Chapter 1 ข้าเป็นผีความจำเสื่อม
ข้าออกเดินด้วยเท้าเปล่ามาเนิ่นนาน ไม่สิ...ปลายเท้าของข้าไม่อาจสัมผัสผืนแผ่นดินด้วยซ้ำไป แต่ถ้าจะให้ถูกต้องคงต้องบอกว่า ข้าล่องลอยเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมาย นั่นเพราะตัวข้านั้นเป็นผีความจำเสื่อม
ช่างน่าสมเพชสิ้นดี!
ข้าไม่รู้ว่าตนเองชื่ออะไร
ข้าไม่รู้ว่าข้ามีสุสานอยู่ที่ใด
ข้าไม่รู้ว่าข้ามีญาติหรือไม่เพราะไม่เคยมีของเซ่นไหว้ตกถึงท้อง อีกทั้งยังไม่เคยมีใครเผากระดาษเงินกระดาษทองมาให้ข้าได้ใช้สอยคลายความแร้นแค้นสักนิด
เมื่อครั้งยังเป็น ‘คน’ ข้าคงสร้างแต่กรรมชั่ว จึงบาปหนากลายเป็นผีเร่ร่อนเช่นนี้ คิดพลางวางมือลงบนหน้าท้องแล้วลูบไปมาเบาๆ ด้วยความหิวโหย
ผีสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งใต้กอกล้วย ทว่าจู่ๆ กลับรู้สึกได้ถึงไอเย็นประหลาด บรรยากาศรอบกายพลันหดหู่จนรู้สึกคลื่นไส้ รับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วยะเยือกที่หลังคอจนขนอ่อนบริเวณนั้นลุกวาบ วาบ วาบ...
พลันเส้นขนทุกเส้นบนร่างกายก็ชี้ชันราวกับต้องการจะบอกใบ้ถึงพลังงานลี้ลับบางอย่างแก่นาง
“ให้ตายเถอะ ข้าไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย”
มือที่กำลังลูบท้องเลื่อนมาลูบแขนทั้งสองข้างของตนเองไปมา ค่อยๆ เหลือบตามองซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวง
และแล้ว...
จู่ๆ ก็มีมือเย็นยื่นมาสะกิดที่หัวไหล่บอบบาง นางรีบหันกลับไปถึงกับผงะด้วยความตกใจกลัว หวีดร้องหลับตาแน่น
“ผีหลอก!”
นางหลับหูหลับตา ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “อย่าทำอะไรข้าเลย ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว!”
ผีปาเจียวกุ่ย[1]โผล่ลำตัวเพียงครึ่งออกมาจากต้นกล้วย ยื่นมือยาวมาสะกิดไหล่นางอีกครั้งราวกับต้องการจะบอกอะไร
“เจ้าจะตกใจโวยวายไปทำไมกัน ตัวเจ้าก็เป็นผีเช่นเดียวกับข้า” ปาเจียวกุ่ยต่อว่าอย่างไม่ชอบใจ นี่คงเพิ่งตายไม่นานสินะ ถึงได้ขวัญอ่อนถึงเพียงนี้
‘หึ! พวกผีอ่อนหัด’
ผีสาวได้ยินเช่นนั้นก็อ้าปากค้าง นิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ สมองค่อยๆ ประมวลผลก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ
“นะ...นั่นสินะ ขะ...ข้าเองก็เป็นผีเช่นกันกับเจ้า”
ใบหน้าของนางสลดเศร้าพลางก้มลงมองชุดสีขาวราวกับชุดนอนที่นางสวมใส่แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้จะเฝ้าถอนหายใจซ้ำๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีลมหายใจพ่นออกมาจริงๆ เสียที่ไหนกัน
เฮ้อ!
“ข้าเพียงแค่จะบอกเจ้าว่าต้นกล้วยกอนี้ ข้าจองแล้ว เจ้าไปสิงสถิตที่อื่นเถอะ”
ปาเจียวกุ่ยโบกมือไล่ก่อนจะหายวับเข้าไปในต้นกล้วยอย่างไม่สนใจไยดีผีสาวอ่อนหัดอีกต่อไป
“เป็นผีนี่ไม่ง่ายเลย จะนั่งพักตรงไหนก็ต้องคอยดูว่าที่นั้นๆ มีผีตนอื่นจองไว้แล้วหรือไม่ ช่างลำบากเหลือเกิน”
ผีสาวลุกขึ้นยืนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงล่องลอยต่อไปอย่างไร้จุดหมาย นี่ก็เดือนผี[2]แล้วแต่เหตุใดข้าจึงไม่มีญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ข้าช่างเป็นผีที่บรมซวย ในเมื่อจำเหตุการณ์ก่อนตายไม่ได้ ก็กลับบ้านไปรับส่วนบุญส่วนกุศลไม่ได้ จำต้องเร่ร่อนหลงทางหากินของเซ่นไหว้ที่ชาวบ้านนำวางไว้เพื่อไหว้ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋[3]ที่หิวโหยไม่มีญาติ
ช่างน่าเวทนาตัวข้าเองเหลือเกิน
ผีสาวเร่ร่อนเข้าไปในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน เห็นเหล่าผีบรรพบุรุษกลับมาหาลูกหลานแล้วยิ่งสะท้อนใจ ทิ้งตัวลงนั่งคุดคู้อยู่ริมถนน ก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“หิว...ข้าหิวเหลือเกิน...”
นางครวญเสียงแผ่วเบายะเยือก ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังงานบางอย่างจนมีไอเย็นแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณนั้น ทำให้ชาวบ้านที่สัญจรผ่านไปมารู้สึกขนลุกชันขึ้นมาเสียดื้อๆ จำต้องรีบซอยเท้าถี่ๆ เพื่อเดินผ่านจุดนั้นไปให้เร็วที่สุด
“ข้าหิว...”
ความหิวมันช่างทรมานเหลือเกิน ถ้าข้าต้องตายจากความเป็นผีเพราะหิวตาย คงเป็นดวงวิญญาณที่น่าเวทนายิ่งนัก
“ฮือ... ฮือ ข้าหิว ข้าไม่อยากตายอีกแล้ว ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าเหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย...”
จังหวะที่นางกำลังโหยหวนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีกลิ่นหมั่นโถวลอยอวลเข้าจมูก เมื่อนางลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าหมั่นโถวลูกนั้นหล่นจากห่อผ้าของคุณชายท่านหนึ่ง นางเอื้อมมือคว้าหยิบหมั่นโถวนั้นขึ้นมากินด้วยความหิวกระหาย
“แปลกจัง! แค่ของที่ร่วงจากห่อผ้า ไม่ได้จุดธูปเซ่นไหว้ผี ไม่ได้เอ่ยอนุญาตให้ผี แต่เหตุใดข้าจึงหยิบมากินได้”
นางครุ่นคิดก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างอย่างมีความหวัง รีบหยัดกายลุกขึ้นจากการนั่งคุดคู้ แล้วเร่งรุดตามคุณชายท่านนั้นไปอย่างไม่รีรอ
หากนางติดตามชายผู้นี้นางก็จะได้กินอิ่มทุกมื้อ ขอเพียงเฝ้ารอให้เขาทำอาหารตกพื้นเท่านั้น แล้วถ้าหากที่บ้านของคุณชายท่านนี้มีพิธีเซ่นไหว้วิญญาณ นางก็แค่ตีเนียนอยู่กินที่นั่นเสียก็สิ้นเรื่อง
“ถึงข้าจะเป็นผีความจำเสื่อม แต่ข้าก็ฉลาดอย่าบอกใครเชียว”
ผีสาวยิ้มกว้างอย่างลำพองตน ยื่นสองมือเกาะหลังคุณชายรูปงามไว้ แล้วปล่อยร่างกายให้ล่องลอยไปตามเขาราวกับว่าวกระดาษ ไม่ว่าเขาจะไปยังแห่งหนใด นางจะขอติดตามเขาไปจนสุดหล้า…
คุณชายรูปงามเดินไปตามหนทางเบื้องหน้าอย่างไม่เร่งรีบ เขาเดินทางมาจากทางทิศตะวันออกของหุบเขาคุนจ้วนสือ เพื่อไปยังทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของเมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ของแคว้นเซี่ยโจว
เขาแหงนหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์ที่แผดแสงแรงกล้าอยู่เหนือศีรษะ คำนวณระยะเวลาการเดินทางคร่าวๆ คิดว่าเมื่อตะวันลาลับเหลี่ยมเขาก็คงเดินทางถึงเมืองฝางพอดิบพอดี
ดังนั้นหากพักกินอาหารเที่ยงและดื่มชาสักจอกก็คงไม่ทำให้การเดินทางเสียเวลาลงแต่อย่างใด
คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็หยุดพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเมืองเถา ทว่า...ดวงวิญญาณสาวที่ตามติดมาอย่างสบายใจมีอันต้องผงะ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจเข้าไปยังสถานที่ที่มีโถวตีกง[4]คอยดูแลอยู่
พลันปรากฏชายชราในชุดสีขาวขึ้นหน้าประตูโรงเตี๊ยม หน้าตาชายชราขึงขังจ้องมองมายังผีสาวอย่างเอาเรื่อง
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้า!”
โถวตีกงชราตวาดกร้าวเสียงดังลั่นจนเกิดกระแสลมแรงบริเวณนั้น หมุนวนจนเศษดินฟุ้งตลบไปทั่ว
[1] ผีต้นกล้วย มีลักษณะคล้ายนางตานีของไทย
[2] วันที่ 15 เดือน 7 วันสารทจีน วันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้
งหลายมารับกุศลผลบุญได้
[3] สัมภเวสี
[4] เจ้าที่