“แล้วถ้าเกิดว่าท่านชีคทรงทราบเข้าล่ะพ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะทำอย่างไรดี”
องครักษ์นาฟฟาลตั้งโจทย์ปัญหาไว้ก่อน เพราะหากเจอสถานการณ์นั้นเข้าจริงๆ พวกเขาจะได้หาลู่ทางแก้ไขได้ทันท่วงที
“ก็อย่าให้ท่านพ่อรู้สิวะ” เจ้าชายคามิลตรัสตอบเสียงห้วน
“โธ่ เจ้าชาย พระองค์ก็รู้ดีนี่พ่ะย่ะค่ะ ว่าท่านชีคมีหูมีตายังกับตาสับปะรด ใครทำอะไรท่านชีคทรงรู้เรื่องไปเสียทุกอย่าง ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าชายแล้ว ก็ยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษ กระหม่อมเลยเกรงว่าพวกเราจะทำการเชิญเจ้าสาวของท่านชีค มารับประทานมื้อค่ำที่นี่ไม่สำเร็จนะสิพ่ะย่ะค่ะ”
พอองครักษ์นาฟฟาลเตือนในเรื่องที่เป็นจริงทุกประการ เจ้าชายคามิลก็ตีสีพระพักตร์ครุ่นคิดไปกับคำพูดของอีกฝ่าย
“เออ...จริงของเจ้า ท่านพ่อคอยสอดส่องเรื่องของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้างั้นจะทำอะไรที่เป็นการเอิกเกริกก็คงจะไม่ได้แล้ว”
“ถ้าพาตัวผู้หญิงที่ชื่อฐิติรดามาได้ เจ้าชายจะให้เธออยู่ที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์นาฟฟาลถามต่อ เตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัวในทุกเมื่อ
“ก็ใช่นะสิ ถ้าไม่ให้อยู่ที่นี่ เจ้าจะให้เราพาเธอไปอยู่ที่ไหน”
ราชนิกุลผู้องอาจกระแทกสุรเสียงตอบ เวลานี้หัวสมองอันชาญฉลาด ขบคิดแผนการปลีกย่อยอื่นๆ ไว้รอรับ
ฐิติรดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่าองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งเกรงว่าเจ้าเหนือหัวตนเองจะถูกพระบิดาลงโทษกับความอาจหาญในครั้งนี้ จึงพยายามตั้งโจทย์สมมุติฐานเอ่ยถามเจ้าชายคามิลไปเรื่อยๆ
“ถ้าเจ้าชายพาเธอมาอยู่ที่นี่ ในตำหนักแห่งนี้ ท่านชีคก็ต้องมารับกลับไปเข้าพิธีอภิเษกอยู่ดี ทำไมเจ้าชายไม่ส่งเธอกลับประเทศของเธอ หรือไม่ก็ส่งไปอยู่ต่างประเทศสักพักใหญ่ๆ พอท่านชีคลืมเธอ หรือมีนางบำเรอคนใหม่แล้ว ค่อยพาเธอกลับมาประเทศอาคาเรียอีกครั้ง”
“จะต้องทำแบบนั้นให้ลำบากไปทำไมล่ะไอ้นาฟฟาล” เจ้าชายคามิลกระตุกยิ้มตรงมุมโอษฐ์ ก่อนจะตรัสต่ออย่างมีเลศนัย
“เมื่อข้าวสารมันกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ท่านพ่อก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถึงตอนนี้ท่านพ่อยังอยากอภิเษกกับผู้หญิงที่เต็มไปด้วยราคี ก็ให้มันรู้ไป”
“หมายความว่า...เจ้าชายจะจัดการกับผู้หญิงที่ชื่อฐิติรดาก่อนท่านชีคยังงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์นาฟฟาลตะเบ่งเสียงถามเสียงหลง เบิกตาโตอย่างนึกไม่ถึง เพราะตอนแรกเขาเข้าใจว่าเจ้าชายคามิลแค่ต้องการลักพาตัวว่าที่เจ้าสาวมาซ่อนตัวไว้ เพื่อต้องการล้มพิธีอภิเษกเท่านั้น เขาไม่นึกว่าเจ้าเหนือหัวจะทรงคิดไปไกลถึงเพียงนี้
“ฮึ! เจ้าคิดว่าเราจะเอาผู้หญิงคนนั้นมาเก็บไว้บนหิ้งหรือยังไง เราจะสอนเธอให้หลาบจำว่าอย่าคิดเกาะผู้ชายกิน และอย่าคิดมาสูบเงินไปจากท่านพ่อ เมื่อใดที่ท่านพ่อล้มเลิกเรื่องการอภิเษกกับเธอแล้ว เราก็จะปล่อยให้เธอไปตามทางที่จากมา”
เจ้าชายคามิลตรัสตอบสุรเสียงเข้ม พลางออกคำสั่งในเรื่องที่พระองค์ได้สั่งไปตั้งแต่ต้น
“เจ้าไปหาข้อมูลมาว่าฐิติรดาเดินทางมากับสายการบินไหน และเครื่องบินมาถึงตอนกี่โมง”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปหาข้อมูลมาเดี๋ยวนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ”
“เราให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วโมง นาฟฟาล”
เจ้าชายคามิลคาดเส้นตาย และก่อนองครักษ์นาฟฟาลจะเดินจากไปทำตามคำสั่ง ก็ได้ตรัสสั่งเพิ่มมาอีกเรื่อง
“นาฟฟาล หาข้อมูลมาด้วย ว่าเจ้าสาวของท่านพ่อขนญาติโกโหติกามาสักกี่สิบ กี่ร้อยคน เราจะได้จัดการกับคนพวกนั้นได้ถูกต้อง”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย ไม่เกินสามสิบนาที เจ้าชายจะได้รับข้อมูลตามที่รับสั่งทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์นาฟฟาลเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น ข้อมูลเพียงแค่นี้ไม่เกินความสามารถของเขา ซึ่งนอกจากจะเป็นองครักษ์ผู้เก่งกาจแล้ว ยังเป็นนักเฮกเกอร์ข้อมูลมือหนึ่งเสียด้วย
แต่จะว่าไปแล้ว การหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางของว่าที่เจ้าสาวของชีคอัลซาร์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ก็ในเมื่อเจ้าชายคามิลเองก็เป็นเจ้าของสายการบินพาณิชย์ภายในประเทศอาคาเรีย แถมยังมีอำนาจไม่ต่างจากพระบิดา แค่เพียงเอ่ยชื่อของเจ้าชายคามิล ผู้อำนวยการสนามบินก็รายงานข้อมูลให้ทราบจนหมดสิ้นตามที่เขาได้ถามออกไป
เข็มนาฬิกาเดินทางยังไม่ถึงสามสิบนาทีดี องครักษ์นาฟฟาลก็นำข้อมูลที่ได้รับ มารายงานให้เจ้าเหนือหัวทรงทราบ
“เจ้าชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างรอองครักษ์นาฟฟาลหาข้อมูลมารายงานตนเอง เจ้าชายคามิลก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ทรงเอางานที่ทำคั่งค้างอยู่มาจัดการทำให้เสร็จสิ้น
ในยุคโลกาภิวัตน์ มีการสื่อสารอันสะดวกทันสมัย เจ้าชายคามิลจึงไม่จำเป็นต้องไปนั่งทรงงานในห้องทรงงานหรูหรา ในสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง แค่เพียงอยู่ที่นี่ ที่โอเอซิสแห่งนี้ พระองค์ก็สามารถทรงงานได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างพระองค์ไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองหลวงด้วย จึงปลีกตัวมาอยู่ในตำหนักแห่งนี้ แทนการอยู่ในพระราชวังกับพระบิดา
และเมื่อได้ยินคำรายงานขององครักษ์นาฟฟาล ก็ทรงเงยพระพักตร์จากงานที่ทำอยู่ พลางตรัสถามองครักษ์เอก ซึ่งกำลังเดินเร็วๆ เข้ามาในห้องทรงงานของพระองค์
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้างนาฟฟาล”
“กระหม่อมสอบถามผู้อำนวยการสนามบินแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าผู้หญิงที่ชื่อฐิติรดาจะเดินทางมาถึงประเทศอาคาเรียในอีกสองวันข้างหน้า เครื่องบินจะลงจอดราวๆ หกโมงเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
“เธอมากับใคร”
เจ้าชายคามิลทรงตรัสถามสุรเสียงเข้ม พอองครักษ์นาฟฟาลเอ่ยตอบออกมา ก็กระตุกยิ้มตรงมุมโอษฐ์ด้วยความถูกพระทัย
“เธอมาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีพ่อแม่หรือบรรดาญาติๆ ของเธอติดสอยห้อยตามมาแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“มาคนเดียวแบบนี้สิดี เราจะได้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น” ชายชาติกษัตริย์ทรงเค้นสุรเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะตรัสสั่งงานต่อ
“เจ้าเตรียมคนของเจ้าให้พร้อม ทำทุกอย่างให้เงียบเชียบที่สุด แล้วเราจะบอกเจ้าเองว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อขโมยว่าที่เจ้าสาวมาจากท่านพ่อ”
องครักษ์นาฟฟาลโค้งคำนับรับคำสั่ง “ได้พ่ะย่ะค่ะ คนของกระหม่อมพร้อมทุกเมื่อ ขอแค่เพียงเจ้าชายรับสั่งออกมา พวกเราก็พร้อมทำตามคำสั่งทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก! นาฟฟาล” เจ้าชายคามิลยิ้มเยาะ พลางตรัสออกมาอย่างคนเลือดเย็น “ฐิติรดา เธออย่าหวังว่าจะได้เป็นหนูตกถังข้าวสาร เพราะเจ้าชายคามิล จะทำให้ฝันของเธอสลาย เธอไม่มีทางได้เป็นซินเดอเรลล่าแน่”
ราชนิกุลผู้เลือดเย็นอย่างเจ้าชายคามิล ฮานีฟ อาคาเรีย ไม่สนพระทัยว่าใครจะได้รับความเดือดร้อน ไม่สนพระทัยว่าใครจะเจ็บปวดจากการกระทำของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ต้องการและต้องได้ด้วย นั่นก็คือการขัดขวางทุกวิธีทางไม่ให้ผู้หญิงเห็นแก่เงินอย่างฐิติรดา ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของพระองค์ ซึ่งพระองค์คงทำใจยอมรับไม่ได้ หากต้องก้มหัวให้กับแม่เลี้ยงที่มีอายุอ่อนกว่าพระองค์ถึงห้าปีเต็ม!