อีกฟากหนึ่งชายหนุ่มใช้เวลาเดินทางมาที่ร้านอาหารเหนือชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่เพียงแค่สามสิบนาทีเท่านั้น แต่ความรู้สึกของเขากลับรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน เพราะเขาใจร้อนและอยากเจอเธอคนนั้นไวๆ ให้สมกับที่เขาไม่ได้เจอเธอมานาน
ทันทีที่ชายหนุ่มเห็น เรนิตา ดาราสาวชื่อดัง แต่กลับไม่มีใครทำให้หัวใจเขามันมีอารมณ์หลากหลายจนรู้สึกพลุ่งพล่านไปหมด วันนี้เธออยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขายาว สวมแว่นตากันแดดสีดำ ในลุคสบายๆ แต่บุคลิกและรูปร่างหน้าตาของเธอกลับทำให้เธอโดดเด่นจนผู้คนต้องหันไปให้ความสนใจ รวมถึงภาสกรเองที่รู้สึกราวกับต้องมนต์สะกด เรนิตายังคงสวย สดใส น่ารักและเป็นธรรมชาติเสมอ…แม้ว่าดาราสาวจะพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนทั่วไปแต่ออราในตัวทำให้เธอดูโดดเด่นกว่าใคร ทุกคนกลับจำเธอได้ดี และต่างรุมล้อมที่จะเข้ามาถ่ายรูปกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“รอนานไหมครับคุณเรย์”
“ไม่นานเลยค่ะ เรย์รอได้ ขอบคุณมากนะคะ” ในขณะที่ดาราสาวก็ตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน
“เอ่อ ยังไง เดี๋ยวเชิญคุณเรย์เข้าร้านได้เลยนะครับไม่ต้องรอคิว”
บทสนทนาระหว่างเจ้าของร้านกับดาราสาว เป็นสิ่งที่ภาสกรไม่ชอบ เมื่อเจ้าของร้านให้อภิสิทธิ์คนมีชื่อเสียงและให้แซงคิวลูกค้าคนอื่นๆ ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เอ่อ…ไม่เป็นไรดีกว่า…เรย์เกรงใจค่ะ” เรนิตาพยามบ่ายเบี่ยงเพราะเกรงว่าคนอื่นจะมองว่าเธอได้รับสิทธิพิเศษ
“หึ! เพิ่งรู้ว่าเป็นดาราแล้วจะแซงคิวได้ รู้จักคำว่ามารยาทบ้างไหมคุณ” นาทีนั้นไม่รู้อะไรเข้าสิง ทำให้ภาสกรพูดประโยคนั้นออกไป เขารู้แต่เพียงว่าหากหญิงสาวเลือกจะแซงคิวทุกคนเพื่อให้ตัวเองได้รับความสะดวกสบายล่ะก็ เขาคงหมดความชื่นชมในตัวเธอไปมาก
“นี่คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้กับคุณเรย์ ไม่รู้เหรอว่าคุณเรย์เป็นใคร” เจ้าของร้านพูดจาอย่างเอาเรื่องภาสกร เขาคงจะหัวเสียที่ชายหนุ่มไปพูดจาขัดโชคของเขา เพราะนานๆ ทีจะมีดาราดังมาช่วยโปรโมทร้าน
“อย่าเลยค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ เรย์ไม่ถือ” เรนิตารีบห้ามทันที ก่อนที่เธอจะหันมาสบตากับภาสกร แวบเดียวเท่านั้นที่ชายหนุ่มเห็นสายตาสงสัยและตั้งคำถามของเธอ และไม่นานหญิงสาวก็จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เอ่อ น้องเรย์คะ พี่ว่า...” ผู้จัดการส่วนตัวของเรนิตา ได้พยายามที่จะทำหน้าที่ของเธออย่างดีที่สุดโดยการห้ามปรามไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น
“ผมพูดอะไรผิดเหรอครับ แค่สงสัยว่า...เป็นดารานี่แซงคิวคนอื่นได้ด้วยงั้นเหรอ?” ภาสกรพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงกวน ยกแขนขึ้นกอดอกพลางปรายตามองหญิงสาวด้วยสายตาเย้ยหยัน แล้วยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยท่าทางกวนๆ
“คุณคะ ฉันไม่ได้จะแซงคิวอย่างที่คุณเข้าใจค่ะ” เธอตอบกลับเสียงแข็ง รู้สึกหมั่นไส้ผู้ชายตรงหน้า แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มหยุดแต่เพียงเท่านี้
‘หน้าตาดี พอๆ กับปากดี ไม่สิ น่าจะปากหมา’
เรนิตาลอบถอนใจแต่คู่กรณีก็ยังไม่หยุด
“ก็เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าของร้านเตรียมพาคุณเข้าร้านทั้งที่มีคนยืนรอก่อนหน้าคุณเกือบยี่สิบคนเลยนะ คุณนี่ไม่ใช่เด็กเส้นธรรมดา คงจะเส้นก๋วยจั๊บเลยสิ” ภาสกรแกล้งพูดเสียงดังขึ้นอีกระดับแล้วสังเกตว่าดาราสาวหน้าแดงขึ้นเพราะรู้สึกอับอาย
“ผมเป็นเจ้าของร้าน จะขายใครก่อนทานหลังก็ได้ คุณเรย์ ดาราชื่อดังอุตส่าห์มาทานอาหารร้านผม ผมต้องต้อนรับเป็นพิเศษอยู่แล้ว ให้ปิดร้านต้อนรับคุณเรย์คนเดียวก็ทำได้” เจ้าของร้านเองก็รีบออกตัวปกป้องเรนิตา
“พี่คะ อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” เรนิตาหันไปพูดกับเจ้าของร้านด้วยน้ำเสียงปนตำหนิ “เรย์รอคิวได้ ให้เรย์เข้าร้านตามคิวดีกว่าค่ะ”
“ไม่ครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน จะให้อภิสิทธิ์พิเศษกับคุณเรย์ยังไงก็ได้ ใครมีปัญหาก็ไม่ต้องมากินร้านนี้”
“หึ โอเค ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องไปหาร้านอื่นกินแล้วละ ถ้ารู้ว่าเจ้าของร้านมีทัศนคติในการให้บริการลูกค้าแย่ๆ แบบนี้ ผมคงไม่มาแต่แรก ไม่เข้าใจเลยเนอะว่าทำไมร้านคุณถึงดัง สงสารร้านเล็กๆ ที่เจ้าของอาจจะมีความคิดดีๆ มากกว่าคุณ” ภาสกรสาดคำด่าออกมาน้ำเสียงนิ่งๆ เขาคิดว่าป่วยการที่จะพูดอะไรกับเจ้าของร้านดังกล่าวอีกต่อไป เขาไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้เป็นทุนเดิม
“นี่คุณ! ใจเย็นสิคะ คุณเองก็ไม่มีสิทธิ์มายืนต่อว่าคนอื่นแบบนี้นะคะ ก่อนจะพูดอะไรควรให้คนอื่นได้อธิบายบ้าง” แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกจากร้านไปเพราะไม่ชอบทัศนคติเจ้าของร้าน เสียงของเรนิตาก็ดังขึ้น เขาลอบยิ้มมุมปากหนึ่งครั้งก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเธอ
“งั้นคุณก็เชิญอธิบายมาสิครับ คุณดาราดัง” ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างท้าทาย
เรนิตาไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ เหมือนเธอจะลืมหรือวางทิ้งความเป็นดาราไว้ชั่วครู่ “ได้ ฉันจะอธิบายให้ฟัง ร้านนี้มีกล้องวงจารปิด ถ้าเปิดมาดูแล้วฉันไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์เหนือใคร คุณจะขอโทษฉันไหม”
“พอเถอะค่ะน้องเรย์” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ผู้จัดการสาวก็รีบเข้ามาห้ามปรามอีกครั้ง
“พี่เรย์คะ อย่าสนใจเลยค่ะ พวกหนูว่า เขาอาจจะเป็นพวกบ้าดารา แต่เข้าหาไม่เป็น เลยชวนทะเลาะเพื่อหาเรื่องคุยกับพี่เรย์ก็ได้” กลุ่มเด็กสาวที่เป็นแฟนคลับเรนิตาออกปากช่วยเหลือทันที
“จริงค่ะพี่เรย์ หนูอุตส่าห์คิดว่าพี่เขาดูหล่อเท่ดี นึกว่าเป็นพระเอกใหม่ ไม่คิดเลยว่าจะปากเสียใส่พี่เรย์แบบนี้ คนอะไรหน้าตาก็ดี แต่ท่าทางเถื่อนชะมัด” เด็กสาวอีกคนรีบช่วยพูดทันทีก่อนจะหันไปมองทางภาสกรปนตำหนิ นั่นยิ่งทำให้ภาสกรรู้สึกท้อใจกับค่านิยมของคนในประเทศนี้ ยิ่งเห็นว่าชุดความคิดนี้มาจากคนรุ่นใหม่เขาก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตของประเทศ เพราะหากทุกคนยังปฏิบัติต่อกันไม่เท่าเทียม แบบนี้คนจนหรือคนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงก็คงไม่ได้รับความยุติธรรมไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
“โอ้โห ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโลกกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เป็นคนดังทำอะไรแล้วถูกเสมอ” ภาสกรบ่นลอยๆ พลางกลอกตามองบน ป่วยการที่จะไปโต้เถียงกับเด็กๆ เหล่านี้
“ฉันแค่อยากจะอธิบายว่า ฉันไม่คิดจะแซงคิวคุณหรือว่าใครทั้งนั้น ถึงจะเป็นดารา แต่ฉันก็มีมารยาทมากพอ ฉันรู้ค่ะว่าอะไรควรอะไรไม่ควรค่ะ” เรนิตาตอบกลับคนตัวสูงตรงหน้านิ่งๆ ในขณะที่ภาสกรรับฟังคำอธิบายจากเธอด้วยความพึงพอใจ เขาดูคนไม่ผิดจริงๆ…ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย และแสร้งทำทีเหมือนไม่เชื่อเธอ ก่อนจะเดินจากไป
“คนบ้า! กวนประสาท” เสียงตะโกนด่าของเรนิตาไล่หลังมา มันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโมโหแต่อย่างใด แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกชอบใจในตัวเธอมากขึ้นเสียอีก การที่เขาเลือกจะทำพฤติกรรมแบบนั้นกับหญิงสาวก็เพราะไม่อยากอวยหรือเอาใจเธอเหมือนเหล่าแฟนคลับจนเธอติดเป็นนิสัย และก็เพื่อพิสูจน์ด้วยว่าหญิงสาวเป็นคนอย่างไร แม้ว่าการเจอกันในครั้งนี้แม้มันจะดูเหมือนเป็นความทรงจำที่แย่ แต่สำหรับชายหนุ่มมันคือความทรงจำที่ดีเพราะทำให้เขาได้เห็นเบื้องลึกในจิตใจของผู้หญิงที่เขาเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ มาเนิ่นนาน
ดาราสาวสบถออกมาเสียงเบา พยายามควบคุมสติเอาไว้ เนื่องด้วยตรงนี้เป็นที่สาธารณะ เธอไม่อยากให้มีข่าวด้านลบของตนเองหลุดออกมา
“เอ่อ คนปากเสียมันไปแล้ว ผมว่าเชิญคุณเรย์เข้าร้านดีกว่านะครับ” เมื่อเห็นว่าภาสกรจากไปแล้ว เจ้าของร้านก็รีบเข้ามาเชิญเรนิตาให้เข้าร้านทันที
“ไว้โอกาสหน้านะคะ วันนี้เรย์ไม่มีอารมณ์กินแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
เรนิตายกมือไหว้เจ้าของร้านอย่างนอบน้อม ก่อนจะโบกมือลาเหล่าแฟนคลับพร้อมจูงมือผู้จัดการสาวมาที่รถทันที ได้ยินเสียงบ่นอื้ออึงที่จับความได้ว่ารู้สึกเสียดายของเหล่าแฟนคลับตามหลังมาไม่ห่าง