นายท่านหลูอึ้งไปในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น สองตาของผู้สูงวัยทอดมองดูหญิงสาววัยใกล้เคียงกับบุตรชายของตนอย่างนึกเวทนา เกิดเป็นหญิงนั้นนับว่าลำบากมากกว่าการเป็นชายมากแล้ว แต่หากจะต้องเป็นหญิงที่ไร้ซึ่งบิดามารดาคอยรักษา ย่อมหมายถึงยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกเวทนาชีวิตของหญิงสาวตรงหน้า แต่บางสิ่งบางอย่างนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เวลา การดูคนก็เช่นเดียวกัน การใช้เวลาเพียงข้ามวันนั้นไม่สามารถที่จะบ่งบอกได้ว่าคนๆ นั้นดีจริงหรือไม่ ดังนั้นนายท่านหลูผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีจึงเก็บงำความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
หลังจากผ่านพ้นบทสนทนาอันชวนอึดอัดนั้นไปแล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน หญิงสาวจึงกลับเข้าห้องพักของตนที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ หลังจากที่อาบน้ำชำระกายเรียบร้อยแล้ว ร่างบางจึงมานั่งสางผมยาวสลวยของร่างนี้ที่ตนทำได้เพียงแต่มัดขึ้นสูงและรวบมันเข้าด้วยกันแบบง่ายๆ เท่านั้น สองตาจับจ้องไปยังใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นอันแสนน่ารังเกียจที่เริ่มลอกหลุดออกจากแก้มนวล ก่อนจะเอื้อมมือไปล้วงค้นในห่อผ้าห่อเล็กที่มีสมบัติเพียงเล็กน้อยของตนจนทั่ว ก่อนจะตื่นตระหนกขึ้นมาเมื่อหาสิ่งที่ตนต้องการไม่เจอ และเมื่อนึกย้อนกลับไปทำให้จำได้ลางๆ ว่าตนน่าจะทำห่อที่ใส่ยางไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถติดลงบนใบหน้าทำให้ดูคล้ายรอยแผลหล่นหายไว้ในศาลเจ้าร้างแห่งนั้นเสียแล้ว
” หวังว่าพรุ่งนี้รอยแผลคงจะยังไม่หลุดออกมานะ”
หญิงสาวนึกหวั่นว่าบาดแผลปลอมที่เธอสร้างขึ้นเพื่อปกปิดความงามของใบหน้าของร่างนี้จะถูกจับได้ เพราะเมื่อรักษาชายหนุ่มเสร็จแล้ว เธอก็ต้องจากจวนหลังนี้ไปซึ่งการออกเดินทางในแบบฉบับผู้หญิงตัวคนเดียวนั้นอาจจะทำให้ต้องพบเจอกับอันตรายรอบด้าน ซึ่งเมื่อตอนที่มาเข้าร่างนี้ใหม่ๆเธอก็เจอกับมันมาแล้ว ทำให้หญิงสาวต้องหาวิธีทำให้ใบหน้านี้อัปลักษณ์เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เอาเถิดหากยางไม้ที่ติดแก้มหลุดออกมาก็ค่อยหาวิธีปกปิดหน้าตาอีกทีก็แล้วกัน คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงวางแปรงที่ใช้แปรงผมเสียจนเงางามแล้วก่อนจะก้าวขึ้นเตียงนอนอย่างเมื่อยล้า หญิงสาวก้มตัวลงกราบพระสามครั้งพร้อมกับบอกกล่าวเทพผู้เป็นเจ้าที่เจ้าทางให้ช่วยปกปักรักษาคนในจวนแห่งนี้ก่อนจะทิ้งกายลงนอนและหลับไหลไปในเวลาอันรวดเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน
เมื่อรุ่งสางมาเยือนร่างบางที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาหลายวันก็ยังคงนอนหลับไหลอยู่อย่างสบาย จนกระทั่งยามสายของวันจึงได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนจะพบว่าเป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริงๆ เมื่อแผ่นยางที่ติดเเก้มได้หลุดออกและหล่นอยู่บนที่นอน เมื่อไร้ทางออกหญิงสาวจึงตัดสินใจใช้ผ้าผืนบางคลุมใบหน้าเอาไว้ ซึ่งวันนี้เธอตั้งใจที่จะใช้เวลาที่ว่างสอนให้หลูเยี่ยเหอหัดนั่งสมาธิเจริญกรรมฐานเพื่อสร้างบุญและบารมีให้กับตนเอง เผื่อหากว่าในวันข้างหน้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะได้มีบุญบารมีมากพอที่จะช่วยเหลือตนเองได้
“เป็นยังไงบ้างเสี่ยวลิ่ว เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่” นายท่านหลูเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างบางที่มีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าของตนอยู่เดินตามบ่าวรับใช้เข้ามา
“สบายดีเจ้าค่ะท่านลุง สบายจนเผลอนอนตื่นสายเลยเจ้าค่ะ ขออภัยนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เป็นธรรมดาของร่างกายน่ะ ที่หากเหนื่อยล้ามากเมื่อยามได้พักผ่อนก็จะหลับทิ้งตัวเพื่อซ่อมแซมทดแทนพลังงานที่เราใช้ออกไป พักผ่อนเยอะๆน่ะดีแล้ว จะได้มีแรงรักษาอาการของอาเหออย่างไรเล่า”
“เจ้าค่ะ”
“อ้าว!นู่นไงอาเหอมาพอดี งั้นเรามาทานอาหารเช้าด้วยกันเถิด”
“ขอรับท่านพ่อ”
“เจ้าค่ะ”
ระหว่างที่รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ฝางเสี่ยวลิ่วที่มีผ้าคลุมหน้าต้องก้มหน้าทานอาหารด้วยอากัปกิริยาที่ไม่สะดวก เพราะต้องคอยเปิดปิดผ้าจนสองพ่อลูกต้องหันไปมองหน้ากันอย่างนึกขำ
“เสี่ยวลิ่ว” เสียงทุ้มที่เริ่มมีเรี่ยวแรงเอ่ยเรียกจนหญิงสาวต้องชะงักการวุ่นอยู่กับผ้าคลุมหน้าเงยขึ้นมองอย่างสงสัย
“พี่ว่าเจ้าถอดผ้าคลุมหน้าออกเสียก่อนเถิด ดูสิต้องคอยจับผ้าเปิดปิดอยู่เช่นนั้นดูแล้วไม่สะดวกเอาเสียเลย พี่กับท่านพ่อไม่ถือสาเรื่องเอ่อ..เรื่องแผลบนใบหน้าของเจ้าหรอก” หากเป็นในยามที่มีแผลติดอยู่บนแก้ม ไอฝนที่อยู่ในร่างนี้คงจะเปิดผ้าและกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยตามคำบอกไปแล้ว แต่ยามนี้ใบหน้าที่มีความงามไม่ธรรมดาของฝางเสี่ยวลิ่วนั้นไร้ซึ่งสิ่งใดปกปิด นางจึงไม่อยากจะเสี่ยงให้ผู้ใดได้เห็นสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะพี่เหอ คือผิวข้าค่อนข้างที่จะแพ้แดดในตอนกลางวันน่ะเจ้าค่ะ หากคลุมปกปิดไว้น่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“อ้อ เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ถ้างั้นก็ตามใจเจ้าเถิด” จากนั้นทั้งหมดจึงพากันรับประทานอาหารเช้าพลางพูดคุยเรื่องราวสัพเพเหระกันอย่างมีความสุข
“เอาล่ะเจ้าค่ะ ต่อไปเราก็มาหัดทำสมาธิกันดีกว่านะเจ้าคะ”
“ทำสมาธิ! ทำยังไงหรือเสี่ยวลิ่ว” หลูเยี่ยเหอถามอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาก็เห็นเพียงแต่เหล่าไต้ซือหรือซินแสแก่ๆ เท่านั้นที่มักจะนั่งหลับตาแถมยังบ่นพึมพำด้วยภาษาที่ฟังไม่ออก ทำให้เขานึกภาพที่ตนจะต้องนั่งบ่นพึมพำเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นไม่ออกเลยจริงๆ
“ไม่ยากเลยเจ้าค่ะ และท่านลุงก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกันนะเจ้าคะ ลองดูสักหน่อยมั้ยเจ้าคะ”
“จริงหรือ ถ้างั้นเดี๋ยวลุงจะหัดทำด้วยก็แล้วกัน” ร่างที่ท้วมขึ้นตามวัยก้าวเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่หญิงสาวให้บ่าวรับใช้จัดไว้โดยมีบุตรชายของตนนั่งทำหน้างงอยู่
“เอาล่ะเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเลยนะเจ้าคะ” ร่างบางทรุดลงนั่งที่ด้านหน้าของทั้งสองก่อนจะเริ่มสอนวิธีทำสมาธิขั้นพื้นฐานแบบง่ายๆ แบบที่ตนทำอยู่เป็นประจำ
“หลับตาลงแล้วก็เริ่มหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ นะเจ้าคะ หลังจากนั้นก็ให้ค่อยๆ ควบคุมให้ความคิดของเราจดจ่อมุ่งไปตามดูลมหายใจเข้าออกของร่างกายตนเองไปเรื่อยๆ ไม่ต้องบังคับแต่ก็ไม่ปล่อยเลยตามเลยเช่นกัน หากว่ายามใดที่ความคิดของเรามุ่งไปที่ทิศทางอื่นหรือไปหลงคิดถึงสิ่งอื่น ก็ให้ค่อยๆ ดึงความคิดนั้นกลับมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจตามเดิมเจ้าค่ะ” หลังจากที่นั่งทำสมาธิไปสักพักหญิงสาวก็รู้สึกถึงบรรยากาศรอบกายของตนที่เปลี่ยนไป นางจึงออกจากสมาธิและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองอย่างสงสัย ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเห็นตรงหน้า