยแนะนำเจ้านายตัวเล็กก็ยังได้
“หนูชื่อต้นหลิวค่ะ ส่วนนี่คุณเพ่ยเป็นลูกสาวของเฮียย่ง ชื่อเล่นเต็ม ๆ คือคุณเพ่ยเพ่ย ระพีพรรณ จงเกียรติสกุลค่ะ” นี่คือชื่อเล่นและชื่อจริงพร้อมด้วยนามสกุล และเมื่อสิ้นการแนะนำตัวอมเรศจึงมองไปยังสาวน้อยระพีพรรณเป็นหลัก ด้วยสายตาอาทรและสงสารจับใจ
“หนูเหรอ เพ่ยเพ่ยน่ะ” อมเรศเอ่ยถามกับสาวน้อยวัยสิบขวบเป็นครั้งแรก
“ค่ะ” ระพีพรรณพยักหน้าและตอบสั้นๆ อมเรศจะแทนตัวเองว่าอย่างไรดีล่ะ ผม ฉัน พี่ หรือว่าอา ให้ตายสิ อีกอย่างไม่ทันแก่เลย
“พี่ เอ่อ พี่ชื่ออมเรศ เรียกพี่ชายก็ได้ พี่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของเฮียย่งเรารักและสนิทกันมาก เฮียไม่อยู่แล้ว แต่พี่จะดูแลเพ่ยเพ่ยแทนเฮียนะ ตกลงไหม” อมเรศบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน พลางจ้องมองไปที่ใบหน้าขาวผ่องแต่ซีดเซียว
“ค่ะ” สาวน้อยระพีพรรณตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและก้มหน้าร้องไห้ อมเรศจึงตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ทำงานแล้วเดินอ้อมไปหาเธอใกล้ๆ ก่อนจะโอบกอดสาวน้อยเอาไว้หลวมๆ นั่นยิ่งทำให้เธอร้องไห้และซบหน้าลงไปกับลำตัวของอมเรศ เขาเองแทบจะไม่มีคำปลอบใจอีกแล้ว ทำได้แต่เพียงฟังเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยจวบจนกระทั่งเธอดีขึ้น
“เอาล่ะไม่ร้องไห้แล้วนะ หืม เฮียเป็นคนเก่งและเข้มแข็งมาก ฉะนั้นลูกสาวเฮียก็ต้องเก่งและเข้มแข็งไม่แพ้กัน”
อมเรศดันตัวเธอออกห่างเล็กน้อย จากนั้นจึงโน้มตัวลงไปคุยด้วย
“อยู่ที่นี่เป็นคนในครอบครัวพี่ เหมือนที่พี่เคยเป็นคนในครอบครัวของเฮียย่ง” นี่คือการตอบแทนบุญคุณของพี่ชายร่วมสาบานได้ดีที่สุดตามคำมั่นสัญญาณที่เคยให้ไว้เมื่อสิบปีก่อน ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เขาหวาดหวั่นและวิตกกังวล เหมือนมีลางไม่ดีกวนใจตลอดหลายวันที่ผ่านมา คำตอบของความรู้สึกทั้งหมดมันเกิดขึ้นวันนี้นี่เอง
“เพ่ยกับพี่หลิวอยู่ที่นี่ได้เหรอคะ” ระพีพรรณถามได้ยาวขึ้นพร้อมกับซับน้ำตาให้ตัวเอง
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ก็บอกแล้วว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เอาไว้ให้เรื่องทั้งหมดซาลงพี่จะพากลับนครสวรรค์เพื่อไปเก็บหลักฐานของเพ่ยดีไหม”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เมื่อรับคำแล้วสาวน้อยผู้น่าสงสารก็ยกมือไหว้อมเรศอย่างขอบคุณ เขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอเบา ๆ
“คุณชายให้หนูกับคุณเพ่ยอยู่ที่นี่ด้วยจริง ๆ ใช่ไหมคะเนี่ย หนูไม่ได้ฝันไป” ต้นหลิวถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เพราะจะได้ไม่ต้องพาคุณหนูระหกระเหินไปที่ไหนอีก
“ใช่ คิดเสียว่าที่นี่ก็เป็นครอบครัว ฉันอยากให้เธอดูแลคุณเพ่ยให้ดีที่สุด เราสองคนจะช่วยกัน แต่ขออย่างเดียวเรื่องที่เธอและคุณเพ่ยเป็นใครมาจากไหน ห้ามบอกใครเป็นอันขาด ฉันจะจัดการเอง”
“ได้ค่ะคุณชาย หลิวกราบขอบพระคุณคุณชายอีกครั้งนะคะที่เมตตาสงสารเราทั้งคู่ บุญคุณนี้หลิวกับคุณเพ่ยจะไม่มีวันลืมเลย” บุญคุณอย่างนั้นหรือ เขาต่างหากที่กำลังตอบแทนบุญคุณของย่งเส็ง
“ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณฉัน เพราะฉันกำลังตอบแทนบุญคุณของเฮียอยู่ต่างหาก” จบคำอมเรศก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องแล้วเปิดออกไป ซึ่งก็พบว่าวัฒนะยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ก่อนแล้วตามคำสั่ง
“ชายอั้ม!!! ใครมา ทำไมถึงกับต้องเรียกเข้าห้องทำงาน คนรับใช้บอกว่าเป็นผู้หญิง” หูไวตาไวเสียจริงมารดาเขาเนี่ย เขาคิดก่อนจะก้าวออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูห้องทำงานเสียก่อน
“ครับผู้หญิง พอดีเขามาขอความช่วยเหลือน่ะครับคุณแม่” อมเรศตอบเสียงเรียบ
“ช่วยเหลืออะไร อย่าบอกนะว่ามายืมเงิน คนพวกนี้นี่ไม่รู้จักทำมาหากิน” ยังไม่ทันจะได้ฟังคำอธิบาย หม่อมอมราก็สรุปเอาเองเรียบร้อย
“คุณแม่ครับ ผมยังไม่ได้อธิบายเลย อย่าเพิ่งเดาไปขนาดนั้น”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ใช่กิ๊กเราก็คงจะเป็นประเภทนี้แหละ ไม่ได้มาเรื่องเงินแล้วจะมาทำไม เห็นบอกว่ามีเด็กผู้หญิงมาด้วย แต่งตัวมอมแมมเชียว” ให้ตายสิอยากจะเรียกคนรับใช้ของมารดามาต่อว่าเสียเหลือเกินว่า พูดมากปากไว
“เรื่องมันยาวครับ ไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ผมมีธุระต้องจัดการ วัฒไปเรียกน้าแช่มมาหาฉันในห้องทำงาน ส่วนคุณแม่รบกวนรอที่ห้องนั่งเล่น ขอบคุณครับ” พูดจบอมเรศก็ไม่เอ่ยอะไรอีก นอกเสียจากหันหลังแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องดังเดิม ส่วนวัฒนะก็ไปตามแช่มช้อย ซึ่งเป็นแม่บ้านให้มาเข้าพบอมเรศ ยังความไม่พอใจให้หม่อมอมราไม่น้อยที่บุตรชายทำอะไรไม่บอก แถมยังข้ามหน้าข้ามตากันอีก
“ตาอั้มนะตาอั้ม” หม่อมอมราได้แต่บ่นงึมงำ แล้วเดินกลับไปรอที่ห้องนั่งเล่นตามที่บุตรชายสั่ง และเช่นเดียวกันเมื่ออมเรศกลับเข้ามาในห้องทำงานไม่นานนักแช่มช้อยก็มาถึงพอดี