สิ่งที่นางเห็นตรงหน้าก็คือร่างของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่มีใบหน้างดงามที่คลับคล้ายคลับคลากับหลูเยี่ยเหออยู่หลายส่วน ร่างนั้นมีประกายสีทองล้อมรอบบ่งบอกให้รู้ถึงความเป็นเทพกำลังโอบกอดร่างของชายหนุ่มเอาไว้อย่างรักใคร่ ก่อนที่นางจะหันมามองและยิ้มให้ร่างบางและก้าวเดินหายเข้าไปในร่างของเขา ทำให้ฝางเสี่ยวลิ่วรู้ได้ในทันทีว่าที่แท้หญิงวัยกลางคนที่ตนเห็นนั้นก็คือเทพรักษาประจำกายสังขารของชายหนุ่มนั่นเอง หญิงสาวจึงหลับตาลงทำสมาธิต่อไปอย่างสบายใจ
“ท่านลุงกับพี่เหอเก่งจังเลยนะเจ้าคะ นี่ขนาดพึ่งลองหัดนั่งเป็นครั้งแรกก็ยังนั่งได้นานขนาดนี้ ถ้าฝึกต่อไปเรื่อยๆ รับรองเลยว่าจะต้องนั่งได้ครั้งละหลายชั่วยามแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ก็ดีสิเสี่ยวลิ่ว ตอนนี้ลุงรู้สึกว่าร่างกายของลุงเบาสบายอย่างบอกไม่ถูกเลย ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเราแค่นั่งหลับตาเฉยๆแค่นี้ กลับทำให้เรารู้สึกสบายใจสบายกายเช่นนี้ได้” นายท่านหลูกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ในความคิดยิ่งรู้สึกมั่นใจถึงบางสิ่งบางอย่างที่ตนครุ่นคิดมาตั้งแต่เมื่อคืนมากยิ่งขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ ประโยชน์ของการนั่งสมาธิอย่างแรกที่เราจะได้นะเจ้าคะ ก็คือความสงบในจิตใจของตนเองเจ้าค่ะ เพราะในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นมักจะขวนขวายหาแต่สิ่งนอกกาย ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิง ทำให้เราลืมไปว่าความสงบในชีวิตนั้นก็สำคัญ ทั้งยังอยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้เอง แค่เพียงเราทิ้งกายลงนั่งสบายๆ หลับตาลงและมองดูลมหายใจเข้าออกของตนเองเท่านั้น เราก็จะมีความสงบสุขที่ออกมาจากภายในเจ้าค่ะ”
“เจ้าดูคล่องแคล่วเก่งยิ่งนักเสี่ยวลิ่ว บอกพี่ได้หรือไม่ว่าเจ้าไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างชื่นชม เขายังไม่เคยพบเจอหญิงใดที่รู้เรื่องเช่นนี้มากมายเท่ากับหญิงสาวตรงหน้าเลยสักคน ทั้งๆที่นางมีอายุอ่อนวัยกว่าเขาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นแต่นางกลับพูดจาราวกับว่าเข้าใจชีวิตได้ดีกว่าเขาหลายเท่านัก
“คือ ข้าก็ศึกษาไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันไปก่อนนะเจ้าสองคนน่ะ ลุงขอไปเอนหลังเสียหน่อยนั่งนานๆก็เริ่มเมื่อยเช่นกันนะเนี่ย”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
“หลังจากรักษาพี่เสร็จเเล้ว เจ้าคิดที่จะไปที่ไหนต่อหรือเสี่ยวลิ่ว” หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ข้าก็อาจจะเดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้ๆ เพื่อลงหลักปักฐานน่ะเจ้าค่ะ อืม..ท่านพอจะรู้จักเมืองใดที่สงบๆ ผู้คนไม่พลุกพล่านบ้างหรือไม่เจ้าคะ” ด้วยร่างนี้ยังมีภัยร้ายที่ตามคอยคุกคามอยู่ เพราะคนที่ตามทำร้ายคิดว่านางได้ตายจากไปแล้วนางจึงได้อยู่อย่างสงบในเวลานี้ แต่หากวันใดที่พวกมันเกิดรู้ว่าฝางเสี่ยวลิ่วยังคงมีชีวิตอยู่ คาดว่านางก็คงจะต้องถูกตามล่าเอาชีวิตจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกครั้งเป็นแน่ ไม่สู้นางฉวยโอกาสยามนี้ที่พวกมันยังไม่รู้เร่งสร้างรากฐานเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมาอีกนางก็จะได้มีกำลังไว้ปกป้องตนเอง ทั้งยังเรื่องของพี่ชายของร่างนี้ที่ต้องพลัดพรากจากกันอีก แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร แต่ในเมื่อนางได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ก็คงจะต้องทำหน้าที่ดูแลและสืบหาผู้เป็นพี่ชายให้เจอให้จงได้
“พี่ก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่เอาไว้ให้พี่ปรึกษาหารือกับท่านพ่อดูก่อนเถิด เผื่อท่านจะมีสิ่งใดชี้แนะ เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งยังกว้างขวางมากอยู่ทีเดียว”
“ขอบคุณมากนะเจ้าคะ ขอบคุณที่ทั้งท่านและท่านลุงดีกับข้าขนาดนี้ ข้าดีใจนะเจ้าคะที่ได้เข้ามารู้จักและช่วยเหลือท่าน”
“พี่ก็ดีใจและขอบคุณเจ้าเช่นกันที่เข้ามาช่วยชีวิตพี่เอาไว้ ขอบใจมากนะเสี่ยวลิ่ว” รอยยิ้มแห่งมิตรภาพเฉิดฉายขึ้นระหว่างคนทั้งสอง และพวกเขาก็หวังให้มันยังคงอยู่ไปนานแสนนาน
วังพยัคฆ์คำราม
วันนี้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเสด็จออกมา’ เยี่ยมเยียน’ อ๋องเก้าผู้เป็นพระอนุชา ทรงเสด็จมาพร้อมกับหงส์คู่บัลลังก์เป็นการส่วนพระองค์ เหล่าข้ารับใช้ของวังต่างก็วิ่งวุ่นจัดเตรียมปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดกันยกใหญ่ เมื่อถึงเวลาเสด็จเหล่าข้ารับใช้ทั้งหมดก็มาคุกเข่ารอต้อนรับ โดยมีร่างหนาที่อยู่ในชุดอ๋องเต็มยศนั่งรออยู่ภายในห้องโถง
‘ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน’
เสียงกล่าวถวายพระพรทำให้ร่างหนาขยับกายลุกขึ้นโดยมีองครักษ์คู่ใจคอยประคองอยู่ ก่อนจะพาให้เขาคุกเข่าแนบพื้นเมื่อทรงเสด็จพระดำเนินมาถึง
“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา ขอจรงทรงพระเจริญพะย่ะค่ะ” ร่างในชุดมังกรแย้มสรวลอย่างอารมณ์ดีที่เห็นสภาพของพระอนุชาเพียงองค์เดียวของพระองค์อยู่ในสภาพนี้ ทรงปรายพระเนตรทอดมองไปยังหงส์คู่บัลลังก์ที่ยืนจับจ้องมองร่างหนาของอ๋องเก้าด้วยสายตาเห็นใจ คาดว่าหากพระองค์ไม่ทรงประทับอยู่ที่ตรงนี้ด้วย ฮองเฮาของพระองค์ก็คงจะถลาเข้าไปประคองร่างหนาตรงหน้าด้วยตัวเองเสียแล้วกระมัง พระหัตถ์แกร่งทรงกำแน่นด้วยอารมณ์หึงหวงที่เริ่มปะทุ แต่เพียงชั่วครู่ก็ทรงคลายออกก่อนจะดำเนินไปหาร่างหนาที่ยังคงคุกเข่าอยู่ ก่อนจะตรัสถามอย่างสมพระทัย
“เป็นยังไงบ้างเล่าอ๋องเก้าน้องข้า หาหมอมารักษาได้หรือยังเล่า หรือว่าจะต้องกลายเป็นคนพิการตาบอดไปเสียแล้วจริงๆ” ไห่ชงหยูขบกรามแน่นก่อนจะทูลตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตอนนี้ยังหาไม่ได้พะย่ะค่ะ แต่ไม่ว่ายังไงกระหม่อมก็จะหาคนมารักษาตัวเองให้ได้ จะไม่มีวันยอมกลายเป็นคนพิการอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ดี เจิ้นก็ขอให้เจ้าจงโชคดีหาคนมารักษาได้ในเร็ววันก็แล้วกันนะ เอาล่ะถ้าเช่นนั้นก็กลับกันได้แล้วล่ะ ไปกันเถิดฮองเฮา”
“น้อมส่งเสด็จ”
” ฮองเฮา!”
“แต่ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันยังไม่ได้..”
“เรายังมีราชกิจอีกมาก เจ้าก็ต้องกลับไปดูแลวังหลังมิใช่หรือ อ้อ! หรือว่าตำแหน่งฮองเฮานี่มันจะหนักหนาเกินไปสำหรับเจ้า” เหลียนไฉ่หวาชะงักคำกล่าวคัดค้านที่กำลังจะเอ่ยออกไปในทันที ใบหน้าที่ตบแต่งอย่างปราณีตสวยงามรีบฉีกยิ้มเอาใจผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดิน
“ถ้าเช่นนั้นเราก็กลับกันตามพระประสงค์เถิดเพคะ เปิ่นกงไปก่อนนะอ๋องเก้า ขอให้หายไวๆ”
“น้อมส่งเสด็จทั้งสองพระองค์” ร่างหนาค้อมกายส่งอย่างไม่คิดที่จะตอบรับคำกล่าวของหงส์คู่บัลลังก์ ยามนี้เขาไม่ต้องการที่จะสู้รบปรบมือกับผู้ใดทั้งนั้น เพราะแค่การรับมือกับอาการบาดเจ็บของตนในทุกคราเขาก็แทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่แล้ว